ตอนที่ 259 โดนฟ้อง

แม่ครัวยอดเซียน

เคยมีคำพูดว่า ดูเรื่องคนอื่นมากเกินไปกรรมจะตามสนอง ผลปรากฏว่ากรรมตามมาจริงๆ โดยเฉพาะมาในรูปแบบที่กินเนื้ออบแห้งไปดื่มชาเซียนไปด้วยท่าทีเจ้าเล่ห์

เพียงแต่หากจะบอกว่าเป็นเวรกรรม บอกว่ามองเห็นความแตกต่างได้ชัดเจนมากขึ้นจะดีกว่า

หลิวหลีจากเดิมที่ต้องการความช่วยเหลือมาจนตอนนี้พลังเหลือล้น ถึงขนาดสร้างสรรค์อะไรใหม่ๆออกมา ทำให้เอ๋าเลี่ยต้องรับมือไม่หวาดไม่ไหว จนกระทั่งตอนนี้ถูกหลิวหลีเอาชนะในกระบวนท่าเดียว เอ๋าเลี่ยโดนโจมตีจนร่วงลงจากฟ้า ทำให้เอ๋าเลี่ยต้องเข้าฌานไป 100 วันเต็มๆ น่าอายจริงๆ นังหนูที่ตอนนั้นต้องให้เขาปกป้อง ให้เขาออกหน้าดูแล ตอนนี้เติบโตแล้ว อีกไม่นานก็จะกลายเป็นฝ่ายปกป้องเขาแทน

จื่อฉีเองที่เดิมเป็นเด็กน้อย ตอนนี้ก็เริ่มได้ดั่งใจ พัฒนาการของเขาทำให้ทุกคนตกใจ โดยเฉพาะพละกำลังในการต่อสู้นั้นช่างน่าตกตะลึง เขาไม่ใช่เจ้าหนูที่คอยหลบหลังหลิวหลีในตอนนั้นอีกต่อไป

เมื่อหนานกงเวิ่นเทียนออกฌาน ก็เห็นอสูรเทพทั้ง 3 ตัวมองเขาด้วยแววตาตำหนิ เกิดอะไรกันขึ้น

หลิวหลีกำลังจิบชาอย่างสบายๆ ด้วยสีหน้าไม่รู้ร้อนรู้หนาว

“เจ้าหนู รีบมาพาตัวภรรยาของเจ้ากลับไป” เอ๋าเลี่ยเห็นหนานกงเวิ่นเทียราวเห็นผู้ช่วยชีวิต

นังหนูคนนี้สู้ตัวต่อตัวไม่รู้สึกอะไร ก็เลยเข้าสู้ทีละ 2 คน สุดท้ายพวกเขา 3 คนก็สู้พร้อมกัน นังหนูก็ยังมีพลังเหลือๆ สิ่งที่ทำให้เอ๋าเลี่ยรู้สึกอึดอัดใจมากที่สุดก็คือ เขาในฐานะที่เป็นความภาคภูมิใจของอสูรเทพที่มีร่างกายแข็งแกร่ง แต่กลับไม่สามารถสู้นังหนูได้ ตอนนั้นเขาต้องคิดไม่ตกขนาดไหน ถึงได้สอนคัมภีร์มังกรนพเก้าให้กับนังหนู ตอนนี้นางไม่ได้แตกต่างอะไรจากอสูรเทพในร่างคน เพียงแต่ไม่มีร่างอสูรเท่านั้นเอง

“น้องหญิง ในช่วงที่ข้าเข้าฌาน เจ้าไปสร้างเรื่องอะไรมาอีก” หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกตกใจกับสภาพน้อยอกกน้อยใจของอสูรเทพทั้งสาม

“ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย แค่เป็นคู่ฝึกซ้อมให้กับพวกเขาเท่านั้นเอง” หลิวหลีบอกว่าตัวเองแค่ฝึกซ้อมเท่านั้น

“ใช่ ฝึกซ้อม” ไม่ใช่ว่าพวกเขาแพ้ไม่ได้ แต่นังหนูโหดร้ายเกินไป พวกเขาไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนังหนูยังติดเล่น นางเล่นจนเพลิงเซียนบอบช้ำไปหมด พวกมันเองก็ไม่อยากจะย้อนกลับไปนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น

เรื่องที่ควรจะได้รับการกล่าวถึงก็คือ ร่างแก้วสีแดงที่หลิวหลีเคยได้มาตอนอยู่ที่เขาต้าสิง ช่วยให้เพลิงอัสนีครามของหลิวหลีบรรลุขั้นเป็นเพลิงเซียนอัสนีคราม เมื่อมีเพลิงเซียนที่เป็นพลังโจมตีเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชนิด ทำให้พลังบำเพ็ญเพียรของนางเพิ่มขึ้นไม่น้อย ส่งผลให้ยิ่งรับมือได้ยากขึ้น อีกทั้งการแยกประสาทเซียนที่หลิวหลีคิดค้นขึ้นก็ไม่มีใครสามารถทำได้ ทำให้เหมือนกำลังสู้กับหลิวหลีอีกเป็นพันคน หากไม่ระวังก็อาจจะพลาดท่าได้

“เจ้าหนู ตอนนี้เจ้าก็ออกฌานแล้ว พวกเราค่อยเจอกันตอนการประลองครั้งใหญ่ ไม่ไปส่งก็แล้วกัน” เอ๋าเลี่ยพูดจบ อสูรเทพทั้ง 3 ตัวก็ไปเข้าฌาน รู้สึกกระวนกระวายมากจริงๆ

“เอาล่ะ น้องหญิง บอกมาเถอะว่าเจ้าไปทำอะไรมา” นึกไม่ถึงว่าเอ๋าเลี่ยที่เอ็นดูหลิวหลีมาก จื่อฉีที่ศรัทธาในตัวหลิวหลีอย่างไม่ลืมหูลืมตาจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ นางจะต้องไปทำความผิดอะไรที่ไม่น่าให้อภัยไว้แน่

“ไม่ได้ทำอะไรเลย ก็แค่ใช้เพลิงหทัยสมุทรห้อยร่างของอาเลี่ยไว้กลางอากาศ ไม่ทันระวังเปลี่ยนทรงผมให้กับอิงเสวี่ย ส่วนไม่ทันระวังเลยเกือบทำจื่อฉีไหม้” หลิวหลีหักนิ้วพลางพูดขึ้น

ใช่ ตอนนั้นบรรพชนเอ๋าเฟิงกับบรรพชนเฟิ่งซานกำลังดื่มชา แล้วหัวใหญ่ๆของเอ๋าเลี่ยเกือบทำให้บรรพชนทั้งสองตกใจ ส่วนเฟิ่งอิงเสวี่ยนั้น ผมสีขาวราวกับหิมะของนาง ถูกหลิวหลีเผาเสียจนน่าเกลียดกว่าการโดนสุนัขแทะ ยิ่งไปกว่านั้นคือ จื่อฉีเกือบโดนย่างทั้งเป็น ร่องรอยต่างๆ นานา ร้ายกาจเกินกว่าที่จะบรรยายออกมาได้หมด

เหตุใดหนานกงเวิ่นเทียนจะไม่รู้ว่าคำพูดของนังหนูมีน้ำเยอะขนาดไหน มองนังหนูที่ทำหน้าตาใสซื่อ เขาก็โมโหไม่ลง

“น้องหญิง เจ้าก็เห็นแล้ว อาเลี่ยไล่แล้ว พวกเรากลับกันเถอะ ไม่เช่นนั้น จักรพรรดิอาจทรงคิดว่าข้าพาเจ้าหนีได้” หนานกงเวิ่นเทียนพูดอย่างหมดหนทาง

“ก็ได้ จะได้บอกกับองค์จักรพรรดิด้วยว่าพวกเราปลอดภัยดี” อืม ไปก็ได้ ไม่เช่นนั้นตัวเองคงจะกลายเป็นคนที่มีคนเกลียดมากแน่ ทั้งที่นางก็ไม่รู้สึกเลยว่านางทำความผิดที่ไม่น่าให้อภัยตรงไหน

หลังจากที่ทั้งสองคนจากไปแล้ว

“ในที่สุดนังหนูก็ไปเสียที ตอนนั้นใครเป็นคนเสนอให้ประลอง” เอ๋าเลี่ยอดบ่นไม่ได้

“เหมือนจะเป็นพี่เลยนะ พี่เอ๋าเลี่ย” พอจื่อฉีลองนึกดูแล้ว เหมือนว่าเอ๋าเลี่ยจะเป็นคนเสนอ

“ตอนนั้นข้าปากพล่อยจริงๆ นังหนูจะต้องเป็นอัจฉริยะในการต่อสู้แน่ เป็นประเภทที่ยิ่งสู้ก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ก้าวหน้าขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พวกเราจะไม่ยอมรับก็คงจะไม่ได้” เอ๋าเลี่ยนึกถึงพรสวรรค์ที่น่ากลัวของหลิวหลี หลิวหลีในความทรงจำของเขายังคงเป็นนังหนูที่ต้องได้รับการดูแล แต่เขากลับลืมไป นังหนูคนนี้เติบโตแล้ว อีกทั้งยังมีพรสวรรค์ด้านการเรียนรู้ที่น่ากลัว นางอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาแล้ว สิ่งที่ทำให้เขายิ่งรู้สึกรับไม่ได้เลยก็คือ นังหนูนำหน้าเขาไปแล้ว เขาจะต้องพยายามจึงจะถูก

“ข้าถูกท่านพี่รังแกมาตั้งหลายร้อยปี ผู้นำสกุลหลงอยากให้พี่สาวสอนพวกสมองทึบในบ้านสกุลหลงพวกนั้น แต่ท่านพี่ไม่ยอม การได้ประลองกับนาง ทำให้ฝีมือพัฒนาขึ้นมากจริงๆ” จื่อฉีกล่าว แต่นึกไม่ถึงว่านางจะพัฒนาได้เร็วกว่าพวกเขา

“ผมของข้าล่ะ” เฟิ่งอิงเสวี่ยนึกถึงเรื่องนี้ก็ยิ่งรู้สึกโมโห ผมของอสูรเทพมาจากขนบนตัวอสูร ตัวนางเองไม่กล้ากลับร่างเดิมอยู่นาน เพราะกลัวว่าขนที่น่าสงสารบนตัวจะเปลี่ยนจากหงส์เหมันต์กลายเป็นหงส์เพลิง นางแน่ใจได้เลยว่านังหนูคนนั้นจงใจอย่างแน่นอน

“เอ่อ อิงเสวี่ย ผมของเจ้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว” เอ๋าเลี่ยกล่าว เขายังจำตอนนั้นที่ผมของอิงเสวี่ยเป็นทรงเหมือนโดนหนูแทะ ตอนนั้นนังหนูถึงกับปรับแต่งทรงผมให้ใหม่ด้วย บอกว่าเป็นผมสั้นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก จะต้องเป็นผู้นำกระแสแน่ นางยังจำได้ว่าตอนนั้นตัวเองโมโหมาก ผลปรากฏว่านังหนูจัดการได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นเพื่อขอโทษ นังหนูทำของต่างๆที่ทำมาจากงาดำมาให้ ว่ากันว่าช่วยบำรุงเส้นผมได้

“ไม่เช่นนั้น เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยนังหนูไปง่ายๆหรือ” เฟิ่งอิงเสวี่ยส่งสายตาพิฆาตให้เอ๋าเลี่ย

“เจ้าไม่ปล่อยนังหนูไป เจ้าก็สู้ไม่ได้อยู่ดี” เอ๋าเลี่ยพูดความจริงออกมา ผลปรากฏว่าข้างลำตัวเอ๋าเลี่ยเต็มไปด้วยเศษน้ำแข็ง แถมด้วยแผ่นหลังอันเยือกเย็นของเฟิ่งอิงเสวี่ย

“พี่อาเลี่ย ท่านทำพี่อิงเสวี่ยโกรธแล้ว” ดูสิ ขนาดห่างออกไปตั้งไกล ยังสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็น

“ข้าพูดความจริง” เอ๋าเลี่ยกระพริบตาด้วยความใสซื่อ เดี๋ยวนี้พูดความจริงก็ไม่ได้แล้วหรือ

“มิน่าพี่เอ๋าเลี่ยถึงยังเป็นโสดอยู่” จื่อฉีส่ายหัว ทั้งๆที่ทุกคนดูออกว่าพี่เอ๋าเลี่ยมีความรู้สึกพิเศษต่อพี่อิงเสวี่ย แต่คนที่แข็งเหมือนท่อนไม้อย่างพี่อาเลี่ย ทำให้เขารู้สึกว่าหนทางในการมีฮูหยินของพี่อาเลี่ยจะต้องยากลำบากมากแน่

“เจ้าหนู เจ้าว่าไงนะ เจ้ามีฮูหยินแล้วหรือ ถึงขนาดกล้ามาหัวเราะเยาะข้า” เอ๋าเลี่ยรู้สึกไม่พอใจ เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เขายังโสดด้วย

“โถ่ พี่ อายุน้อย ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เข้าใจอะไร ข้าเป็นคนที่มีเนตรกิเลน สามารถมองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทะลุไปจนถึงเบื้องลึกของจิตใจ” จื่อฉีบอกความถนัดที่สุดของตัวเองออกมา เขามองออก พี่อิงเสวี่ยเริ่มใจอ่อนแล้ว แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเล็กน้อยนั้น ถูกพี่เอ๋าเลี่ยทำให้พังไปแล้ว

“เจ้าเป็นเด็กน้อย เจ้าจะไปรู้อะไร รีบไปเข้าฌานเถอะ การประลองครั้งใหญ่ จะต้องเอาชนะให้ได้” เอ๋าเลี่ยไล่จื่อฉี

จื่อฉีหมดหนทาง เขาไปเข้าฌานก็แล้วกัน เพราะอย่างไรเสียเขาก็ไม่มีแผนที่จะไปหาฮูหยินสักหน่อย อสูรเทพเพศเมียที่มาสารภาพรักกับเขา ถ้าไม่ใช่คนที่อายุมากกว่าเขาหลายรอบ ในใจไม่ว่าจะคิดอะไรเขาก็รู้ไปหมด ทำให้รู้สึกน่าเบื่อ ยังจำได้ว่าเอ๋าเฟิงเคยถามจื่อฉีเกี่ยวกับความคิดที่มีต่ออสูรเพศเมีย พอจื่อฉีพูดความคิดของอสูรเทพกลุ่มนั้นออกมา เอ๋าเฟิงถึงกับเหงื่อตก หากมีคู่ครองที่รู้ความลับในใจทุกอย่างของตัวเองคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก

ในอีกด้าน หนานกงเวิ่นเทียนก็กำลังคุยกับหลิวหลี เกี่ยวกับประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นในครั้งนี้

“เจ้าบอกว่าในพื้นที่ต้องห้ามมีผู้อาวุโสปู้หุ่ยที่ดวงตาสีแดงก่ำอยู่ เขาสอนอะไรให้เจ้ากับจื่อฉีไม่น้อยเลยหรือ” หนานกงเวิ่นเทียนนึกไม่ถึงว่าหลิวหลีอยู่บ้านก็ซน ถึงขนาดกล้าบุกเข้าไปในพื้นที่ต้องห้าม

“ใช่ ดูเหมือนเขากำลังสะกดอะไรบางอย่างอยู่” หลิวหลีบอกสิ่งที่คาดเดาออกมา

“ไม่แน่ใจแล้วเจ้าลองถามปู่ทวดแล้วหรือยัง” หนานกงเวิ่นเทียนขมวดคิ้ว พวกเขาไม่ได้รู้เรื่องในโลกเซียนมากนัก

“ยังเลย ผู้อาวุโสปู้หุ่ยบอกว่าลูกหลานของเขาต่างพากันดูถูกเขา กลัวเขา เขาจึงต้องอยู่ที่นั่น” หลิวหลีส่ายหัว รู้สึกว่าหากตนเองถามปู่ทวด จะต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ ดังนั้นนางกับจื่อฉีจึงเก็บเรื่องนี้ไว้ ไม่บอกกระทั่งเอ๋าเลี่ยกับเฟิงอิงเสวี่ย

“นังหนู เจ้าเนี่ยนะ อยู่ว่างไม่ได้เลยจริงๆ” หนานกงเวิ่นเทียนไม่รู้จะพูดอะไร ปล่อยให้นางคลาดสายตาเพียงครู่เดียวก็ก่อเรื่องเสียแล้ว ไม่สิถึงพวกเขาอยู่ด้วยกันก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้อยู่ดี

“ตอนแรกข้าแค่อยากจะเป็นคู่ฝึกซ้อมให้กับจื่อฉีเท่านั้นจริงๆ” หลิวหลียกมือขึ้นสาบาน จุดประสงค์ตอนแรกของนางมีแค่นั้นจริงๆ ใครจะไปรู้ว่าตอนหลังจะกลายเป็นแบบนั้นไปได้ เฮ้อ แผนการไม่เคยตรงกับการเปลี่ยนแปลงก็เห็นจะมีแต่นาง

“คราวนี้ สัญญากับข้า ก่อนการประลองครั้งใหญ่ค่อยออกฌานได้ไหม ห้ามหนีไปไหนด้วย” แน่นอนว่าหนานกงเวิ่นเทียนจะต้องกลับไปที่วังนภาธารา ใครจะไปรู้ว่านังหนูจะสร้างเรื่องอะไรอีก ขอกำชับไว้ก่อนก็แล้วกัน

“ได้ จะกลับไปปรุงยาพอดี ไม่ได้ปรุงยามานานแล้ว” จะได้ทดลองประสาทเซียนของตัวเองที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นด้วยพอดี

 ……………………….