ตอนที่ 66 คำอธิบาย

เขาอาเจียนอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าด้วยแววตาคลอเคล้าน้ำตามองไปที่ชายคนนั้น

ไม่ใช่ว่าร้องไห้จริงๆ แต่ตอนที่เขาอาเจียน กลั้นน้ำตาไม่อยู่ต่างหาก!

เขามองคนอื่น คนอื่นกลับมองเขาไม่วางตาเช่นกัน

เห็นฟางผิงเงยหน้าด้วยแววตาเปียกชื้น ชายกำยำหน้าเหลี่ยมจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “ขอโทษที่ทำให้พวกนักเรียนต้องตกใจกลัว อย่าร้องไห้เลย เรื่องราวคลี่คลาย…”

“ผมไม่ได้ร้องไห้!”

ฟางผิงปฏิเสธทันที นายสิร้องไห้ ฉันร้องไห้ที่ไหนกัน!

ชายกำยำคนนั้นไม่โต้แย้งอะไร คำพูดนี้ไม่สมควรเอ่ยตั้งแต่แรก เด็กนักเรียนถูกโจมตีขนาดนี้ จะร้องไห้คงไม่แปลก เรื่องที่สำคัญกว่าคือเรื่องของหน้าตาต่างหาก

หากเป็นนักเรียนทั่วไป เขาไม่จำเป็นต้องสนใจ

แต่นักเรียนตรงหน้า ยังไม่กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ คาดไม่ถึงว่าจะปะมือกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งได้จนถึงตอนนี้ อนาคตยังอีกยาวไกล!

คนแบบนี้ ต้องให้การดูแลอย่างดี บอกว่าไม่ร้องไห้ คิดว่าเขาไม่ร้องไห้เสียแล้วกัน

ฟางผิงเห็นท่าทีของเขาเลยไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง ไม่พูดเรื่องนี้อีก “คุณเป็นใครกัน?”

“คนของหน่วยสืบสวน”

“พวกเขาล่ะ?”

ฟางผิงหันไปมองหญิงวัยกลางคนที่ถูกระเบิดหัว เห็นแล้วยังคิดอยากจะอาเจียนอีกครั้ง

“คนบ้ากลุ่มหนึ่ง…”

ชายกำยำเอ่ยลวกๆ ไม่อธิบายอะไรมากมาย

เวลานี้มีคนปรากฏตัวขึ้นด้านหลังอีกกลุ่มหนึ่ง

ชายกำยำหันไปเอ่ยว่า “พากลับไป!”

หญิงกลางคนถูกเขาทุบหัวจนตาย ชายถือมีดนอนนิ่งอยู่ที่พื้นเหมือนเดิม แต่ยังคงมีลมหายใจ

คนที่ตามมาเริ่มกุลีกุจอเก็บกวาดสถานที่ ฟางผิงกวาดตามองหญิงคนนั้นอีกครั้ง ก่อนจะเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองอีก

ระหว่างที่พวกเขากำลังเก็บกวาด ชายกำยำคนนั้นเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ครั้งนี้ต้องขอโทษจริงๆ อาการบาดเจ็บของนายเป็นยังไงบ้าง?”

“ไม่เป็น…”

พูดไม่ทันจบ ฟางผิงพลันรู้สึกเจ็บแปลบที่แขนขึ้นมา กระดูกไม่ได้หัก แต่กลับปวดจนกลั้นแทบไม่ไหว

เห็นฟางผิงสูดลมหายใจ ชายกำยำรีบเอ่ยว่า “ไปตรวจดูที่โรงพยาบาลเถอะ พวกเราจะจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายเอง”

ฟางผิงขยับแขนเล็กน้อย ไม่ต่อบทสนทนา ถามขึ้นมาว่า “นักเรียนคนอื่นๆ ไม่เป็นอะไรสินะ?”

ชายคนนั้นเผยสีหน้าเย็นเยียบขึ้นมา ไม่ใช่เพราะฟางผิง แต่เป็นคนที่โจมตีนักเรียนพวกนั้น

ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจ “มีคนได้รับบาดเจ็บ”

บาดเจ็บมากหรือน้อย ชายคนนั้นไม่ได้บอก ฟางผิงกลับเดาได้อย่างเลือนราง

ชายคนนั้นพูดอีกว่า “หน่วยสืบสวนกำลังตรวจสอบอย่างเข้มงวด นักเรียนวางใจเถอะ พวกเราจะ…”

“มีผู้ฝึกยุทธ์มากี่คน?” ฟางผิงตัดบทสนทนาเขา

“คนเดียว…แค่คนเมื่อกี้…”

ชายกำยำแทบจะตอบคำถามหมดทุกเรื่อง ขอแค่ไม่เกี่ยวพันกับความลับราชการ เขาบอกกับฟางผิงเกือบทั้งหมด

ครั้งนี้ฟางผิงถูกคนโจมตี ถือเป็นผู้เคราะห์ร้าย ยังต้องมาต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธ์ซึ่งๆ หน้าอีก

ฟางผิงมุมปากกระตุก ให้ตายเถอะ มีผู้ฝึกยุทธ์คนเดียว กลับมาเจอฉันซะได้!

ดวงฉันนี่มันอะไรกัน?

ฟางผิงกำลังบ่นพร่ำในใจ ชายคนนั้นกลับเอ่ยว่า “โชคดีที่อีกฝ่ายเลือกโจมตีนาย…”

ฟางผิงใบหน้าดำคล้ำอยู่บ้าง คำพูดนี้หมายความว่ายังไง?

สรุปคือโจมตีฉันเป็นเรื่องที่ถูกแล้ว?

อาจจะตระหนักได้ว่าคำพูดนี้ไม่น่าฟังเท่าไหร่ ชายกำยำรีบเปลี่ยนไปอีกประเด็น “นักเรียน นายไปตรวจดูที่โรงพยาบาลสักหน่อยดีกว่า เผื่อจะมีอาการอะไรตามมาทีหลัง ส่วนเรื่องนี้ควบคุมได้แล้ว เมื่อจัดการเสร็จสิ้น พวกเราก็จะรายงานกับภายนอก”

ฟางผิงลุกขึ้นมาทันที กวาดสายตามองผู้หญิงที่ถูกคนลากออกไป ขมวดคิ้วเล็กน้อย “จบง่ายๆ แบบนี้? ผมไม่ได้อยากซักไซ้ไล่เลียงใคร แต่ผมมาสอบอยู่ดีๆ กลับถูกคนโจมตี แถมยังเกือบตาย เรื่องนี้ควรจะมีคำอธิบายอะไรหน่อยหรือเปล่า?”

“นักเรียน…” ชายผู้นั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย ยังไงเสียตอนนี้ฟางผิงยังไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ ร้องขอเกินตัวไปคงไม่มีประโยชน์อะไร

ฟางผิงตัดบทสนทนาของเขา เอ่ยว่า “ผมรู้ พวกคุณเป็นคนของหน่วยสืบสวน มีอำนาจมากกว่า ทั้งแข็งแกร่งกว่า แต่ผมกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ ยังมีพี่ชายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม เรื่องนี้คงไม่อาจจบแค่ว่ามีคนบ้ามาโจมตีหรอกมั่ง? ผมมองออกว่า สองคนนี้จับตามองผมอยู่ หากโจมตีจริงๆ หาใครสักคนก็พอแล้ว แต่นี่เอาแต่ตามผม มันปกติหรือไง?”

หากเป็นตอนปกติ ฟางผิงคงอยากจบเรื่องไวๆ

แต่เมื่อกี้เขาเพิ่งนึกได้ ยังไม่พูดถึงผู้หญิงคนนั้น แต่ชายที่ถือมีด น่าจะจับตาดูเขาตั้งนานแล้ว

นักเรียนมีมากขนาดนี้ โจมตีใครไม่โจมตี มาไล่ตามเขาทำไม?

ถ้าไม่มีใครอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจน ฟางผิงจะสงบใจได้ยังไง

ได้ยินว่าฟางผิงยังมีพี่ชายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม ชายคนนั้นจึงหน้าเปลี่ยนสีทันที เอ่ยอย่างลังเล “พี่ชายนาย…”

“หวังจินหยางมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ แค่สนิทกัน”

ฟางผิงใช้อำนาจมากดดันอีกครั้ง คาดว่าเจ้าหมอนี่คงไม่ไปถามเหล่าหวังจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นช่วงนี้ยังใช้มือถือติดต่อเหล่าหวังไม่ได้ด้วย

“หวังจินหยาง…”

ชายกำยำหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง ครุ่นคิดก่อนเอ่ยว่า “เอาอย่างนี้ละกัน นายไปกับฉันที่หน่วยสืบสวน ถ้ามีคำตอบเรื่องนี้แล้ว ฉันจะอธิบายให้นายฟังอีกที”

“ได้!”

ตอนนี้ฟางผิงไม่สนใจเรื่องเสียเวลาอีกแล้ว

อยู่ดีๆ ถูกคนตามฆ่า ยังมีผู้ฝึกยุทธ์เกี่ยวข้อง

ดีที่ผู้หญิงคนนั้นเป็นพวกครึ่งๆ กลางๆ ถ้าเป็นแบบหวงปิน เขาคงถูกทุบตายไปนานแล้ว!

ฟางผิงไม่สนใจเรื่องอื่นใด มีแค่ชีวิตที่สำคัญที่สุด

อย่างน้อยควรจะทำเรื่องให้กระจ่าง ใครเป็นคนโจมตีเขา ทำไปเพื่ออะไร จะมีครั้งต่อไปหรือไม่…

ครึ่งชั่วโมงต่อมา

หน่วยสืบสวนรุ่ยหยาง

ชายที่พาเขากลับมาด้วย บอกว่ามีเรื่องต้องจัดการ เพิ่งจะออกไปอีกครั้ง

ส่วนฟางผิงถูกเขาทิ้งไว้ในห้องทำงาน

ห้องทำงานของรองผู้อำนวยการหน่วยสืบสวน!

ฟางผิงค่อยตระหนักได้ว่า คนเมื่อกี้เป็นรองผู้อำนวยการหน่วยสืบสวน

อีกฝ่ายมีธุระต้องจัดการ ฟางผิงไม่ได้ขัดขวางอะไร ตรวจสอบอาการบาดเจ็บด้วยตัวเองในห้องทำงานไป

แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่ใช่คนเต็มเต็งเท่าไหร่ แต่เรื่องที่หลอมกระดูกด้านบนนั้นไม่ผิดแน่

ฟางผิงถูกอัดอยู่หลายหมัด แม้เขาจะหลอมกระดูกขั้นต้นแล้ว กระดูกไม่แตกหัก แต่ยังคงบาดเจ็บไม่น้อย

ทั่วร่างกายมีแต่ร่องรอยฟกช้ำเต็มไปหมด

โดยเฉพาะแขนทั้งสองข้างและขาขวา กลายเป็นสีม่วงช้ำ

ปราณที่ไหลเวียนอยู่ตรงแขน ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดไปเล็กน้อย

ไม่นานนั้น หญิงสาวคนหนึ่ง คงจะเป็นเลขาของรองผู้อำนวยการ ถือชามาเคาะประตู เมื่อเห็นแขนของฟางผิงม่วงช้ำ จึงเอ่ยว่า “คุณอยากไปหาหมอไหมคะ?”

“ไม่ต้องหรอก ใช่สิ…”

เขาอยากจะถามว่าเมื่อไหร่ชายกำยำคนนั้นจะกลับมา แต่นึกได้ว่า ยังไม่รู้ชื่อของอีกฝ่าย

ฟางผิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “รองผู้อำนวยการของพวกคุณจะเข้ามากี่โมง?”

“รองผู้อำนวยการจางกำลังรายงานภารกิจกับผู้อำนวยการ รบกวนคุณรอสักครู่…”

ฟางผิงพยักหน้า ถามต่อว่า “จับตัวคนได้หรือยัง?”

“จับไปดำเนินคดีแล้วค่ะ…”

เลขาสาวตอบคำถามด้วยความเกรงใจ

คนที่ถูกผู้อำนวยการพาเข้ามาในห้องต้องไม่ใช่คนธรรมดาอยู่แล้ว นี่คือหน่วยสืบสวน คนธรรมดาไม่อาจเข้ามาได้

“พวกเขาเป็นใครเหรอ?” ฟางผิงเห็นเธออัธยาศัยดี จึงถามขึ้นมาอีกครั้ง

หญิงสาวลังเลอยู่บ้าง ตรึกตรองเล็กน้อยค่อยเอ่ยว่า “เป็นคนเสียสติกลุ่มหนึ่งเท่านั้น”

ฟางผิงไม่พอใจเท่าไหร่ ขมวดคิ้วว่า “ถ้างั้นทำไมถึงโจมตีผม?”

เลขาสาวไม่รู้จะตอบยังไงอยู่บ้าง ลังเลขึ้นมาอีกครั้ง เอ่ยเสียงแผ่วว่า “คุณมีปราณสูง คาดว่าในความคิดของพวกเขาผู้ฝึกยุทธ์ถือเป็นชนชั้นอภิสิทธิ์”

“ให้ตายเถอะ!”

ฟางผิงสบถ นี่มันเรื่องอะไรกัน?

ฉันไปได้รับอภิสิทธิ์ตอนไหน?

นี่มันดวงซวยชัดๆ!

หากมีฝีมือก็ไปโจมตีผู้ฝึกยุทธ์ในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้พวกนั้นสิ แต่นี่เลือกมารังแกคนอ่อนแอกว่าว่างั้นเถอะ!

เวลาเดียวกับที่ฟางผิงสอบถามเลขาสาว

ห้องผู้อำนวยการ

ผู้อำนวยการหน่วยสืบสวนเอ่ยอย่างปวดหัว “นายบอกว่าเป็นน้องชายของหวังจินหยาง?”

จางหย่งละล่ำละลักเอ่ย “เขาเป็นคนพูดเอง ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า แต่ก่อนหน้านี้ผมโทรหาถานเจิ้นผิง เขาบอกว่าฟางผิงมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับหวังจินหยาง”

“เป็นปัญหาแล้ว!”

ผู้อำนวยการคลำผมที่หลุดร่วงไปบ้างของตัวเอง รู้สึกว่าผ่านไปอีกสองปีหัวเขาคงจะล้านหมดแล้ว สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนเอ่ยว่า “เอาแบบนี้เถอะ ทางนี้นายไปปลอบใจหน่อย ยังไงก็ไม่ได้รับบาดเจ็บหนัก”

“ส่วนหวังจินหยาง…”

จางหย่งเอ่ยทันทีว่า “ผมคิดว่าแม้เขาจะเกี่ยวข้องกับหวังจินหยาง แต่หวังจินหยางคงไม่ออกหน้ายุ่งเรื่องนี้หรอก เขาบาดเจ็บแค่เล็กน้อย ขอเพียงพวกเราจัดการเหมาะสม คงไม่สร้างความขุ่นเคืองอะไรให้อีกฝ่าย”

“แบบนี้น่าจะดีที่สุดแล้ว คุณจัดการตามเหมาะสมเถอะ ทางผมยังต้องจัดการเรื่องที่ตามมา คงไม่ออกหน้าแล้ว เผื่อมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีก”

จางหย่งเข้าใจความหมายของผู้อำนวยการอยู่แล้ว เขาไปพูด แม้จะจบลงด้วยดีไม่ได้ เวลานั้นยังให้ผู้อำนวยการออกหน้าอีกครั้งได้

แต่ถ้าผู้อำนวยการไป นั่นคงไม่เหมือนกันแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นหวังจินหยางเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม ผู้อำนวยการอยู่ขั้นสามเหมือนกัน ฟางผิงเป็นแค่นักเรียนที่พร้อมจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่ง

ครั้งนี้หากคนที่มาคือหวังจินหยาง ผู้อำนวยการคงออกหน้าด้วยตัวเอง ส่วนฟางผิง คงไม่มีความจำเป็นขนาดนั้น

ครู่ต่อมาทั้งสองคนก็ปรึกษาจัดการเรื่องที่จะตามมาเล็กน้อย จางหย่งไม่รั้งตัวอยู่นาน กลับไปห้องทำงานอย่างเร่งรีบ

———————-