ตอนที่ 65 ถูกโจมตี

กลับมาถึงห้อง ฟางผิงเริ่มหวนคิดเรื่องที่เจอมาตลอดทาง

ระยะทางสั้นๆ แค่ไม่กี่ร้อยเมตร พบผู้ฝึกยุทธ์ไปแล้วสองคน คนบ้าอีกสองคน

“ผู้ฝึกยุทธ์เยอะขนาดนี้เลยเหรอ?”

“หรือจะเกี่ยวข้องกับพวกคลั่งลัทธิอะไรนั่น?”

ถ้าจะบอกว่าผู้ฝึกยุทธ์มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง นั่นคงเป็นเรื่องไร้สาระแล้ว

แม้รุ่ยหยางจะรุ่งเรืองกว่าหยางเฉิง แต่หยางเฉิงมีผู้ฝึกยุทธ์แค่กี่คน?

รุ่ยหยางจะมีมากกว่ากี่คนเชียว?

เจอผู้ฝึกยุทธ์หนึ่งคน หรือไม่เจอเลยสักคน ฟางผิงอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญได้

แต่เจอติดกันสองคน…

เขาสะบัดหัว คิดว่าเรื่องพวกนี้เขายังไม่มีความจำเป็นต้องเอามาใส่ใจ

สิ่งที่เขาต้องเป็นกังวลในตอนนี้คือการสอบวิชาเฉพาะวันมะรืน สอบเสร็จกลับหยางเฉิง เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับเขา

แม้ตอนนี้ค่าปราณเขาจะสูง ถือว่าพอมีพลังต่อสู้อยู่บ้าง

แต่อย่าพูดถึงผู้ฝึกยุทธ์เลย แค่คนทั่วไปถือปืนมา ยังไม่รู้ว่าฟางผิงจะป้องกันตัวได้หรือไม่

เขาข่มความกระวนกระวายใจเอาไว้ ก่อนจะเปิดหนังสือขึ้นมาอ่านแทน

ช่วงเวลาหลังจากนี้ พวกฟางผิงไม่ออกไปไหนอีกเลย

วันที่ 10 ใกล้เข้ามาแล้ว การสอบวิชาเฉพาะกำลังจะเริ่มขึ้น ฟางผิงจึงเลือกที่จะลืมเรื่องก่อนหน้าไปให้หมด

ไม่นานก็มาถึงวันที่ 10 พฤษภาคม

เมื่อการสอบวันที่ 10 จบลง พวกฟางผิงนั้นสามารถกลับหยางเฉิงเพื่อเตรียมสอบวิชาวัฒนธรรมได้แล้ว

สถานที่สอบวิชาเฉพาะนั้นอยู่ใจกลางเมืองรุ่ยหยาง

พวกฟางผิงที่เป็นนักเรียนต่างถิ่น ต้องมีอาจารย์คอยควบคุมไปยังสนามสอบ

ส่วนนักเรียนรุ่ยหยางในพื้นที่ มีผู้ปกครองไม่น้อยมาส่งลูกหลานเช่นกัน

ไม่ต่างอะไรกับตอนที่พ่อแม่มาส่งนักเรียนทั่วไปเข้าสอบเกาเข่า พวกฟางผิงเข้าไปในสนามสอบ ด้านนอกประตูโรงเรียนก็มีกลุ่มพ่อแม่ของนักเรียนโอบล้อมอยู่เต็มไปหมด

ผู้ปกครองเหล่านี้ตั้งใจมาดูลูกๆ ของตัวเอง หวังว่าลูกของพวกเขาจะสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ได้

มาถึงการสอบวิชาเฉพาะแล้ว โอกาสสอบผ่านต้องสูงขึ้นอยู่แล้ว ไม่ถือว่าเป็นหวังอันน้อยนิดเสียทีเดียว

เวลาเดียวกับที่พวกฟางผิงเข้าสู่สนามสอบ

ลานด้านนอก

มีรถตู้เก่าคันหนึ่งจอดอยู่

“เห็นรึยัง?”

ในรถตู้ที่เงียบสงัดมีเสียงผู้หญิงดังขึ้น

ที่นั่งข้างคนขับมีหญิงวัยกลางคนอยู่ “ปราณสูงลิ่ว ล้วนเป็นเมล็ดพันธ์ชั้นยอดของผู้ฝึกยุทธ์ ชนชั้นอภิสิทธิ์ในอนาคต…”

“ฉันเกลียดชนชั้นอภิสิทธิ์พวกนี้!”

ในรถมีคนรับบทสนทนา มองพวกฟางผิงที่เบียดกันเข้าสนามสอบด้วยแววตารังเกียจ คนพวกนี้ล้วนมีผลการตรวจปราณที่สูงมาก

“ใช่ คนพวกนี้เกินเยียวยาแล้ว เป็นบาปที่ให้อภัยไม่ได้!”

หญิงวัยกลางคนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

เนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “พวกเขาต้องได้รับการช่วยเหลือ ฉันจะเฝ้าระวังตรงทางเดินเอง พวกนายลงมือละกัน!”

“ได้!”

สองชั่วโมงต่อมา

การสอบสิ้นสุดลง

ออกมาจากสนามสอบแล้ว นักเรียนที่มาสอบแออัดกันเต็มไปหมด ฟางผิงมองไม่เห็นพวกอู๋จื้อหาว

ทั้งคร้านจะไปหาในฝูงชน ฟางผิงเลยวางแผนจะกลับไปเจอพวกเขาที่โรงแรมแทน

ออกจากประตูโรงเรียนมา ฟางผิงเบียดเสียดกับกลุ่มผู้ปกครองที่มารอบุตรหลานอยู่นานกว่าจะออกมาได้

เพิ่งเบียดออกมาได้ ฟางผิงก็พบคนๆ หนึ่งที่เดินตรงดิ่งมาด้านหน้า

เพราะมีคนเยอะเกินไป เขาจึงไม่ได้ดูอย่างละเอียด เดินไปข้างหน้าต่อ

แต่เพิ่งจะสาวเท้าไปหนึ่งก้าว จู่ๆ หัวใจกลับเต้นแรงขึ้นมา เขาปรายสายตาไปรอบทิศ ก่อนจะเจอคนที่เดินเข้ามาเมื่อครู่ กำลังใช้แววตาลุกโชนมองเขา

คล้ายกำลังพิจารณาว่าถูกคนหรือไม่ ชายที่เดินเข้ามาตรงหน้ามองฟางผิงอยู่พักใหญ่

พอแน่ใจแล้วว่าเป้าหมายไม่ผิด ชายคนนั้นค่อยพึมพำอะไรบางอย่าง ก่อนจะเตรียมดึงมือที่อยู่ในกระเป๋าออกมา

ชายคนนั้นพูดด้วยเสียงเบา แต่ฟางผิงมีปราณสูง หูตาว่องไว จึงได้ยินคำที่คุ้นหูขึ้นมาอย่างเลือนราง

พอได้ฟัง ฟางผิงนั้นตกตะลึงเป็นอันดับแรก ก่อนหน้าจะเปลี่ยนสีทันที

เป็นพวกคลั่งลัทธิที่ก่อเรื่องไปทั่วพวกนั้น!

มองชายที่ทำท่าล้วงกระเป๋า ฟางผิงตระหนักได้ทันทีว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร

เมื่อความคิดแวบขึ้นมา สิ่งที่ฟางผิงนึกได้เป็นอย่างแรกคือต้องหนี

เขาไม่ใช่คนเที่ยงธรรมใจกว้างขนาดนั้น มนุษย์ล้วนมีความเห็นแก่ตัว เกิดอันตรายต้องเอาตัวรอดเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว

เวลานี้ฟางผิงไม่มีใจนึกถึงคนอื่นจริงๆ

ตระหนักว่าต้องหนีให้พ้นอันตราย ฟางผิงยังจะพาตัวเองเข้าไปใกล้อีกฝ่ายได้ยังไง เขารีบถอยห่างจากชายคนนั้นทันที

แต่ชายที่อยู่ตรงข้ามเห็นว่าฟางผิงเดินหลีกออกไป กลับหยุดฝีเท้าที่เร่งรีบ หันไปตามฟางผิงต่อ

ฟางผิงอึ้งไปอีกครั้ง นี่มันอะไรกัน?

ฉันหลีกทางแล้ว นายยังตามมาอีก!

ฟางผิงขยับเท้าอีกก้าว ชายคนนั้นยังคงเดินมาทางเขา มือที่อยู่ในกระเป๋าออกมาเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว

“ชิบหาย!”

ฟางผิงแทบจะด่าคนออกมารอมร่อ เขาถอยแล้วถอยอีก นี่คือหมายตาเขาไว้ก่อนแล้วใช่ไหม?

ฟางผิงไม่แกล้งทำเป็นไร้เดียงสาอีก เขาสาวเท้าวิ่งทันที

ขณะที่วิ่งก็หันมองรอบๆ ไปด้วย อยากรู้ว่าพวกถานเจิ้นผิงหรือผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นอยู่ที่นี่กันหรือเปล่า วิ่งไปทางผู้ฝึกยุทธ์จะดีที่สุด

พอเห็นฟางผิงเผ่นแน่บ ชายคนนั้นตกตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะวิ่งไล่ตาม

ระหว่างที่ฟางผิงวิ่งหนี ด้านหลังพลันมีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมา

“พวกเลว หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”

ในฝูงคนมีคนตะโกนกร้าวขึ้นมา

อันที่จริงด้านนอกโรงเรียนนั้นมีผู้ฝึกยุทธ์ แต่ผู้ฝึกยุทธ์เหล่านี้เฝ้าระวังแค่ผู้ฝึกยุทธ์ด้วยกันเอง

ครั้งนี้คนที่โจมตีกลับเป็นกลุ่มคนธรรมดา

คนพวกนี้ปะปนอยู่กับกลุ่มผู้ปกครอง ช่วงเวลาสั้นๆ พวกผู้ฝึกยุทธ์ที่ลอบระวังภัยจึงคาดไม่ถึงว่าคนธรรมดาพวกนี้จะโจมตีนักเรียนได้

รวมทั้งมีคนเยอะ เมื่อการโจมตีเกิดขึ้น ฝูงชนจึงชุลมุนวุ่นวายขึ้นมา

ผู้ฝึกยุทธ์ไม่กี่คนนั้น จำต้องติดอยู่ในกลุ่มฝูงชน

ฟางผิงที่วิ่งออกมาระยะหนึ่ง ได้ยินเสียงก็สะท้านในใจ ให้ตาย เจอพวกบ้าเข้าแล้วจริงๆ!

ตอนแรกยังอยากดูว่ามีผู้ฝึกยุทธ์แถวนี้หรือเปล่า ตอนนี้เห็นสถานการณ์ข้างหลังยังไม่รู้ว่าจะมีคนเสียสติกี่คนที่บ้าคลั่งขึ้นมา ฟางผิงจะกล้ารั้งตัวอยู่ต่อได้ยังไง

กำลังจะเตรียมตัววิ่งต่อ กลับได้ยินชายที่ตามมาด้านหลังพูดว่า “ผู้นำลัทธิ เขาจะหนีแล้ว!”

และตอนนี้ฟางผิงพลันสัมผัสได้ถึงปราณที่เข้มข้นแผ่ออกมาจากด้านหน้า

เมื่อเงยหน้ามอง เขาจึงพบกับหญิงวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างหน้า

สมองแล่นปราดอย่างว่องไว ฟางผิงตระหนักได้ทันทีว่า อีกฝ่ายเป็นพวกเดียวกัน

ชายด้านหลังไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ แต่ด้านหน้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์แน่ๆ!

เมื่อคิดได้แบบนี้ ฟางผิงรีบหยุดฝีเท้าทันที หมุนตัววิ่งกลับไป

ชายที่ตามมาด้านหลังควักมีดสั้นออกมาจากกระเป๋า มองฟางผิงด้วยแววตาดุดัน

ฟางผิงที่กำลังหนีตาย พอนึกได้ว่าข้างหลังยังมีผู้ฝึกยุทธ์ เขาจึงกัดฟันแน่น ฉันกับนายต้องตายกันไปข้างหนึ่ง!

ความคิดวาบขึ้นมา ฟางผิงพลันครางเสียงต่ำ ก่อนจะระเบิดปราณออกมา

ตอนที่เข้าใกล้ชายคนนั้น เขาก็กระโดดขึ้น เท้าซ้ายยันตัวจากพื้น เหวี่ยงเท้าขวาขึ้นไปอย่างแรงที่หัวชายคนนั้น!

ฟางผิงที่ฝึกจวงกงบรรลุระดับที่หนึ่ง ฝีเท้ามีความหนักแน่น ศูนย์กลางมั่นคง แม้ขาทั้งสองข้างจะลอยกลางอากาศ กลับรักษาสมดุลได้ดี

‘ปั่ก!’

เท้าขวาเตะไม่โดนหัวของอีกฝ่าย แต่ไปถูกไล่ซ้ายของเขาแทน

ชายที่กำลังถือมีดสั้นเสียหลักโงนเงน ส่งเสียงร้องเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงไป

ฟางผิงไม่สนใจเขา พอถีบอีกฝ่าย นับว่าเขาเสียเวลากับชายคนนี้เช่นกัน ด้านหลังนั้นได้ยินเสียงฝีเท้าตามมาแล้ว

‘ฉันไปสร้างเรื่องให้ใครกัน!’

ฟางผิงก่นด่าในใจ สอบอยู่ดีๆ มาเจอเรื่องแบบนี้ซะได้!

ตอนนี้เขายังไม่ได้เรียนวิธีต่อสู้ ความสามารถมีอย่างจำกัด อาศัยแค่พลังกายในการต่อสู้เท่านั้น

ไม่งั้นหากเขาเรียนติดตัวมาบ้าง ฟางผิงอาจจะลองใช้งานจริงตอนนี้ไปแล้ว

คิดไปก็เท่านั้น เมื่อเตะชายถือมีดล้มได้ ฟางผิงจึงคิดจะวิ่งหนีต่อ

แต่เวลานี้ กลับมีเสียงหอบหายใจหนักดังมาจากข้างหลังแล้ว

ฟางผิงสัมผัสได้ทันที อีกฝ่ายอยู่ข้างหลังของเขาแล้ว ใกล้มาก ใกล้จนวิ่งไม่กี่ก้าว เขาคงจะถูกตามทัน

ฟางผิงเอี้ยวตัว ไม่คิดวิ่งไปตรงๆ แต่วิ่งซิกแซกไปมา ก่อนจะหันมามอง

หญิงวัยกลางคนที่ขวางทางก่อนหน้านี้อยู่ห่างจากเขาไม่กี่สองสามเมตร

“ไม่มีอาวุธ?”

ฟางผิงรีบกวาดสายตามอง เห็นอีกฝ่ายมามือเปล่า ทั้งยังเป็นผู้หญิง ชั่วขณะนั้นจึงเดือดขั้นสุด

ตาม ตามฉันหาปู่แกสิ!

ปราณสูงกว่าฉันไม่เท่าไหร่ ยังมามือเปล่า คิดว่าฉันกลัวแกจริงๆ งั้นเหรอ!

หากอีกฝ่ายเป็นชายกำยำ หรือพกอาวุธมาด้วย ฟางผิงคงจะวิ่งต่อไปแล้ว

แต่รับมือกับหญิงวัยกลางคน ทั้งยังมามือเปล่า เขาไม่รู้สึกเกรงกลัวเท่าไหร่

รวมทั้งเมื่อครู่เขายังเตะชายถือมีดจนล้มได้ ฟางผิงจึงมีความมั่นใจขึ้นมา

เมื่อเห็นว่าจะถูกตามทันแล้ว เขาจึงระเบิดปราณอีกครั้ง ง้างขาเตะไปที่หญิงวัยกลางคน!

“ไอ้เลวเอ้ย!”

หญิงคนนั้นสบถ ก่อนจะเหวี่ยงหมัดไปที่ขาขวาของฟางผิง

“พลั่ก!”

เมื่อหมัดปะทะขาของเขา เสียงกระทบเนื้อและกระดูกพลันดังขึ้น

ฟางผิงรู้สึกถึงความเจ็บที่แผ่ซ่านจากน่อง ตระหนักได้ทันที ‘เธอหลอมกระดูกด้านบน!’

แต่ก็แค่รู้สึกเจ็บเท่านั้น ไม่มีร่องรอยกระดูกแตกหักอะไร ฟางผิงแววตาเป็นประกาย ที่แท้เขาอยู่ในระดับนี้แล้วเหมือนกัน

ความรู้สึกนี้ยังสู้ตอนที่หวงปินชกไม้กระบอกเขาจนหักไม่ได้

ขนาดหวงปินยังถูกเขาจัดการ ยังต้องกลัวเธออีกทำไม!

ฟางผิงใจกล้าขึ้นมาทันที รีบดึงขากลับมา ยืนในท่าจวงกง ชกหมัดไปที่หัวของอีกฝ่าย!

หญิงวัยกลางคนเตรียมจะเหวี่ยงหมัดปะทะ จู่ๆ ฟางผิงกลับเก็บมือไป ยืนด้วยขาข้างเดียว ก่อนจะวาดขาที่เพิ่งดึงกลับมาไปที่เธออย่างแรง

หลอมกระดูกด้านบนแล้ว แสดงว่ายังไม่ได้หลอมด้านล่าง งั้นหักขาเธอก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ!

“ปั่ก!”

เมื่อสองขากระทบกัน ฟางผิงสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดอีกครั้ง ด้านหญิงวัยกลางคนก็เสียหลักไปเหมือนกัน ยืนโงนเงน ใบหน้าเผยความเจ็บปวด

“ไก่อ่อนเอ้ย!”

ฟางผิงตะโกนด่า ก่อนจะเหวี่ยงขาไปหาหญิงคนนั้นอีกครั้ง

แววตาของเธอมีความโมโหวาบผ่านขึ้นมา วาดหมัดไปที่ขาขวาของฟางผิงทันที

พอเห็นเธอเหวี่ยงหมัด ฟางผิงจึงรีบดึงขากลับ เตรียมจะวิ่งหนีต่อ

เขาไม่อยากจะสู้โรมรันกับอีกฝ่ายแบบนี้ต่อไป ในกลุ่มฝูงชนไกลๆ มีเสียงปืนดังขึ้นมาแล้ว

ชั่วขณะนั้นฟางผิงจึงตะโกนทันที “ช่วยด้วย!”

“พวกเลว สมควรตาย!”

หญิงคนนั้นตะเบ็งเสียงขึ้นมาอีกครั้ง “ขวางเขาไว้!”

คำพูดนี้คงไม่ได้พูดกับฟางผิงแน่นอน แต่เป็นชายที่ก่อนหน้านี้ถูกฟางผิงเตะจนล้ม

ตอนนี้ชายคนนั้นหยัดกายขึ้นมาอย่างโซซัดโซเซ มีดสั้นตกอยู่ที่พื้น มือจับบนไหล่ซ้าย

เมื่อได้ยินเสียงหญิงวัยกลางคน ชายผู้นั้นรีบสาวเท้ามาขวางหน้าฟางผิงทันที

“ทำอะไรผู้หญิงไม่ได้ งั้นจัดการนายแทนแล้วกัน!”

ฟางผิงมีโทสะอย่างยิ่ง ฉันยังไม่ทันได้ทำอะไรใคร อยู่ดีๆ มาถูกโจมตีซะงั้น

ชายคนนั้นไม่ได้เก็บมีดมา เขายังต้องกลัวไปทำไม

แม้ว่าจะปวดร้าวที่ขา แต่ฟางผิงยังมีมืออยู่ ชายคนนั้นเพิ่งเข้ามา ฟางผิงก็เหวี่ยงหมัดทุบเข้าที่หน้าของอีกฝ่ายทันที

“อ๊า!”

หลังจากเสียงร้องน่าอนาถดังขึ้น ชายคนนั้นจึงล้มลงไปอีกครั้ง ก่อนเลือดสีแดงสดจะไหลออกมาจากจมูกและปากของเขา

ถูกชายคนนั้นถ่วงเวลาไว้ ผู้หญิงด้านหลังจึงตามทันอีกครั้ง

ฟางผิงได้ยินเสียงลมตีขึ้นข้างหู เมื่อตั้งสติได้จึงยกมือป้องหัวเอาไว้

“พลั่ก!”

แขนของอีกฝ่ายปะทะกับแขนเขา ฟางผิงไม่ทันสนใจว่าตัวเองบาดเจ็บหรือไม่ หมุนตัวถีบคนไปทันที

“ตุ้บ!”

ครั้งนี้หญิงคนนั้นไม่ได้ตั้งรับ ถูกฟางผิงถีบเข้าที่น่อง ใบหน้าเหยเกขึ้นมา

ตอนนี้ทั้งสองคนปะทะกันอีกครั้ง ฟางผิงใช้สองมือป้องหัวไว้ แทบไม่มองอะไร เตะขาออกไปมั่วซั่ว

อีกฝ่ายก็ใช้หมัดโจมตีที่แขนของฟางผิงเช่นกัน คิดจะทุบให้โดนหัวเขา จึงอาศัยความเร็วเข้าช่วย

ทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างไม่มีแบบแผนอะไร ฟางผิงไม่รู้ว่าตัวเองโดนไปกี่หมัด แต่เขาถีบอีกฝ่ายไปหลายครั้งเหมือนกัน

ขณะที่พวกเขาโรมรันกัน ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นด้านข้าง

ครู่ต่อมา ฟางผิงพลันได้ยินเสียงตะโกนอย่างโมโห “รนหาที่ตาย!”

ฉากต่อจากนั้นพาให้ฟางผิงหน้าหน้าซีดเผือดขึ้นมาทันที

เขาไม่ทันได้มองอย่างละเอียด กลับทรุดลงกับพื้นเริ่มอาเจียนออกมา!

————————