ตอนที่ 262 สาวน้อยมู่มู่

แม่ครัวยอดเซียน

จักรพรรดินีนภาพฤกษาพาเจ้าตำหนักในวังนภาพฤกษาทุกคนมาต้อนรับคนจากดินแดนอื่น สถานที่พักอาศัยถูกตระเตรียมไว้พร้อมสรรพ เป็นบ้านไม้ หลิวหลีรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถใช้ไฟได้อีก ไม่เช่นนั้นที่นี่คงจะถูกเผาเป็นแน่ หลิวหลีก็ได้เห็นเจ้าตำหนักมู่มู่ที่ต้องการจะเลือกสามีแล้วด้วยเช่นกัน เป็นสาวน้อยน่ารัก ใบหน้ายังคงกลมแป้น ดูท่าทางหัวอ่อน น่ารักจริงๆ มู่มู่รู้สึกว่ามีคนมองตัวเองอยู่ จึงหันมองอย่างอดไม่ได้ ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นทันที ช่างสง่างามจริงๆ มาจากวังนภาเพลิง ไม่รู้ว่าเป็นเจ้าตำหนักท่านไหน ไม่คุ้นเลย แต่ดูมีเสน่ห์มากทีเดียว

หลิวหลีเลิกคิ้ว สาวน้อยคนนี้แค่เพียงรอยยิ้มก็เขินอายแล้วหรือนี่ ใสซื่อจริงๆ น่ารักจริงๆ เหมือนเป็นลูกแอปเปิ้ล อืม อืม อยากจะลองกัดสักหนึ่งคำ อยู่ๆนางก็ไม่อยากเป็นแม่สื่อให้กับแอปเปิ้ลน้อยหัวอ่อนคนนี้กับไป๋อี้ผู้ชายปากพล่อยคนนั้น แอปเปิ้ลน้อยที่น่ารักขนาดนี้จะต้องมีคนดีๆคอยปกป้อง อืม นางน่าจะสามารถช่วยหาให้ได้ ดูจากสายตาที่นางเลือกผู้ชาย ก็รู้ว่าไม่เลว สุดท้าย สายตาของหลิวหลีไปหยุดอยู่ที่จื่อฉี อืม ให้มาเป็นน้องเขยน่าจะดีกว่า จื่อฉีก็นิสัยดี อีกทั้งได้รับการสั่งสอนจากนาง ย่อมต้องเป็นคนดีแน่นอน จื่อฉีรู้สึกได้ว่ามีคนมองตนเองแล้วจึงพบสายตาที่เต็มไปด้วยเลศนัยของท่านพี่ ราวตนเองเป็นหัวหมูที่พี่สาวนางพอใจ ถึงแม้ออกจะแปลกพิกล แต่ก็มั่นใจได้ว่าสิ่งที่อยู่ในหัวนางต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่

จักรพรรดินีนภาพฤกษาสังเกตเห็นปฏิกิริยาของลูกสาวของตัวเอง เห็นว่าสายตาของนางมองไปที่ เอาล่ะ หลิวหลี แถมยังหน้าแดงอีกด้วย ถึงแม้ว่าลูกสาวของนางจะเป็นคนอ่อนโยน แต่ก็หน้าแดงไม่บ่อยนัก สถานการณ์ในตอนนี้ ลูกสาวของนางคงจะไม่ได้ไปแย่งนังหนูคนนั้นกับผู้ชายใช่ไหม อยู่ดีๆนางก็รู้สึกว่าไม่ควรให้พวกเขาได้รู้จักกันน่าจะดีกว่า ไม่เช่นนั้นไม่รู้ว่าลูกสาวของนางจะลุ่มหลงอีกฝ่ายขนาดไหน  หนานกงเวิ่นเทียนเห็นแววตาเป็นประกายของหลิวหลี นังหนูคิดจะทำอะไรอีกแล้ว ครั้งนี้คนที่นางสนใจคือนังหนูวังนภาพฤกษาคนนั้นงั้นหรือ

เดิมวางแผนไว้ว่าจะให้ลูกสาวเป็นคนพาคนจากวังนภาเพลิงไปยังเรือนรับรองของตนเอง ก็เปลี่ยนใจทันที ให้คนอื่นพาไปแล้วกัน

“นังหนู เจ้าบอกแม่หน่อยเจ้ามีคนที่ถูกใจแล้วหรือยัง” จักรพรรดินีถาม อย่าบอกนางเป็นอันขาดว่าเป็นนังหนูหลิวหลีคนนั้น

“ยังไม่มีเพคะ แต่เสด็จแม่ เจ้าตำหนักชุดสีฟ้าของวังนภาเพลิงคนนั้นเป็นใคร ลูกไม่เคยเห็นมาก่อน” มู่มู่ส่ายหัว ไม่รู้ว่าทำไมนึกถึงหลิวหลี ถามด้วยใบหน้าขวยเขิน นางก็แค่อยากรู้ชื่อของคนผู้นั้นจริงๆ

“นั่นก็คือหลิวหลี ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งของวังนภาเพลิงในครั้งนี้” เฮ้อ ลูกสาวของนางหลงเสน่ห์นังหนูคนนั้นเสียแล้ว จริงๆเลย ทั้งที่เป็นผู้หญิงทำไมถึงได้ดึงดูดผู้บำเพ็ญหญิงได้ขนาดนี้

“นางก็คือหลิวหลี ช่างน่าอิจฉาจริงๆ” มู่มู่รู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก นางก็อยากเป็นเหมือนหลิวหลีที่สง่างามเช่นนั้น เพียงแต่ว่าตัวเองทำไม่ได้ นั่นเป็นสิ่งที่นางรู้สึกอิจฉามาโดยตลอด

“อิจฉา มู๋เอ๋อร์บอกแม่มาว่าเจ้าอิจฉาอะไร” จักรพรรดินีนภาพฤกษาปาดเหงื่อแล้วถามขึ้น นังหนูคนนั้นไม่แต่งกายด้วยชุดผู้หญิง ที่แต่งตัวเช่นนั้นนางคิดจะทำอะไร คิดจะหว่านเสน่ห์ผู้บำเพ็ญหญิงในวังนภาพฤกษาของนางทั้งหมดเลยสินะ

“ลูกอิจฉาความสบายๆของหลิวหลี ถึงแม้เพิ่งจะได้เจอเป็นครั้งแรก แต่ก็รู้ว่าคนผู้นั้นเป็นคนที่เป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้ถูกสิ่งภายนอกชักจูงได้ง่าย” มู่มู่พูดความคิดของตัวเองออกมา น่าเสียดาย นางทำไม่ได้

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ลูกข้า ในช่วงนี้ เจ้าลองคบหานางเป็นสหายสิ” หวังว่านังหนูคนนั้นจะสามารถทำให้นังหนูเลิกเขินอาย เป็นคนที่เปิดเผย นางจะได้เบาใจลงบ้าง

“ท่านพี่ สายตาที่มองข้าเมื่อครู่ดูแปลกๆอย่างไรไม่รู้” จื่อฉีพูดทันทีที่เจอหน้าหลิวหลี

“อย่างนั้นหรือ” เด็กนี่สมแล้วที่เป็นผู้ที่ครอบครองเนตรกิเลน มีประสาทสัมผัสที่ไวจริงๆ

“ใช่สิ ท่านพี่ พี่พูดมาเถอะ พี่อยากให้ข้าทำอะไร” เขาจะพยายามทำให้ได้ แต่อย่ามองเขาด้วยสายตาที่แปลกประหลาดเช่นนั้น โทษตายยังดีกว่าค่อยๆตาย การรอคอยมันทรมานเกินไป

“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว ข้าจะพูดกับเจ้าตรงๆเลยก็แล้วกัน เจ้าคิดว่าเจ้าตำนานมู่มู่แห่งวังนภาพฤกษาเป็นอย่างไรบ้าง” ในเมื่อรู้แล้ว ถามตรงๆเลยก็แล้วกัน

“มู่มู่ ใครหรือ?” จื่อฉีทำหน้างุนงง เขารู้จักงั้นหรือ

“ธิดาของจักรพรรดินีนภาพฤกษาแห่งวังนภาพฤกษา ว่ากันว่านางอาจจะเลือกสามีจากหนึ่งในพวกเรา” เอ๋าเลี่ยไม่เห็นจื่อฉี ก็รู้ได้ทันทีว่าเด็กนี่จะต้องมาหาหลิวหลี เขาจึงมาพร้อมกับอิงเสวี่ย ว่าแต่นังหนูคงจะไม่ริทำตัวเป็นแม่สื่อกระมัง

“สามี ท่านพี่ ท่านบอกข้ามาพี่คิดจะทำอะไร” สามีหรือ คงจะไม่ได้หาฮูหยินให้เขาใช่ไหม เขาถึงอายุที่จะต้องมีภรรยาแล้วหรือ ทำไมเขายังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่โตเลย

“ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้แล้ว ข้าก็จะตอบคำถามของเจ้าอีกรอบ ข้ารู้สึกว่าเจ้าตำหนักมู่มู่ไม่เลว เหมาะจะเป็นน้องสะใภ้ของข้ามาก” คำตอบที่ตรงไปตรงมาของหลิวหลีทำให้จื่อฉีนิ่งอึ้งไปอยู่นานแต่งงานหรือ

“ท่านพี่ ข้ายังเป็นเด็กอยู่ ท่านควรจะเป็นห่วงเรื่องการแต่งของพี่เอ๋าเลี่ยกับพี่อิงเสวี่ยถึงจะถูก ข้าไม่รีบ” เป็นอย่างที่คิดจริงๆ กระทั่งหน้าตาของคนผู้นั้นเป็นอย่างไรเขาเองก็ยังไม่รู้ คิดไม่ถึงว่าจะให้เขาไปสู่ขอ ท่านพี่ นี่ท่านเอาจริงหรือนี่

“อายุพี่ชายพี่สาวของเจ้าก็ตั้งขนาดนั้นแล้ว ไม่ต้องสนใจว่าเมื่อไหร่หรอก รอไปก่อนได้ แต่เจ้าอายุยังน้อยอยู่ อย่าเลียนแบบพวกพี่ๆของเจ้าที่อยู่กันจนจะเป็นโจ๊กไปแล้ว แต่ยังหน้าหนาไม่ทำอะไรกัน” หลิวหลีบ่น ผ่านไปตั้งกี่ร้อยปีแล้ว ทั้งสองคนก็ยังไม่ไปถึงไหน แม้การที่นางบอกว่าอยู่กันจนเป็นโจ๊กจะดูเกินจริงไปหน่อย แต่ว่าใครๆก็มองความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนี้ออก แต่พวกเขากลับหลับหูหลับตาเหมือนคนอื่นไม่รู้

“นังหนู เจ้าพูดอะไร โจ๊กอะไรกัน” เอ๋าเลี่ยหัวเสีย เฟิ่งอิงเสวี่ยหน้าแดงระเรื่อ นังหนูเหลวไหลเกินไปแล้ว ทำไมถึงได้ใช้พวกเขาไปยกตัวอย่าง หากหนานกงเวิ่นเทียนมาหาหลิวหลีแล้วได้ยินเข้าพอดี โจ๊กอย่างนั้นหรือ คำที่นังหนูใช้เปรียบเทียบนี้ออกจะ เฮ้อ!

“ข้าพูดผิดตรงไหน ในดินแดนอสูรเทพใครบ้างไม่รู้ความสัมพันธ์ของพวกเจ้าสองคน เลิกเสแสร้งสักที รีบๆจัดงานมงคลเถอะ จะได้มีมังกรน้อยกับหงส์น้อยออกมาเล่นกัน” หลิวหลีนึกถึงหงส์ขนฟูตัวน้อยกับมังกรน้อยน่ารัก ก็รู้สึกว่าความคิดนี้ดีมากทีเดียว จนลืมเรื่องของตนเองกับหนานกงเวิ่นเทียนที่อยู่มาก็หลายพันปีแต่ยังไม่มีวี่แววอะไรเช่นกันไปเสียสนิท

“นังหนู เด็กๆใช้เล่นหรือ” เอ๋าเลี่ยหัวเสีย แต่ในเมื่อรู้กันแล้ว เขากลับไปก็ควรจะพิจารณาเรื่องการบำเพ็ญคู่แล้ว จื่อฉีจับเนื้อบนใบหน้าของตัวเอง ตอนนั้นท่านพี่เมตตาเขามากจริงๆ อย่างน้อยนางไม่เห็นเขาเป็นของเล่น

“เอ่อ เริ่มพูดออกทะเลไปไกลแล้ว เพราะฉะนั้น จื่อฉี เหลือแค่การแต่งงานของเจ้าแล้ว พี่สาวเปรียบเหมือนมารดา เจ้าต้องฟังข้านะรู้ไหม” หลิวหลีเริ่มทำตัวเป็นเหมือนแม่ๆที่ริจะหาคู่ให้ลูกตนเอง

“อ่ะแฮ่ม นังหนู การใช้คำของเจ้านี่มันจริงๆเลย ระวังบรรพชนเอ๋าเฟิงกับบรรพชนเฟิ่งซานจะเรียกเจ้าไปปรับทัศนคติ” พี่สาวเปรียบเหมือนแม่หรือ นังหนูก็ช่างคิดจริงๆ มู่มู่เป็นใครมาจากไหนกันแน่ ถึงได้ทำให้นังหนูรู้สึกดีด้วยขนาดนั้น ดีจนทำให้ต้องบังคับน้องชายที่เลี้ยงมากับมือไปสู่ขอนาง

“ไม่กลัวหรอก หากว่าเรียกข้าไปปรับทัศนคติจริงๆ ก็ถือว่าไปหาพวกเจ้าด้วย” หลิวหลีไม่กลัวหรอก นางกำลังทำความดี ตั้งหลายหมื่นปีกว่าจะมีพวกเขา 3 คน พวกเขาไม่แต่งงาน บวกกับมีลูกยาก ใครจะไปรู้ว่าเมื่อไหร่จะได้มีอสูรตัวน้อยออกมา

“ท่านพี่ ให้ข้าได้เจอมู่มู่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” จะจับคู่ให้เขา ก็ต้องให้เขาดูก่อนว่าอีกฝ่ายหน้าตาเป็นอย่างไร อย่างน้อยก็จะต้องมีส่วนคล้ายกับท่านพี่ของเขาบ้าง อย่างอื่นเขาไม่ได้คาดหวังอะไรมาก หากหลิวหลีล่วงรู้ความคิดของจื่อฉี คงปวดใจแน่ เด็กนี่ชอบผู้หญิงแบบนาง คิดจะเป็นโสดไปตลอดชีวิตหรืออย่างไร ใครจะเหมือนนางได้อีก

“ก็ดีเหมือนกัน จื่อฉี รอเจ้าได้เจอแล้ว เจ้าก็จะรู้ว่าหญิงสาวที่ข้าเลือกให้เจ้านั้นดีที่สุดแล้ว” หลิวหลีทุบอกรับประกัน

หนานกงเวิ่นเทียนจึงเข้าใจ นังหนูคิดจะเป็นแม่สื่อ หรือช่วงหลายปีมานี้ที่พวกเขาแยกกัน นังหนูมีงานอดิเรกใหม่แล้วหรือ แต่งานอดิเรกนี้ดูแปลกดีเสียจริง เขามองดูอิงเสวี่ยที่หน้าแดงก่ำไม่พูดจา นังหนูช่างขวานผ่าซากจริงๆ ดูสิ คู่พันธสัญญาของเขาเป็นถึงหงส์เหมันต์ แต่ว่าเขาก็รู้สึกว่าฮูหยินของเขาก็พูดถูก ควรจะทะลุกำแพงนั้นไปได้ตั้งนานแล้ว ไม่เช่นนั้นใครจะไปรู้ว่าพวกเขาจะยื้อเวลาไปอีกนานเท่าไหร่ รีบจัดการให้จบเป็นนิสัยของนาง

มู่มู่ไม่รู้ว่าคนที่นางคิดว่าเป็นต้นแบบที่เพิ่งเคยเจอกันครั้งแรกต้องการจะเป็นแม่สื่อให้กับตัวเอง อีกทั้งยังเป็นคนที่แน่วแน่ไม่เปลี่ยนใจ ส่วนไป๋อี้ยังปวดหัวกับปัญหาเรื่องที่นางจะเป็นแม่สื่อให้ตนเอง เขาเจอเจ้าตำหนักมู่มู่แล้ว เป็นสาวน้อยที่ดูอ่อนโยนบอบบาง บอบบางจนเหมือนบีบแล้วจะแตกร้าว แต่ไม่ใช่สเปคของเขาเลยจริงๆ จะเกลี้ยกล่อมหลิวหลีอย่างไรให้เลิกรา แต่กลับไม่ได้รู้เลยว่าหลิวหลีเปลี่ยนเป้าหมายแล้ว อสูรเทพทั้งสามเดินกลับที่พักของตัวเองด้วยใบหน้าแดงก่ำ เอ๋าเลี่ยโมโห อิงเสวี่ยเขินอาย ส่วนจื่อฉีรู้สึกตกใจกับคำพูดของนาง

“นังหนู คิดถึงข้าหรือไม่” นังหนูคนนี้ ตัวเองไม่อยู่ข้างๆ ทำไมถึงได้ดูมีความสุขสนุกสนานเช่นนี้

“คิดถึง ท่านพี่ ที่ข้าทำเรียกว่าชิงลงมือก่อนเป็นฝ่ายได้เปรียบ” หลิวหลีพูดอย่างได้ใจ และทำท่าทีให้เขารีบชื่นชมนาง

 ………………………