“นายท่าน ไม่พอใจกับที่นั่งงั้นหรือ สามารถเปลี่ยนได้นะขอรับ” อวิ๋นเฟยเห็นว่านายท่านของตนเองดูไม่พอใจ ก็ไพล่เข้าใจไปว่าหลิวหลีไม่ถูกใจที่นั่ง

“ เปล่า อันนี้นี่แหละ” ใครจะไปรู้ว่าเปลี่ยนแล้วจะแย่กว่าเดิมหรือเปล่า อย่าเสี่ยงเลยก็แล้วกัน หากตัวเองเปลี่ยนที่นั่งคนเดียวจะถูกรังเกียจได้

หลังจากหลิวหลีขึ้นไปนั่ง มังกรหุ่นเชิดเคลื่อนตัวออกเดินทาง ขบวนรถของเหลยจ้านก็เข้ามาใกล้

“หลิวหลี”

“พี่เหลยจ้าน ท่านมีอะไรหรือ” หลิวหลีมองเหลยจ้านที่เดินมาหา ส่วนอีกฟากก็มีหงซวี่เดินเข้ามาเช่นกัน

“หลิวหลี หลังจากการประลองครั้งใหญ่ จะมีโอกาสได้รับคำชี้แนะจากเจ้าหรือไม่” เหลยจ้านบอกจุดประสงค์ของตนเอง

“ได้สิ พี่หงซวี่ก็มีจุดประสงค์เดียวกันใช่หรือไม่” ต่างจะมาขอคำแนะนำจากนาง ทำไมตอนที่นางอยู่วังนภาเพลิงถึงไม่มานะ แต่มาตอนที่กำลังจะออกไปข้างนอก

“ใช่แล้ว ช่วงนี้ข้าก็พัฒนาขึ้นเล็กน้อย แต่ยังขาดโอกาสที่จะทำให้บรรลุขั้นเซียนสุวรรณนภา ก็เลยอยากจะขอให้น้องหลิวหลีช่วย” หงซวี่พยักหน้าแล้วพูดขึ้น นางต้องการแรงกดดัน จึงจะสามารถบรรลุขั้นได้สำเร็จ จะได้เข้าใกล้น้องหลิวหลีมากขึ้น

“ได้เลย” หากว่าพอถึงเวลาตัวเองควบคุมได้ไม่ดี ลงมือเพลินไปหน่อย จักรพรรดิจะมาคิดบัญชีกับนางหรือเปล่านะ

“หลิวหลีรู้หรือไม่ว่าครั้งนี้มีกิจกรรมอะไร?” ไป๋อี้ก็เข้ามาแล้วพูดขึ้น น้ำเสียงลึกลับไม่น้อย

“การประลองครั้งใหญ่ไม่ใช่หรือ?” เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างก็รู้กันอยู่แล้วไม่ใช่หรือ ทำไมเจ้าตำหนักไป๋อี้ท่านนี้ถึงไม่รู้

“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ได้ยินมาว่าลูกสาวของจักรพรรดินีนภาพฤกษา เจ้าตำหนักมู่มู่ จะเลือกคู่ จักรพรรดินีนภาพฤกษาอยากจะหาคนจากบรรดาเจ้าตำหนักในดินแดนต่างๆ แต่ทุกคนก็รู้กันดีว่าดินแดนนภาพฤกษามีคนธาตุพฤกษาเป็นจำนวนมาก ผู้บำเพ็ญที่มีความเหมาะสมกันนั้น ส่วนมากก็จะเป็นธาตุวารีและอัคคี ดังนั้นพูดได้ว่า จะหาลูกเขยจากผู้บำเพ็ญของวังนภาเพลิงกับวังนภาธารา” ไป๋อี้พูดกระซิบกระซาบ เพียงแต่ว่าเจ้าตำหนักหลิวหลีท่านนี้ไม่เพียงจะไม่พอใจแถมยังชักสีหน้าด้วย สีหน้าไม่สู้ดีนัก ไป๋อี้งุนงงว่าเขาพูดผิดตรงไหนกันหรือ

“อ่ะแฮ่ม ไป๋อี้ วังนภาธารามีเจ้าตำหนักชายแค่คนเดียวเท่านั้นแถมยังเป็นสามีของหลิวหลีอีกด้วย” เหลยจ้านกล่าวเตือน เมื่อนึกถึงความรักของหลิวหลีที่มีต่อสามี ก็มองไปที่ไป๋อี้ด้วยความสงสาร เจ้านี่กระตุกหนวดเสือเก่งจริงๆ และเป็นเสือที่ดุร้ายมากด้วย

ไป๋อี้ทำหน้าไม่ถูก เขาจะต้องโง่งมแค่ไหน ที่พูดต่อหน้าฮูหยินของคนอื่นว่าสามีนางอาจได้เป็นสามีของเจ้าตำหนักมู่มู่ นี่จะเรียกว่าเป็นการแต่งงานใหม่หรือการหลอกไปแต่งงานดีนะ

“พี่ไป๋อี้พูดเช่นนี้ แสดงว่าน่าจะพึงพอใจในตัวเจ้าตำหนักมู่มู่อยู่ไม่น้อย ข้าในฐานะที่เป็นน้องของพี่ๆทุกคน ย่อมต้องช่วยเหลือพี่ไป๋อี้อย่างแน่นอน ไม่ต้องเป็นห่วง จะทำให้ท่านได้หญิงงามมาครองแน่” แววตาหลิวหลีที่มองมานั้นเย็นชา และพูดให้ไป๋อี้ถึงกับเหงื่อตก สวรรค์ก็รู้ว่าเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าตำหนักมู่มู่หน้าตาเป็นอย่างไร แล้วจะพูดเรื่องดูออกว่าเขาชื่นชอบได้อย่าวไร นี่น่าจะถือว่ากรรมตามสนองแน่

พวกคนข้างๆอดที่จะหัวเราะไม่ได้ ใครใช้ให้ไป๋อี้พูดจาโดยไม่ผ่านสมอง จักรพรรดิกับผู้อาวุโสทั้ง 2 ที่อยู่ด้านหลังย่อมต้องได้ยินคำพูดของหลิวหลี จึงอดส่ายหัวไม่ได้ ไป๋อี้ถึงขนาดกล้ากระตุกหนวดเสือ แต่เขาก็สงสัยว่านังหนูจะทำอย่างไรเพื่อให้ไป๋อี้ได้ครอบครองธิดาของจักรพรรดินีนภาพฤกษา เขามั่นใจว่า หลิวหลีไม่ได้แค่พูดส่งๆแน่ แต่นางต้องทำได้อย่างแน่นอน

“หลิวหลี ข้าพูดผิดไปแล้ว ให้อภัยข้าได้หรือไม่ เจ้าตำหนักมู่มู่เป็นถึงผู้ถูกเลือก ข้าไม่คู่ควรกับนางหรอก” ไป๋อี้ทำหน้าอมทุกข์แล้วพูดขึ้น

“ทำไมพี่ไป๋อี้พูดจาน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนั้น ท่านเป็นถึงเจ้าตำหนักในวังนภาเพลิง เรื่องสถานะนั้นท่านย่อมคู่ควรกับนาง อีกทั้งพลังบำเพ็ญเพียรและคุณสมบัติของพี่ก็ถือว่าโดดเด่น ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็ย่อมเด่นกว่าทุกคน ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะช่วยท่านอย่างแน่นอน” หลิวหลีตอกกลับไป๋อี้ รอดูว่าเขาจะพูดอะไรต่อ มีจักรพรรดิคอยหนุนหลัง หากเจ้ายังพูดลดทอนความสามารถของตัวเอง จักรพรรดิจะต้องลงมือจัดการกับเจ้าแม่ หึ ใครใช้ให้พูดว่าสามีของนางจะแต่งงานใหม่ล่ะ

ไป๋อี้ถึงกับเป็นใบ้ ทุกข์ใจแต่พูดไม่ออก เขาขอคืนคำที่เคยกล่าวก่อนนี้ได้ไหม ใครใช้ให้เขาปากพล่อย พูดอะไรไม่คิด มองดูสีหน้าที่บางบอกว่าจะจัดการเขาแน่ของหลิวหลี แถมยังส่งสายตาข่มขู่คนอื่นให้ช่วยเหลือด้วย หรือว่าเขาต้องออกเรือนแล้วจริงๆ เป็นโสดมาหลายหมื่นปี หญิงสาวผู้เดียวที่ทำให้ใจเต้นก็ดันเป็นคนที่ออกเรือนแล้ว ทั้งยังเป็นคนที่รักเดียวใจเดียว ไม่คิดจะแต่งงานใหม่ ที่สำคัญคือมีพลังการต่อสู้ที่น่ากลัว เขาถึงสามารถค่อยๆลดความรู้สึกในใจที่มีต่อนางได้ไปทีละนิด ตอนนี้เขาจึงหวาดระแวงจะมีภรรยาแต่ก็พูดอะไรไม่ออก เฮ้อ ทั้งๆที่เป็นเจ้าตำหนักในวังนภาเพลิงเหมือนกัน ทำไมจะต้องมาทำร้ายกันด้วย

การล้อเล่นสิ้นสุดลง แต่หลิวหลีคิดเช่นนี้จริงๆ ถึงแม้คนที่เหมาะสมที่สุดจะเป็นมู่หยาง เพราะเป็นบุตรของจักรพรรดิเหมือนกัน แต่เด็กคนนั้นหลงใหลในการปรุงยา การจะเป็นภรรยาของเด็กคนนั้นจะต้องมีความสามารถในการอดทนกับความเหงา ไม่แน่ว่าอาจต้องไปแย่งความรักกับเตาปรุงยา ไม่คุ้มเลยจริงๆ เหลยจ้านก็ไม่ได้อย่างแน่นอน นางรู้สึกว่าเขาเป็นลูกเขยที่จักรพรรดินภาเพลิงเล็งไว้ แค่รอให้หงซวี่กับเหลยจ้านรู้ใจตัวเองเท่านั้น เมื่อตัดตัวเลือกออกแล้ว ก็เหลือไป๋อี้ที่เทียบสองคนนั้นไม่ได้ แต่มีความโดดเด่นเหนือคนจำนวนมากผู้นี้ อีกอย่างนางค่อนข้างแน่ใจมากว่า จักรพรรดินีนภาพฤกษาจะต้องมีตัวเลือกไว้ให้กับลูกสาวของนางแล้วอย่างแน่นอน

“มู่เอ๋อร์ ลองดู มีเจ้าตำหนักท่านใดที่เจ้าถูกใจหรือไม่” เป็นอย่างที่หลิวหลีคิดไว้ จักรพรรดินีนภาพฤกษาได้มีตัวเลือกไว้แล้ว ผู้ถูกเลือกในบรรดาดินแดนต่างๆปรากฏขึ้นตรงหน้าของมู่มู่ หญิงสาวมองดูด้วยท่าทีเขินอาย

“เสด็จแม่เป็นคนตัดสินใจเลยเพคะ” สำหรับเรื่องใหญ่เช่นนี้ นางเองก็เลือนราง ไม่รู้จะเลือกอย่างไร

“เด็กคนนี้ เจ้าอ่อนโยนเกินไป เดิมแม่อยากจะให้เจ้าอยู่กับจื่อชิง ใครจะไปรู้ว่าเจ้าสองคนจะไม่มีความรู้สึกใดต่อกัน ในเมื่อไม่ชอบคนในวังนภาพฤกษา ก็ดูคนในดินแดนอื่นๆ จะต้องมีคนที่เหมาะสมแน่” จักรพรรดินีจนปัญญา ลูกสาวของนางอ่อนหวานเกินไป ไม่ห้าวหาญ นางต้องหาคู่ครองที่ดีให้บุตรสาวให้ได้

“เสด็จแม่” มู่มู่พูดเสียงอ่อน จักรพรรดินีไม่รู้จะพูดอะไร นังหนูคนนี้ไม่ว่าจะเป็นการอ้อนหรืองอนก็ไม่เป็นทั้งนั้น อยู่ๆจักรพรรดินีก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา การประลองใหญ่ครั้งนี้ได้ยินมาว่าเจ้าตำหนักหลิวหลีแห่งวังนภาเพลิง ถึงแม้จะเป็นผู้บำเพ็ญหญิง กลับสง่าผ่าเผย แต่ก็ไม่ได้เหมือนผู้บำเพ็ญหญิงของดินแดนนภาพสุธาที่ห้าวหาญราวผู้ชาย คิดว่านังหนูหากได้อยู่กับหลิวหลีน่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง หากไม่เพราะได้ยินมาว่าหลิวหลีไม่ชอบการมีสามีร่วมกับคนอื่น นางยังอยากให้ลูกสาวของนางแต่งงานกับหนานกงเวิ่นเทียนด้วยซ้ำไป แต่พอได้ยินเรื่องราวของทั้งสองคน รวมถึงการไม่เคยชายตาแลคนอื่นของพวกเขา ก็ทรงล้มเลิกความคิดนี้ทันที ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วทรงคิดถึงภาพวังนภาพฤกษาของตัวเองอาจจะถูกหลิวหลีเผาทิ้งออกเลยทีเดียว

เมื่อมาถึงดินแดนนภาพฤกษา หลิวหลีก็ชื่นชอบอย่างมาก ทุกที่เป็นสีเขียว ดูมีชีวิตชีวา สูดหายใจแค่เพียงหนึ่งครั้งก็รู้สึกเบาสบายไปทั้งตัว อีกทั้งยังมีพืชเซียนหลายชนิดที่นำไปปรุงยาเซียนศักดิ์สิทธิ์ได้หลายอย่าง ข้อเสียก็คือนางกลัวว่าตัวเองจะทำที่นี่ไหม้เข้า ลองคิดดูดีๆก่อนก็แล้วกัน ตอนขากลับค่อยเอาที่ระลึกติดไม้ติดมือกลับไปด้วย

ในขณะที่หลิวหลีกำลังคิดนู่นคิดนี่ คนกับม้าทั้งสี่กลุ่มประจันหน้ากันกลางอากาศ

“จักรพรรดินภาเพลิง นึกไม่ถึงว่าจะมาเร็วเช่นนี้”

“ พวกท่านก็เช่นกัน”

“ท่านผู้นั้นคือเจ้าตำหนักหลิวหลี?” จักรพรรดินภาพสุธามองไปที่หรูหรง ได้ยินมาว่าเป็นผู้บำเพ็ญหญิง จึงคิดว่าน่าจะเป็นคนผู้นั้น เพียงแต่เหมือนพลังบำเพ็ญเพียรจะไม่ถูกต้อง ทำไมถึงอยู่แค่ในขั้นเซียนสุขาวดีเท่านั้นเอง ในทันใดก็เห็นขบวนรถคันหนึ่งที่มีเด็กหนุ่มหน้าตาโดดเด่น มีท่าทางสบายๆ ทำให้ผู้พบเห็นเกิดหลงใหลจนไม่อาจละสายตา และที่สำคัญเลยก็คือบนหน้าผากมีสัญลักษณ์สีหยก พลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในขั้นเซียนนพเก้านภา นึกไม่ถึงเลยว่าจักรพรรดินภาเพลิงจะทนเก็บงำความลับที่มีศิษย์ผู้เก่งกาจเช่นนี้แล้วไม่ไปโพนทะนาเสียก่อน

“จักรพรรดินภาพสุธา ท่านจำผิดแล้ว ท่านนั้นต่างหาก หลิวหลีทำความเคารพท่านจักรพรรดิสิ” จักรพรรดินภาเพลิงหัวเราะแล้วพูดขึ้น

“หลิวหลีคารวะจักรพรรดิทุกท่าน” หลิวหลียืนขึ้นทำความเคารพ

“ไม่เลว หมานฮวง ทำความเคารพจักรพรรดิทุกท่าน” จักรพรรดินภาพสุธาเข้าใจขึ้นมาในทันที ท่านผู้นี้นี่เอง

“หมานฮวงคารวะจักรพรรดิทุกท่าน” หญิงสาวที่มีร่างกายราวกับยักษ์ไททันลุกขึ้นทำความเคารพ พลังบำเพ็ญเพียรของนางก็อยู่ในขั้นเซียนนพเก้านภาเช่นเดียวกัน

“เวิ่นเทียนคารวะจักรพรรดิทุกท่าน” หนานกงเวิ่นเทียนเห็นสายตาของจักรพรรดินีจึงลุกขึ้นทำความเคารพเช่นกัน ท่าทางเย็นชาของเขาตกเป็นเป้าสายตาของคนจำนวนไม่น้อย

“อู่หลงคารวะจักรพรรดิทุกท่าน อมิตาพุทธ”

ผู้บำเพ็ญสายพุทธ ทำให้หลิวหลีนึกถึงหยวนเจินผู้เป็นสหายที่อยู่โลกเบื้องล่าง คิดว่าน่าจะบรรลุเป็นเซียนแล้ว แล้วจึงได้เห็นหยวนเจินในทัพของนักบวชจริงๆด้วย พลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในขั้นเซียนสุวรรณนภาแล้ว น่าเสียดาย นึกว่าจะได้สู้กับคู่ต่อสู้เก่า หยวนเจินเห็นสหายที่มีความเก่งกาจคนนี้เช่นกัน คนผู้นี้ไปอยู่ที่ไหนก็โดดเด่น ทุกคนต่างก็ต้องหมุนรอบตัวนาง เป็นผู้ที่มีบุญญาธิการเหลือเกิน

 ……………………….