ตอนที่ 64 ลางสังหรณ์

ตอนเย็น

ห้องอาหารของโรงแรม

ฟางผิงกินข้าวพร้อมคุยโทรศัพท์ไปพลาง

เสียงของฟางหยวนนั้นเจื้อยแจ้วมาตามสาย “ฟางผิง ถ้านายไม่กลับมาอีก ฉันจะกินขนมในบ้านให้หมดเกลี้ยงละนะ”

“อีกอย่าง หนังสือเรียนเก่าๆ ในบ้านจะเอาอยู่รึเปล่า? ฉันวางแผนว่าจะตัดหน้าแรกของหนังสือที่มีชื่อนายเอาไปขายเป็นลายเซ็น พวกเราแบ่งเงินกันคนละครึ่ง นายคิดว่าไง?”

“ใช่สิ จางหลิงมาแนะนำพี่สาวเธอให้นายรู้จัก ทีหลังนายเจอเธอก็เออออไปแล้วกัน…”

“เกือบลืมเลย วันที่ 10 นายจะกลับบ้านแล้วใช่ไหม? หรือวันเสาร์ที่ 10 จะให้ฉันไปหานายที่รุ่ยหยางดี?”

“อยู่ที่บ้านน่าเบื่อจะตาย ถ้านายยังไม่กลับมาอีก ฉันจะไม่เลี้ยงเคเอฟซีแล้ว…”

“…”

ตลอดสายแทบจะเป็นเธอที่พูดอยู่ฝ่ายเดียว พ่อแม่ได้พูดแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น พอมือถือตกอยู่ในมือเด็กสาวกลับถือไม่ยอมปล่อย

ฟางผิงไม่รู้จะตอบยังไง เขาแทบแทรกบทสนทนาไม่ได้ด้วยซ้ำ เด็กสาวเล่นไม่เว้นช่วงให้เขาพูดเลย รอจนเธอเหนื่อยพักหายใจ ฟางผิงค่อยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอาเถอะ อีกไม่กี่วันคงจะกลับแล้ว ฉันจะพาไปกินของอร่อย เที่ยวที่สนุกๆ ละกัน”

“ของอร่อย?” ฟางหยวนตื่นเต้นขึ้นมา “ของอร่อยอะไร…”

ต่อจากนั้นฟางหยวนก็ครองสายทั้งหมดอีกครั้ง รอจนเธอพูดเองเออเองจนเสร็จ ฟางผิงจึงกินข้าวอิ่มพอดี

ฟางผิงหน้าแฝงด้วยรอยยิ้ม รอพักหนึ่งค่อยเอ่ยว่า “รู้แล้ว อยู่ที่บ้านเชื่อฟังพ่อแม่ดีๆ ล่ะ ฉันขอวางก่อน…”

ไม่ปล่อยโอกาสให้เด็กสาวร่ำรี้รำไรต่อ เขาตัดสายไปทันที

วางสายแล้ว อู๋จื้อหาวที่อยู่ด้านข้างรีบพูดหยอกขึ้นมา “ฉันเหมือนจะได้ยินอะไร น้องนายแนะนำแฟนสาวให้นาย?”

“นายอิจฉา?”

“ฉันอิจฉา?”

อู๋จื้อหาวไร้คำพูด นี่เป็นปฏิกิริยาของคนทั่วไปหรือไง?

พอฉันพูดแบบนี้ นายควรจะอายจนโมโห รีบพูดปฏิเสธไม่ใช่เหรอ?

ฟางผิงไม่สนว่าเขาจะรู้สึกยังไง ลุกขึ้นทั้งพูดไปพลาง “พรุ่งนี้ไปเดินซุปเปอร์มาเก็ตกันไหม?”

“ไปทำไม?”

“ซื้อของติดไม้ติดมือกลับไป เดี๋ยวอีกสองวันต้องตั้งใจอ่านหนังสือแล้ว พอสอบวิชาเฉพาะเสร็จก็ต้องตรงดิ่งกลับบ้านทันที”

ออกมาอยู่ที่นี่เกือบสิบวันแล้ว ฟางผิงอยากสอบให้เสร็จเร็วๆ เหมือนกัน จะได้รีบกลับบ้าน

ได้ยินเขาพูดแบบนี้ อู๋จื้อหาวจึงพยักหน้า ไม่คิดแย้งอะไร “ได้ พรุ่งนี้ไปด้วยกัน ฉันจะได้ซื้อของด้วย ถุงเท้าเริ่มไม่พอใช้แล้ว…”

ฟางผิงเอ่ยดูแคลน “กางเกงในยังมีพอใส่เหรอไง?”

ตอนที่เจ้าหมอนี้มา พกกระเป๋าสัมภาระมาใบใหญ่ เสื้อผ้าที่ใส่แล้วกลับไม่ซัก ใช้แล้ว ตั้งใจเก็บใส่ถุงเพื่อเอากลับบ้าน

จากที่ได้ฟังอู๋จื้อหาว ช่วงสอบนั้นเวลาทุกนาทีมีค่า ไม่อาจสิ้นเปลืองเวลาไปกับการซักผ้าได้

คนที่ทำเรื่องแบบนี้ ไม่ได้มีแค่อู๋จื้อหาวคนเดียว

ฟางผิงจึงดูแคลนคนแบบนี้อย่างยิ่ง…

ถึงแม้ว่าเขาจะวางแผนว่า วันที่เหลือจะไม่ซักเสื้อ ค่อยกลับบ้านไปให้ฟางหยวนทำแทนก็เถอะ…

เด็กแสบนั้นได้ประโยชน์จากเขา คงจะเอาเสื้อผ้าไปซักให้เขาอย่างอารมณ์ดี ฟางผิงคิดว่าเรื่องที่เขาเปลี่ยนชีวิตน้องสาว ถือเป็นมิตรภาพของพี่น้องที่ยิ่งใหญ่!

อู๋จื้อหาวไม่สนใจคำหยอกเล่นของเขาเหมือนกัน หัวเราะลั่น “กางเกงในยังพอใส่ เอามาตั้งสิบตัว”

“หน้าไม่อาย!”

“เลียนมาจากนายนั่นแหละ…”

ทั้งสองคนปะทะฝีปากกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนอู๋จื้อหาวจะหันไปถามหยางเจี้ยน “หยางเจี้ยน นายไปไหม?”

“ฉันคงไม่ไป ยังทบทวนวิชาที่จะสอบไม่เสร็จเลยเครียดอยู่นิดหน่อย…”

หยางเจี้ยนส่ายหัว ความรู้ด้านวิชาวัฒนธรรมของเขาแย่กว่าอู๋จื้อหาวเยอะ

แม้จะเป็นฟางผิง ตอนนี้ยังเก่งกว่าเขาซะอีก

ความรู้ทั่วไปของฟางผิงนั้นพอใช้ได้เลย ด้านหนึ่งเป็นเพราะพลังจิตใจสูง ทำให้ความจำดีและเข้าใจอะไรได้ง่าย

อีกด้านยังคงเป็นเพราะเขาฝึก (เคล็ดหลอมกระดูก) และจวงกงแล้ว

ความรู้ของวิชาเฉพาะล้วนเป็นการเตรียมพร้อมให้นักเรียนสามารถทำความเข้าใจกับผู้ฝึกยุทธ์ได้ลึกซึ้งขึ้น

ฟางผิงฝึกวิชา ทั้งทำความเข้าใจกับความรู้วิชาเฉพาะไปพร้อมๆ กัน นับว่าได้นำมาปฏิบัติใช้จริง

ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่เขาแทบจะไม่เป็นรองใครเลย

ลงมือปฏิบัติเพื่อให้ได้เข้าใจอย่างแท้จริง นักเรียนส่วนมากอาศัยจำอย่างเอาเป็นเอาตาย ฟางผิงกลับฝึกไปด้วยทำความเข้าใจไปด้วย จึงจำได้ง่ายกว่า

หยางเจี้ยนไม่ไป อู๋จื้อหาวคงไม่ถามหลิวรั่วฉีแล้วเช่นกัน

ช่วงนี้หลิวรั่วฉีขยันกว่าหยางเจี้ยนเสียอีก พอถึงโรงแรมปุ๊บ ก็พุ่งเข้าห้องอ่านหนังสือทันที แทบไม่ออกมากินข้าวเย็นด้วยซ้ำ

พอนัดกับฟางผิงว่าจะออกไปด้วยกันพรุ่งนี้เช้าแล้ว พวกเขาค่อยแยกย้ายกันกลับห้องของตัวเอง

วันต่อมา

ซุปเปอร์มาร์เก็ตเหลียนหวา

เห็นฟางผิงซื้อของเหมือนเศรษฐี เห็นอะไรก็โยนเข้ารถเข็น อู๋จื้อหาวได้แต่มองตาปริบๆ “นายออกมาครั้งนี้เอาเงินมาเท่าไหร่กัน?”

ฟางผิงรวยเละแล้ว?

แต่เท่าที่เขารู้ บ้านของฟางผิงไม่ได้มีเงินขนาดนี้?

หรือหวังจินหยางยังสนับสนุนค่าใช้จ่ายให้เขาด้วย?

แม่เจ้า ตกลงสองคนนี้มีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่!

“ไม่เยอะ แค่ไม่กี่ล้าน…”

“นาย…”

อู๋จื้อหาวรู้สึกว่าตัวเองโดนแกล้งอีกแล้ว เขาเผยสีหน้าขุ่นเคือง

ฟางผิงเบะปาก ฉันบอกไปแล้วว่าฉันเป็นคนใสซื่อ แต่มักไม่มีคนเชื่อ ฉันเลยไม่มีทางเลือกไง

ตอนนี้เขามีเงินในบัญชีสองล้านสามแสนแปดหมื่นหยวน ในมือมีเงินสดอีกหนึ่งหมื่น

บอกว่าไม่กี่ล้าน คงไม่นับว่าโกหกเหมือนกัน?

อู๋จื้อหาวคร้านจะถามอีก เขาเลือกของให้ตัวเอง รอจนเห็นฟางผิงถือขนมกองใหญ่ จึงอดไม่ได้อีกครั้ง “ช่วงนี้พวกเราอย่ากินขนมจะดีที่สุด ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย กินยาบำรุงให้มากๆ จะ…”

“ไม่เป็นไร ค่าปราณฉันสูงเลยหนึ่งร้อยห้าสิบแคลแล้ว กินขนมนิดหน่อยไม่กระทบอะไรหรอก…”

“เห้อ!”

อู๋จื้อหาวรู้สึกเหนื่อยใจอยู่บ้าง ฉันบ้าไปแล้วแน่ๆ ที่ยอมออกมาเดินซุปเปอร์มาเก็ตกับหมอนี่!

หลังจากนั้น ฟางผิงยังคงเดินวนไปวนมา ยัดของใส่รถเข็นอย่างไม่หยุดหย่อน

ไม่พอแค่นั้นยังเก็บของใส่รถของอู๋จื้อหาวจนเต็ม เวลานี้ค่อยหยุดมือเหมือนพอใจแล้ว

เมื่อไปถึงเคาน์เตอร์คิดเงิน ฟางผิงจ่ายไปทั้งหมดเกือบสามพันกว่าหยวน

อู๋จื้อหาวมองฟางผิงจ่ายเงินตาแทบไม่กะพริบ นอกจากอิจฉาแล้ว ก็ไม่มีความคิดอย่างอื่นอีก

เงินสามพันกว่าในเวลานี้ไม่ใช่น้อยๆ เลย

แม้ว่าบ้านเขาจะมีฐานะอยู่บ้าง แต่เพราะเขาต้องสอบศิลปะการต่อสู้ จึงลำบากไม่น้อยเหมือนกัน

ออกจากบ้านครั้งนี้เขาเอาเงินมาแค่สามพันหยวน หลายวันนี้ใช้ไปเกือบหนึ่งพันแล้ว

จะให้เขาซื้อของมากมายขนาดนี้ในครั้งเดียว อู๋จื้อหาวทำไม่ได้จริงๆ

ทั้งนึกถึงเรื่องที่ฟางผิงพูดเมื่อตะกี้ เอามาไม่กี่ล้าน…อู๋จื้อหาวสะบัดหัวอย่างแรง ฉันเชื่อนายคงเป็นคนโง่แล้ว!

ทั้งสองคนหอบถุงเล็กถุงใหญ่ออกจากซุปเปอร์มาเก็ต เพิ่งจะก้าวเท้าออกจากประตู กลับถูกใครบางคนขวางไว้

คนที่ขวางทางเป็นชายวัยกลางคนที่สวมแว่นตาคนหนึ่ง

ดูแล้วไม่เหมือนคนเลว ทั้งไม่คล้ายคนโง่ แต่เมื่อคำพูดหลุดออกจากปาก ฟางผิงและอู๋จื้อหาวต่างหมดคำพูดไปตามๆ กัน

“มารร้ายลงมาจุติบนโลก ทวยเทพได้โปรดช่วยเหลือมนุษย์…โลกใกล้ถึงกัลปาวสานแล้ว! มีเพียงองค์เทพเท่านั้นที่จะช่วยมนุษย์ได้ เข้าร่วมกับพวกเราเถิด กลายเป็นแขนขาให้พวกเรา…”

ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงบ้าคลั่ง ไม่รอให้พวกฟางผิงพูดอะไร เขาก็รำพึงรำพันกับตัวเอง

“เรื่องร้ายภัยพิบัติเกิดเป็นเพราะมารร้ายลงโทษมนุษย์! มีเพียงองค์เทพเท่านั้น…”

ฟางผิงและอู๋จื้อหาวจึงอ้อมไปอีกทาง แม้จะไม่ค่อยได้เจอคนแบบนี้ แต่ใช่ว่าจะไม่มีเลย

ชาติก่อน ฟางผิงเคยเจอคนประเภทนี้ตามท้องถนนเหมือนกัน

ล้วนเป็นคนที่ไม่ค่อยเต็มเต็งทั้งนั้น

เจอคนแบบนี้อย่าได้ยุ่งเกี่ยวจะดีที่สุด หากเผลอพูดด้วย อีกฝ่ายเกาะแกะคุณขึ้นมา ยังไม่รู้ว่าจะมีปัญหาอะไรอีก

ฟางผิงขอห่างไว้จะดีกว่า

ชายด้านหลังไม่ตามมายุ่งย่ามอีก เปลี่ยนไปเผยแผ่ความเชื่อให้กับคนใหม่ที่เพิ่งเดินออกมาจากซุปเปอร์มาเก็ต

อู๋จื้อหาวอยากจะพูดอะไรสักอย่าง จู่ๆ กลับรู้สึกถึงลมที่ตีเข้ามาจากทางด้านหน้า เงาคนสองคนพุ่งมาอย่างรวดเร็วตรงหน้าเขา

ฟางผิงสัมผัสไวกว่าเขา มือหนึ่งถือถุง อีกมือตั้งท่าโจมตีกลับ

ทว่านี่ไม่ใช่การปล้นอย่างที่เขาคิดไว้ ทั้งสองคนนั้นวิ่งผ่านหน้าพวกเขาไป มองข้ามพวกเขาโดยสิ้นเชิง

ไม่นาน ด้านหลังก็มีเสียงโมโหจากชายวัยกลางคนเมื่อกี้ดังขึ้น “พวกแกกำลังลบหลู่พระผู้เป็นเจ้า! ทวยเทพจะมาจุติแล้ว ไม่ยกโทษให้พวกแกแน่…อื้อๆ…”

ชายวัยกลางคนถูกชายสองคนที่พุ่งเข้าไปควบคุมตัวไว้ทันที ยังถูกหนึ่งในนั้นอุดปากไว้

ฟางผิงหันไปมอง ก่อนจะเห็นชายหนึ่งในนั้นที่ดูค่อนข้างกำยำล่ำสันเอ่ยว่า “พวกเราเป็นตำรวจ ตะกี้คนๆ นี้แจกใบปลิวอะไรหรือเปล่า ถ้าแจก อย่าได้เก็บไว้ ให้รีบทำลายทิ้ง…”

คนที่อยู่รอบๆ เมื่อได้ยินว่าเป็นตำรวจ จึงพากันส่ายหัวทันที

มีบางคนถูกชายวัยกลางคนล้างสมองมาก่อนหน้านี้ยังพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คนแบบนี้สมควรถูกจับแล้ว น่าจะเป็นคนบ้า เกือบจะทำลูกสาวผมตกใจแล้ว เทพเจ้าอะไรกัน เทพเจ้าเจอปรมาจารย์ น่าจะตายด้วยฝ่ามือเดียว!”

“…”

คนที่สัญจรไปมาต่างซุบซิบนินทาเรื่องที่ชายวัยกลางคนโดนจับ ไม่มีใครถามลงลึกว่าพวกเขามาจากองค์กรไหน

สมัยนี้ทุกคนต่างเคารพผู้ฝึกยุทธ์ เชิดชูปรมาจารย์ น้อยคนที่จะยึดมั่นศรัทธาพวกเขา

แน่นอน ไม่ใช่ว่าทุกองค์กรจะอ่อนไหวกับทุกเรื่องแบบนี้

ตำรวจจับคนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร พอตำรวจพาคนไป พวกที่ยืนมุงจึงพากันแยกย้ายตาม

ฟางผิงเห็นตำรวจพาคนไปแล้ว อดเอ่ยไม่ได้ “มาเร็วจริงๆ!”

ชาติก่อน แม้ตำรวจจะเจอคนแบบนี้ ปกติแทบไม่ยุ่งเกี่ยว ทั้งไม่รู้ว่าจับแล้วจะจัดการยังไงดี

นึกไม่ถึงว่าตำรวจสมัยนี้จะมีความรับผิดชอบไม่น้อย

ฟางผิงไม่ได้สนใจมาก เดินกลับไปโรงแรมกับอู๋จื้อหาวต่อ

ปรากฏว่าระหว่างทางยังพบเรื่องแบบนี้อีกครั้ง!

ไม่ห่างจากซุปเปอร์มาเก็ต กลับพบคนถูกจับอีกสองคน ฟางผิงคาดไม่ถึงอยู่บ้าง “พวกไม่เต็มเต็ง บ้าคลั่งกันถึงขนาดนี้เลย?”

ตอนที่ถูกจับชายหนุ่มทั้งสองยังตะโกนว่า “มารร้ายลงมาจุติ องค์เทพได้โปรดช่วยโลก”

ท่าทีบ้าคลั่งนั้น พาให้ฟางผิงแทบจะนึกว่า กำลังเจอกับพวกที่พกระเบิดพลีชีพอย่างไม่กลัวตาย

ในประเทศจีน คนที่คลั่งไคล้ลัทธิแบบนี้คงจะมีไม่มากสินะ?

อู๋จื้อหาวส่ายหัว ไม่คิดสนใจนัก

ตอนแรกฟางผิงยังเห็นเป็นเรื่องสนุก แต่พอเดินผ่านคนพวกนั้น กลับขมวดคิ้วขึ้นมา

ชายเสื้อเกราะที่จับคนจะปราณสูงเกินไปแล้ว!

เหมือนว่า…จะสูงกว่าเขาซะอีก!

พูดอีกนัยหนึ่ง คงจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์สินะ?

ผู้ฝึกยุทธ์มาจับพวกคลั่งศาสนาตามท้องถนนทำไม?

ฟางผิงขมวดคิ้ว ผู้ฝึกยุทธ์ของรุ่ยหยางไม่มีอะไรทำขนาดนี้เลย?

เขาไม่ได้คิดลงลึกอะไรมาก รอจนกลับมาโรงแรม ฟางผิงค่อยแปลกใจอีกครั้ง

ล็อบบี้โรงแรม มีชายคนหนึ่งที่ปราณสูงกว่าเขากำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่

เหมือนจะจับค่าปราณของฟางผิงได้ ชายที่อ่านหนังสือพิมพ์คนนั้นกระโดดขึ้นมาอย่างว่องไว…

แต่เมื่อเห็นรูปลักษณ์ภายนอกของฟางผิง เขากลับรีบนั่งลงอย่างรวดเร็วเหมือนเมื่อครู่ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

ฟางผิงขมวดคิ้วอีกครั้ง ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นบน

พอฟางผิงจากไป ชายที่อ่านหนังสือพิมพ์ค่อยเอ่ยเสียงเบา “เมื่อกี้เจอนักเรียนที่ปราณพลุกพล่านคนหนึ่ง ไม่รู้ว่านักเรียนรุ่นนี้ของรุ่ยหยางจะมีปราณสูงขนาดนี้?”

ก่อนหูฟังล่องหนที่ติดข้างหูจะมีเสียงส่งออกมา “ที่นายอยู่เป็นจุดสอบของนักเรียนของหยางเฉิง ได้ยินว่าปีนี้หยางเฉิงมีนักเรียนที่พร้อมจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่ง…”

“ไม่น่าล่ะ…เหมือนว่าเขาไม่ด้อยไปกว่าฉันเลย คนที่พร้อมเป็นผู้ฝึกยุทธ์แข็งแกร่งถึงขนาดนี้เชียว?”

ชายหนุ่มพึมพำ ไม่พูดอะไรอีก

เสียงจากหูฟังดังขึ้นมาอีกครั้ง “เฝ้าระวังให้ดี ช่วงนี้ทุกคนต้องลำบากกันหน่อย สถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก ท้องถนนมีคนจำนวนมากแพร่ข่าวเรื่องวันสิ้นโลก เป็นพวกสติไม่ดีทั้งนั้น! รุ่ยหยางไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อน ทุกคนอย่าประมาทแล้วกัน”

“รับทราบ!”

“…”

————————-