ตอนที่ 260 หลิวหลีมีความรับผิดชอบมากทีเดียว

แม่ครัวยอดเซียน

เมื่อหลิวหลีกลับวังนภาเพลิงแล้วรายงานตัวกับองค์จักรพรรดิเสร็จ ก็กลับตำหนักเวิ่นเทียนทันที เมื่อทหารสวรรค์ของตำหนักเวิ่นเทียนเห็นนายท่านของพวกเขากลับมาจึงดีใจมากเป็นพิเศษ

“ไม่เจอกันนานเลย ทุกคนสบายดีไหม” หลิวหลีสัมผัสได้เลยว่า ทหารสวรรค์ในตำหนักเวิ่นเทียนของนางเลี้ยงง่าย นายท่านอย่างตนเองที่ไม่เคยได้ทำอะไรเพื่อทหารสวรรค์กลุ่มนี้ที่ติดตามนาง วันๆถ้าไม่เข้าฌาณ ก็กลับบ้าน หรือไปเที่ยวเล่น

“นายท่าน ท่านกลับมาแล้ว” อวิ๋นเฟยมองนายท่านที่มีความสามารถยิ่งกว่าปีศาจจนน่าตกใจของพวกเขา

“อืม ข้าจะไม่ออกไปแล้ว จะอยู่ที่ตำหนักเวิ่นเทียนนี่แหละ” หลิวหลีพยักหน้า การประลองครั้งใหญ่ใกล้จะเริ่มต้นขึ้น นางอยู่นิ่งๆหน่อยก็แล้วกัน

“นายท่านจะเข้าฌาณอยู่ในตำหนักหรือ” อวิ๋นเฟยนึกไม่ถึงเลยว่านายท่านของพวกเขาจะพูดเช่นนี้ รู้สึกตกใจเล็กน้อย นายท่านของพวกเขาเป็นคนติดเล่นมาก จะพูดอย่างไรดีล่ะ คงต้องใช้คำว่าอยู่เฉยไม่ได้

“ไม่ล่ะ ข้ายังห่างไกลจากขั้นราชาเซียนมาก ถึงเข้าฌานต่อไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร ครั้งนี้ข้าจะไม่เข้าฌาน ข้าจะไปปรุงยา ใช่แล้ว อวิ๋นเฟย ผู้บำเพ็ญหญิงในวังนภาเพลิงสงบลงแล้วหรือยัง” หลิวหลีนึกถึงเรื่องสำคัญ ผู้บำเพ็ญหญิงในวังนภาเพลิงบ้าคลั่งกันไม่น้อย

“อาจเพราะเข้าใจความหมายของท่าน ทำให้ทุกคนคิดได้ไม่น้อย โดยเฉพาะจากเรื่องจิ้งจอกเรื่องนั้น ทุกคนต่างก็รู้ว่าท่านทำเพื่อสามีของท่าน บอกทุกคนว่าเข้าฌานแต่จริงๆแล้วพาเขาออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก ทำให้ผู้บำเพ็ญหญิงจำนวนมากรู้สึกอิจฉา แต่ทุกคนก็เข้าใจ พวกนางชอบนายท่านด้วยใจจริง แต่ก็เข้าใจว่าในใจของท่าน นอกจากสามีแล้วก็ไม่สามารถรับใครเข้าไปได้อีก ทำให้สงบลงไม่น้อย” ชิงหลิ่วอธิบาย ทุกคนกลับไปเป็นเหมือนเดิม แล้วดูเหมือนจะเข้าใจว่าไม่ว่าจะทำอย่างไร หลิวหลีก็จะไม่มีทางรักพวกนาง เหมือนอย่างที่นางรักสามีตนเอง

“ถ้าเช่นนั้นก็ดี” ไม่เช่นนั้นนางคงจะต้องประกาศว่าเข้าฌาน แล้วไปทำอย่างอื่น คิดได้ก็ดีแล้ว

ในวันนี้หลิวหลีปรุงยาเสร็จ ก็รู้สึกว่าตัวเองควรจะออกไปเดินเล่นข้างนอก ขณะที่เดินผ่านสนามฝึกซ้อมพอดีเห็นคนกำลังประลองฝีมือกันอยู่ นางจึงมองดูอย่างสนใจ ชมการประลองไปหลายคู่ ถึงจะมีคนสังเกตเห็นนาง

“นายท่าน ท่านมาที่สนามฝึกซ้อมได้อย่างไร” จื่อจู๋รู้สึกประหลาดใจ นายท่านของเขาไปไหนไร้ร่องรอย คราวก่อนนางมาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับพวกเขาเท่านั้น แถมพลังบำเพ็ญเพียรในตอนนี้ก็สามารถโยนพวกเขาออกไปจนไม่เหลือแม้แต่เงา จะมาที่นี่ได้อย่างไร จื่อจู๋งุนงง ส่วนพวกทหารสวรรค์พากันตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

“ข้าปรุงยาเสร็จ ไม่มีอะไรทำก็เลยมาที่นี่ พวกเจ้ากำลังฝึกซ้อมกันอยู่หรือ” หลิวหลีไม่สนใจน้ำเสียงประหลาดของจื่อจู๋ อืม หลายร้อยปีมานี้สู้กับพวกเอ๋าเลี่ยจนชิน มือเริ่มคันขึ้นมาแล้ว

“นายท่าน หากว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้าก็ขอตัวก่อน” จื่อจู๋พูดขึ้นด้วยความงุนงง

“อืม ช้าก่อน ข้าอยากจะประลองกับพวกเจ้าสักหน่อย” หลิวหลีรู้สึกว่าตัวเองเป็นถึงเจ้าตำหนัก การสั่งสอนลูกน้องก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ อืม อืม อืม นางช่างเป็นเจ้าตำหนักที่ดีจริงๆ

“ขอบพระคุณนายท่านมาก ที่ให้คำชี้แนะพวกเรา”  จื่อจู๋ตื่นเต้นน้อยๆ นายท่านที่เป็นถึงผู้ถูกเลือกมาชี้แนะพวกเขา เชื่อว่าพวกเขาจะต้องพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วแน่ จากนั้นจื่อจู๋จึงพบว่าไม่เพียงแค่พลังบำเพ็ญเพียรของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นเท่านั้น พลังการป้องกันการโจมตีก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

“พลังบำเพ็ญเพียรของเจ้าอยู่ในขั้นเซียนอธนการหรือนี่ ถ้าเช่นนั้นข้าจะปรับพลังบำเพ็ญเพียรของข้าให้อยู่ในขั้นเซียนอธนการก็แล้วกัน” หลิวหลีมองดูทหารสวรรค์ที่ขึ้นมาเป็นคนแรก

“ขอบคุณขอรับ นายท่าน” เป็นบุญที่ได้รับการชี้แนะจากนายท่าน ช่างโชคดีจริงๆ

หลิวหลีลองหยั่งเชิงก่อนสิบกว่ากระบวนท่า แล้วจึงโยนคนผู้นั้นออกไป

“เจ้าฝึกบำเพ็ญไม่สมดุล ท่อนบนไร้พละกำลัง ส่วนท่อนล่างมีพละกำลังเหนือท่อนบน ถึงแม้ท่อนล่างจะมั่นคงมาก แต่การจะล้มเจ้าก็ง่ายดาย ท่อนบนของเจ้าก็คือจุดอ่อน จำไว้ พละกำลังกับพลังเซียนจำเป็นจะต้องมีความสมดุล” หลิวหลีแนะนำ

“ขอบคุณนายท่าน” ทหารสวรรค์ผู้นั้นเข้าใจทันที ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง

เมื่อได้ยินคำวิจารณ์ของหลิวหลี ก็เกิดเสียงจอแจขึ้นจากฝั่งเหล่าทหารสวรรค์ นางพูดตรงๆเช่นนี้เลยหรือ นึกว่านายท่านของพวกเขาจะมาแค่เล่นๆเท่านั้น เพราะอย่างไรเสียพลังบำเพ็ญเพียรของพวกเขาก็ค่อนข้างแย่

ไม่ว่าหลิวหลีจะสู้กับใคร ก็จะวิจารณ์ข้อบกพร่องออกมา ส่งผลให้ทหารสวรรค์เหล่านี้เข้าใจกระจ่างแจ้งทันที ต่างมาเข้าแถวรอประลองและเพื่อจะรับคำวิจารณ์จากนาง

“พวกเจ้าสังเกตเห็นไหมว่า นายท่านประลองกับพวกเรามาตั้งนานยังไม่มีวี่แววจะหยุดเลย” ทหารสวรรค์ค้นพบบางสิ่ง ความจริงที่เขย่าขวัญ พลังเซียนของเจ้าตำหนักหลิวหลี มากมายเสียจนทำให้คนต้องหวั่นเกรงจริงๆ

“ถึงแม้พลังบำเพ็ญเพียรของนายท่านจะต่างจากพวกเรามาก แต่นางมีความสามารถมากถึงขนาดนี้เชียวหรือ”

“นายท่านให้คำแนะนำอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยมาหลายร้อยรอบ ข้าวนมารอบที่ 3 แล้ว” พอเห็นเช่นนี้แล้ว นายท่านของพวกเขาสุดยอดมากจริงๆ การสู้กับคนจำนวนมากไม่ได้ทำให้นางสะทกสะท้านแต่อย่างใด

“ดูจากท่าทางของนายท่านแล้ว น่าจะยังมีพละกำลังเหลืออยู่อีกมาก”

“เอาล่ะ พวกเจ้าจะลองเข้ามาพร้อมกันไหม บางครั้งร่วมมือกันอาจจะได้ผลที่คาดไม่ถึงก็ได้” หลิวหลีมองดูสีหน้ายุ่งยากใจของทหารสวรรค์กลุ่มนี้แล้วพูดขึ้น

“ร่วมมือกัน?”

“ใช่แล้ว ถึงแม้การบำเพ็ญจะเป็นเรื่องของใครของมัน แต่ในตอนที่พลังของตัวเองยังไม่เป็นที่น่าภูมิใจ การเลือกเพื่อนที่พึ่งพาได้ก็เป็นเรื่องสำคัญ ตอนนี้พวกเจ้าต่างก็เป็นทหารสวรรค์ในตำหนักเวิ่นเทียนของข้า ควรจะคอยสนับสนุนกัน  ร่วมต่อสู้ด้วยกันอย่างไม่ต้องเป็นกังวล บางครั้งหนึ่งบวกหนึ่งอาจจะไม่ได้เท่ากับสอง  แต่อาจจะมากกว่าสองด้วยซ้ำไป” หลิวหลีพูดอย่างมีนัยยะ

“นายท่านหมายความว่า ถึงตอนนี้พลังบำเพ็ญเพียรของพวกเราจะไม่สูงนักก็สามารถร่วมมือกันรับมือกับศัตรูหรือว่าต่อสู้ได้น่ะหรือ” จื่อจู๋กล่าวถาม

“ทั้งใช่แล้วก็ไม่ใช่ ข้าให้พวกเจ้าร่วมมือกันก็เพื่อให้สบายใจยามที่พลังบำเพ็ญเพียรไม่สูงมาก แล้วเมื่อพลังบำเพ็ญเพียรสูงได้มีเพื่อนรู้ใจ การบำเพ็ญก็จะไม่โดดเดี่ยว อีกอย่างนี่ไม่ใช่การรวมเป็นพันธมิตร เพราะแบบนั้นจะเป็นเพียงแค่ร่วมออกรบเพื่อประโยชน์เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่สิ่งที่ข้าหมายถึงคือพวกเจ้าแต่ละคนพึ่งพาตนเอง แต่เมื่อร่วมมือกันแล้วก็จะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น” หลิวหลีส่ายหัวแล้วอธิบาย พันธมิตรอะไรพวกนั้นจะร่วมมือเพื่อผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว ไม่มั่นคง ทุกคนต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ก็จะต้องเหนื่อยอย่างแน่นอน

“นายท่าน พวกข้าจะลองดู นายท่านพูดถูก พวกเราต่างก็เป็นทหารสวรรค์ของนายท่าน สามัคคีอยู่ด้วยกันเป็นประโยชน์ต่อทั้งตัวเองและทุกคน” จื่อจู๋พยักหน้าแล้วพูดขึ้น

“ถ้าเป็นเช่นนี้ พวกเจ้าลองจับกลุ่มกัน แต่ห้ามให้มีกลุ่มเล็กโผล่ออกมา” หลิวหลีพูดขึงขัง กลุ่มเล็กกลุ่มน้อยไม่เอื้อต่อการพัฒนาของกลุ่มใหญ่

“ขอรับ นายท่าน”

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็เริ่มรวมกลุ่มกัน พบว่าการช่วยเหลือกัน สามารถช่วยเติมเต็มในสิ่งที่ตัวเองขาดหายไปได้ อีกทั้งยังสามารถเพิ่มพลังการโจมตี คนจำนวนไม่น้อยมีสีหน้าปิติยินดี แต่ก็มีบางคนที่ชอบสู้คนเดียว หลิวหลีก็ไม่ได้บังคับ เพราะอย่างไรทุกคนล้วนมีนิสัยของตัวเอง

จากนั้นหลิวหลีก็ไม่ได้จำกัดให้จะต้องมาสู้แค่กับตัวเอง แต่ให้พวกเขาสู้กันเองด้วย ในช่วงนี้ทุกคนมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด นายท่านของพวกเขาจึงกลับไปปรุงยาต่อเพียงแต่ว่าพวกเขายังไม่ค่อยแน่ใจว่าพวกเขาจะได้อะไรกลับไปบ้าง

หลิวหลีเองย่อมไม่รู้ว่านางได้สร้างแรงหนุนอย่างไรไว้สำหรับตนเองในอนาคต นางรู้สึกแค่ว่าทหารสวรรค์กลุ่มนี้เดินมาถูกทางแล้ว ถือได้ว่านางไม่ได้ปล่อยปะละเลย อีกทั้งใกล้จะถึงการประลองครั้งใหญ่ จะเข้าฌานไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร นางจึงตัดสินใจไปปรุงยา

หนานกงเวิ่นเทียนแห่งวังนภาธารารายเมื่องานตัวเสร็จก็กลับไปเข้าฌาน ปราณก่อนกำเนิดมารนั้น เขายังหลอมรวมไม่หมด พลังเซียนภายในร่างกายจึงเพิ่มขึ้นไม่น้อย แต่ก็ยังห่างจากขั้นราชาเซียนอยู่ เพราะอย่างไรเสียปราณกำเนิดเซียนของราชาวารีก็ถูกพลังมารกลืนกินไปไม่น้อย ถึงแม้สิ่งที่เหลืออยู่จะเป็นสิ่งที่ถูกสกัดออกมาแล้ว แต่ก็มีจำนวนไม่มาก

ณ ดินแดนอสูรเทพ หลังจากหลิวหลีจากไป อสูรเทพทั้ง 3 ตัวก็เข้าฌาน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการประลองครั้งใหญ่ที่จะมาถึง เพราะอย่างไรเสียเรื่องนี้ก็เกี่ยวพันกับหน้าตาของดินแดนที่ตัวเองอาศัยอยู่ พวกเขาจำเป็นต้องให้ความสำคัญ คนที่ได้ที่หนึ่งในดินแดนอื่นๆ ต่างก็กำลังเข้าฌานเพื่อเพิ่มพลังบำเพ็ญเพียรให้กับตัวเอง คนที่จะมานั่งปรุงยาสบายๆ ต่อสู้กับทหารสวรรค์ของตัวเองเพื่อฆ่าเวลาอย่างหลิวหลี คิดว่าก็คงจะมีแค่ตัวนางเองเท่านั้น

ณ วังนภาเพลิง จักรพรรดิทรงกังวลพระทัยน้อยๆ หลิวหลีดูสบายใจเกินไป ไม่รู้ว่าจะทำให้วังนภาเพลิงจะต้องอยู่ในอันดับสุดท้ายหรือไม่ แต่จะไม่ให้นังหนูไปก็ไม่ได้ เพราะเจ้าตำหนักที่เหลือไม่มีใครบรรลุขั้นเซียนนภานพเก้า หลังจากการประลองครั้งใหญ่ก็จะต้องประกาศให้หลิวหลีรับตำแหน่งรัชทายาทแล้ว ไม่ว่าจะคิดอย่างไร  9 คนนั้นต่างจากหลิวหลีมากจริงๆ แต่เขามักจะรู้สึกว่า ถึงแม้ว่าจะมอบตำแหน่งของตัวเองให้กับหลิวหลี นังหนูก็ไม่เห็นว่าจะให้ความสนใจสักเท่าไหร่ กลับกันทรงรู้สึกว่าหากว่าเวิ่นเทียนแห่งวังนภาธาราได้สืบทอดตำแหน่ง นังหนูก็คงจะรีบตามไปอยู่ด้วยแน่

เมื่อการประลองครั้งใหญ่มาถึง หลิวหลีขมวดคิ้วดูที่นั่งของตัวเอง เก้าอี้หรูหราที่มีมังกรหุ่นเชิดกลุ่มหนึ่งถือไว้ ตั้งใจจะให้นางโดดเด่นขนาดไหนก็เป็นไปตามที่ประสงค์แล้วล่ะ ช่างขัดกับนิสัยปกติของนางจริงๆ ส่วนขุนนางเซียนของนางที่เดินตามต้อยๆอยู่ข้างรถนั้น ยังมีทหารสวรรค์กว่า 20 คนตามหลังมาอีก หลิวหลีใช้หลักประชาธิปไตยในการเลือกคน ตัดสินโดยการจับสลาก ยุติธรรมจนไม่มีใครโต้แย้งอะไรได้ เรื่องวาสนา ไม่สามารถเทียบกันได้จริงๆ ส่วนเจ้าตำหนักทั้ง 9 ท่านที่เหลืออยู่ไม่ไกลจากตรงนั้น ส่วนที่นั่งของจักรพรรดิยิ่งหนักกว่า นอกจากนี้ยังมีผู้อาวุโสอีก 2 ท่านเดินตามมา หลิวหลีรู้สึกว่านี่ไม่ใช่การไปเข้าร่วมการประลอง แต่เป็นการแข่งกันอวดทรัพย์สินเงินทอง สร้างศัตรูเสียมากกว่า

………………….