ตอนที่ 263 หลงรักตั้งแต่แรกเห็น

แม่ครัวยอดเซียน

“ดังนั้นหมายความว่า เจ้าทำเพื่อข้า ถึงได้คิดวิธีแบบนี้แล้วยังต้องไปลำบากจื่อฉีด้วย” หนานกงเวิ่นเทียนฟังที่มาที่ไปแล้วก็พูดอะไรไม่ออก นังหนูคิดอะไรอยู่ ถึงคิดจะใช้วิธีนี้ กังวลใจมากเกินไปหรือเปล่า แต่เขากลับรู้สึกอบอุ่นใจ

“ไม่ได้ลำบากจื่อฉีอะไรเลย มู่มู่ ข้าเห็นแล้วก็รู้สึกชอบ เป็นคนที่อ่อนโยนเรียบง่าย” หลิวหลีอธิบาย นางไม่ใช่คนที่ไม่สนใจอะไรแล้วขายน้องชายตนเอง อีกทั้งยังเป็นน้องชายที่ตัวเองเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กจนโต

“นั่นสิ แต่เจ้าคิดว่าจะให้ทั้งสองคนนั้นเจอกันอย่างไร” หนานกงเวิ่นเทียนถาม เจ้าคิดเช่นนี้ แต่หญิงสาวผู้นั้นจะให้ความร่วมมือกับเจ้าหรือ

“เรื่องนี้ง่ายนิดเดียวก็แค่นัดออกมาเจอกันก็ได้แล้ว” หลิวหลีเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา แค่เรียกออกมาเจอก็พอ

“เอ่อ” ภรรยาของเขาไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็จะทำแบบง่ายๆเสมอ เห็นผลลัพธ์เป็นสำคัญ แต่ว่านิสัยแบบนี้ จักรพรรดินีนภาพฤกษาคงจะไม่สามารถหาเรื่องสร้างความลำบากใจให้ได้แน่

“เจ้าบอกว่าใครมาหาข้านะ” มู่มู่ได้ยินคำพูดของขุนนางเซียนของตัวเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง คนที่นางนับถือมาหานาง รู้สึกเหมือนฝัน

“ทูลฝ่าบาท หลิวหลีเจ้าตำหนักเวิ่นเทียนแห่งวังนภาเพลิงมาขอเข้าพบ ฝ่าบาทจะให้พบหรือไม่” ขุนนางเซียนของมู่มู่ทวน ใบหน้าเขาแดงระเรื่อ สมแล้วที่เจ้าตำหนักหลิวหลีงามเป็นอันดับหนึ่งในดินแดนนภาเพลิง คาดว่าตอนนี้คงจะเป็นชายงามอันดับหนึ่งในโลกเซียน ดูดีมาก มีเสน่ห์มากจริงๆ

ขุนนางเซียนรู้สึกได้เลยว่าหัวใจตนเองเต้นระรัวเร็ว

“เชิญเจ้าตำหนักหลิวหลีเข้ามาเถอะ” มู่มู่นวดนิ้วเบาๆ แล้วให้ขุนนางเซียนเชิญหลิวหลีเข้ามา

ณ ที่พักของวังนภาเพลิง ทุกคนต่างพากันแซวไป๋อี้

“นึกไม่ถึงว่าหลิวหลีจะเป็นคนทำอะไรรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ นี่ไปขอเข้าพบองค์หญิงแล้ว พวกเราควรจะแสดงความยินดีล่วงหน้ากับไป๋อี้ที่จะมีฮูหยินหรือไม่” เหลยเซียวกระเซ้า ทุกคนต่างก็รู้ว่าหลิวหลีไปที่ตำหนักของมู่มู่ จึงจงใจพากันมาหาไป๋อี้เพื่อหยอกล้อ พวกเขาคิดมาตลอดว่าหลิวหลีแค่พูดส่งๆ นึกไม่ถึงว่าจะลงมือทำจริง รวดเร็วจนคนไม่ได้ตั้งตัว

“เลิกพูดจาหยอกล้อข้ากันเสียทีจะได้หรือไม่” ไป๋อี้ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เขาจะต้องแต่งเด็กน้อยคนนั้นเข้าบ้านจริงหรือ นางไม่ใช่แบบที่เขาฝันไว้จริงๆ

“เปล่าเสียหน่อย เพียงแต่หลิวหลีมีน้ำใจขนาดนี้ ก็รู้สึกว่าโอกาสที่จะสำเร็จสูงมาก” หงซวี่เม้มปากแล้วพูดขึ้น ตอนนี้นางชอบการกระทำที่รวดเร็วปานสายฟ้าแลบของนังหนูคนนี้มาก ทำให้คนชอบนางอย่างไม่รู้ตัว

“เป็นไปได้ไหมที่จะไม่ชอบไป๋อี้ แล้วชอบหลิวหลีแทน” เหลยจ้านพูด ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ ข้อสันนิษฐานนี้ดูเป็นไปได้กว่าจะให้แต่งกับไป๋อี้เสียอีก ความคิดของทุกคนเตลิดออกนอกลู่นอกทางไปไกล หลิวหลีแต่งกายชุดผู้ชายจึงมักถูกเข้าใจผิด ทุกคนคิดกันไปไกล จากเรื่องฮูหยินของไป๋อี้ไปสู่ความคิดที่แปลกประหลาดที่ว่าจะแต่งกับหลิวหลี

“เจ้าตำหนักมู่มู่” หลิวหลีเป็นคนมารยาทงามนัก นางเห็นมู่มู่เป็นว่าที่น้องสะใภ้ของตนเอง นางมองมู่มู่ด้วยแววตาอบอุ่น ทำให้หน้าของมู่มู่แดงเป็นลูกแอปเปิ้ลอีกครั้ง

“หลิวหลีเรียกข้าว่ามู่มู่ก็พอ” มู่มู่กำชายเสื้อ เมื่อเพิ่มคำว่าเจ้าตำหนักทำให้ดูห่างเหิน อีกอย่าง มู่มู่พบว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ตนเองจะรวบรวมความกล้ามองอีกฝ่าย ผลปรากฏว่าเมื่อเห็นแววตาที่มีรอยยิ้มคู่นั้นก็เขินอายจนไม่กล้ามองตรงๆ

“ถ้าเช่นนั้น มู่มู่” หลิวหลีก็เรียกตามโดยง่าย นางเองก็รู้สึกเช่นกันว่าเมื่อมีคำว่าเจ้าตำหนักดูห่างเหินทีเดียว

“ไม่ทราบว่าหลิวหลีมาหาข้า มีเรื่องอะไรหรือ” มู่มู่รวบรวมความกล้าอีกครั้งแล้วถามขึ้น

“อืม รู้สีกว่าวังนภาพฤกษางดงามเหลือเกิน อยากจะรบกวนให้มู่มู่พาข้าไปเยี่ยมชม” หลิวหลีหาเหตุผลที่เป็นทางการมากทีเดียว

“ได้” มู่มู่ลืมไปเลยว่าทั้งวังนภาพฤกษาไม่ได้มีนางเป็นเจ้าตำหนักเพียงคนเดียว

ที่พักของดินแดนอสูรเทพ อสูรเทพสามตัวนั่งอยู่ด้วยกัน ส่วนจื่อฉีแผ่ตัวลงอยู่บนโต๊ะไร้ซึ่งภาพพจน์ใดๆ

“พี่เอ๋าเลี่ย รีบหาวิธีเร็ว ข้ายังไม่อยากแต่งงาน” จื่อฉีรู้สึกว่าตนเองทำไมต้องมาที่นี่ ทั้งๆที่เขามาเข้าร่วมการประลอง ทำไมจู่ๆก็กลายเป็นงานจับคู่ไปได้ อะไรทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ท่านพี่ของเขาไม่ห่วงเรื่องการประลองเลยหรือ ถึงได้เอาแต่คิดเรื่องจับคู่ให้เขา ทั้งยังเป็นคนที่นางถูกใจตั้งแต่แรกเห็น เขาเป็นคนแต่งหรือท่านพี่เป็นคนแต่งกันแน่นะ

“เจ้าคิดว่าจะเป็นไปได้หรือ” เป็นเพราะคำพูดของนังหนู ทำให้เขากับอิงเสวี่ยสามารถทะลุกำแพงกั้นนั้นออกมาได้ ในที่สุดทั้งสองคนก็ได้เริ่มชัดเจนต่อกัน เหลือแค่รอกลับไปจัดพิธีมงคล ให้กลายเป็นคู่สามีภรรยาที่ถูกต้องเท่านั้น ก็จะถือว่าสำเร็จลุล่วง เอ๋าเลี่ยเริ่มเข้าใจแล้วว่า นังหนูคนนี้นอกจากเรื่องที่เป็นไปไม่ได้จริงๆ เรื่องอื่นนั้นนางพูดอะไรต้องทำเช่นนั้น ไร้ประโยชน์ที่จะโต้แย้งขัดขืน แล้วสิ่งที่ทำให้คนพูดไม่ออกคือเวิ่นเทียนกลับสนับสนุนอย่างไม่ลืมหูลืมตา

“เป็นไปไม่ได้” จื่อฉีคิดไม่ตก พี่สาวของตัวเองทำไมนึกถึงตัวเองขึ้นมาได้ ทั้งๆที่เขาไม่ได้มีความคิดที่จะออกเรือนด้วยซ้ำแล้วก็ไม่ได้รู้สึกอิจฉาความรักที่หวานแหววของนางกับพี่เวิ่นเทียน และไม่ได้รู้สึกอิจฉากับความรักที่ค่อยเป็นค่อยไปของพี่เอ๋าเลี่ยกับพี่อิงเสวี่ย ทำไมเรื่องถึงมาที่ตัวเขาได้เร็วขนาดนี้

“เฮ้อ พี่เอ๋าเลี่ยช่วยข้าคิดวิธีหน่อยจะได้หรือไม่” จื่อฉีไม่รู้จะทำอย่างไรจริงๆ

“เจ้าหนู ข้าขอเตือนอะไรเจ้าหน่อย รีบไปเถอะ ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องรอเก็บศพเจ้าแล้ว” เอ๋าเลี่ยตบบ่าของจื่อฉีเบาๆ

มู่มู่พาหลิวหลีเดินดูรอบๆ หลิวหลีชื่นชอบวังนภาพฤกษาเป็นอย่างมาก ทุกที่เต็มไปด้วยพืชเซียน เหมือนอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์ของอลิซ แล้วก็เหมือนอยู่ในโลกของบาร์บี้ด้วย

“หลิวหลีชอบที่นี่หรือไม่” ในที่สุดมู่มู่ก็สามารถพูดคุยแบบปกติกับหลิวหลีได้ หน้าไม่แดงง่ายๆเหมือนที่ผ่านมา

“ชอบ เหมือนอยู่ในโลกแห่งความฝันเลย” เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการหลบซ่อนตัว

“หลิวหลีมาที่นี่บ่อยๆได้” มู่มู่เชื้อเชิญ

“ไม่ได้หรอก มู่มู่ เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นผู้บำเพ็ญธาตุอัคคี เพื่อบรรยากาศที่สวยงามของวังนภาพฤกษา ข้านานๆมาหาเจ้าทีจะดีกว่า” หากเผาที่นี่กลายเป็นเถ้าธุลีไป คงแย่แน่ เพราะอย่างไรเสียแค่ไฟดวงเดียวก็สามารถเผาได้ทั้งป่า อันตรายเกินไป ไม่ควรเสี่ยง

“น่าเสียดายจริงๆ ข้ายังอยากใช้เวลาอยู่กับหลิวหลีนานๆ” มู่มู่รู้สึกเสียดาย การพูดคุยกับหลิวหลีทำให้นางรู้สึกสบายใจ หลิวหลีเป็นคนคุยเก่งและเป็นคนละเอียดอ่อน ชวนคุยได้ดีแต่สาวน้อยไม่ล่วงรู้ว่า สหายที่นางพูดคุยด้วยแล้วรู้สึกสบายใจผู้นี้มีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง

ถึงแม้จื่อฉีจะรู้สึกไม่ยินยอมอย่างไรก็ต้องมาตามที่หลิวหลีสั่ง ทำเป็นบังเอิญเจอ เพื่อเริ่มต้นการเจอกันครั้งแรก จื่อฉียึกยักไปมา จนมาถึงสถานที่ที่สองคนนั้นอยู่ คิดได้ว่าหากตนเองยังไม่ยอมปรากฏตัว ท่านพี่คงจะจัดการกับเขาแน่ จึงทำได้เพียงปรากฏตัวแล้วส่งเสียงออกมา

“ใคร เจ้าคือ” มู่มู่มองต้นเสียงนั้นอย่างระมัดระวัง อยู่ๆก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น อายุไม่มาก ใบหน้าอ่อนวัยจนมู่มู่นึกไม่ถึงว่าจะมีชายหนุ่มที่อ่อนวัยเช่นนี้ แต่กลับทำให้มู่มู่ใจเต้นแรงขึ้น ชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนที่ฟ้ากำหนดมาให้นางหรือ

จื่อฉีรวบรวมกำลังใจแล้วเงยหน้าขึ้นมองสาวน้อยที่อยู่ด้านข้างท่านพี่ แอปเปิ้ลน้อยน่ารักจริงๆ ใช่แล้ว มู่มู่หน้าแดงเหมือนลูกแอปเปิ้ลอีกครั้ง ถึงสาวน้อยผู้นี้จะไม่ได้หน้าตางดงามมากนัก แต่สบายตา เป็นคนละแบบกับท่านพี่ของเขาแต่เขารู้สึกว่า… จื่อฉีลูบที่หน้าอกตนเอง สาวน้อยคนนี้เหมาะกับเขามาก

หลิวหลีมองดูทั้งสองคนที่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความรัก นางบอกแล้วนางตาถึง ดูท่าแล้วหลังจากการประลองครั้งใหญ่เสร็จสิ้น คงจะต้องอยู่ต่อเพื่อร่วมงานมงคลเสียแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นแม่สื่อจะมีหัวหมูให้กินหรือไม่ อืม ตัวเองควรจะไปได้แล้ว บรรยากาศดีขนาดนี้ คนนอกถอยออกไปจะดีกว่า ว่าแล้วนางก็ค่อยๆหายตัวไป

“เอ่อ หลิวหลีล่ะ” มู่มู่ตั้งสติได้ หน้าแดงก่ำ นางมองชายหนุ่มเพลินจนเพื่อนหายไปก็ยังไม่รู้ตัว

“เจ้าหมายถึงท่านพี่หรือ เหมือนนางจะมีธุระน่ะ เลยไปแล้ว” ท่านพี่ไม่ได้หลอกเขาจริงๆ หญิงนางนี้ไม่เลวจริงๆ

“พี่สาว?” หลิวหลีมีน้องชายด้วยหรือ ไม่เห็นเคยได้ยินนางพูดถึง

“อืม ท่านพี่เป็นคนเลี้ยงข้ามาตั้งแต่เด็ก ข้ามาหานาง” จื่อฉีบอกข้ออ้างที่เขาเตรียมไว้

“ไม่ทราบว่าเจ้าตำหนักท่านนี้มีนามว่าอะไร” มู่มู่มองจื่อฉี เพิ่งเห็นว่าคนผู้นี้ถึงแม้จะดูอ่อนวัย แต่พลังบำเพ็ญเพียรกลับอยู่ในขั้นเซียนนพเก้านภา น่าจะเป็นเจ้าตำหนักท่านใดท่านหนึ่งที่มาเข้าร่วมการประลองครั้งใหญ่

“ข้า เจ้าเรียกข้าว่าจื่อฉีก็พอแล้ว เจ้าคือ” จื่อฉีทำเป็นไม่รู้จักนางแล้วเอ่ยถาม

“ข้า อ่อ ข้าคือมู่มู่แห่งวังนภาพฤกษา” มู่มู่พูดแนะนำตัว

“มู่มู่ ชื่อไพเราะจริงๆ” จื่อฉีเริ่มปากหวานโดยไม่ต้องให้ใครมาสอน

“ขอบคุณ” ถึงแม้ทั้งสองคนจะไม่ได้พูดอะไร แต่บรรยากาศรอบข้างเป็นสีชมพู เหมือนกำลังทีความรักก่อตัวขึ้น

……………………