ตอนที่ 202 ตอบสนอง

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 202 ตอบสนอง

จดหมายในมือขององครักษ์เงาดูธรรมดามากและเป็นเพียงกระดาษแผ่นบาง ๆ ในซองกระดาษสีน้ำตาลเท่านั้น

ทันทีที่องครักษ์เงารับจดหมายมาก็มีความคิดนี้วูบผ่าน

มู่ซื่อจื่อส่งเขามาปกป้องอันหลิงเกอ แต่หลายวันผ่านไปแล้วอันหลิงเกอยังมิเคยเป่านกหวีดเรียก แม้กระทั่งตอนเจอโจรภูเขาในครั้งนั้น นางก็มิได้เรียกเขาออกมา

เขายังคิดว่าอันหลิงเกอหลงลืมเรื่ององครักษ์เงาไปแล้วเสียอีก จนกระทั่งวันนี้ได้ยินเสียงนกหวีดจึงรู้ว่าอันหลิงเกอมิได้ลืมเรื่ององครักษ์เงา แต่นางแก้ไขเรื่องเหล่านั้นได้ด้วยตนเองโดยมิจำเป็นต้องให้เขาช่วย

ตอนนี้อันหลิงเกอต้องการส่งจดหมายให้มู่ซื่อจื่อจึงถึงเวลาเรียกใช้องครักษ์เงา

“เจ้าน่าจักรู้ว่าท่านมู่ซื่อจื่อถึงไหนแล้ว” เสียงของอันหลิงเกอดังขึ้น ทำให้องครักษ์เงาดึงความคิดกลับมา

“ข้าน้อยติดต่อกับบ่าวข้างกายของนายท่านตลอดขอรับ” องครักษ์เงากล่าวตรงไปตรงมาโดยมิปิดบัง

หมายความว่าเขาสามารถส่งจดหมายถึงมือมู่จวินฮานได้

เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้น อันหลิงเกอก็สบายใจขึ้นมา มุมปากปรากฏรอยยิ้ม “หลังส่งจดหมายฉบับนี้เสร็จก็กลับไปรับใช้ท่านมู่ซื่อจื่อเถิด ทางข้ามิจำเป็นต้องใช้คนมากมาย”

ข้างกายนางมีผู้ที่ภักดีเยี่ยงปี้จูและหมิงซินอยู่แล้ว เพียงพอต่อการรับมือพวกผีร้ายในจวนใหญ่แห่งนี้ได้

องครักษ์เงามิได้รับปาก เพียงเอ่ยอย่างเคารพว่า “ข้าน้อยจักส่งจดหมายไปถึงมือนายท่านโดยเร็วที่สุด จวิ้นจู่โปรดวางใจได้ขอรับ”

ในฐานะองครักษ์เงาต้องทำตามคำสั่งที่ผู้เป็นนายมอบหมายให้

มู่จวินฮานสั่งให้เขาปกป้องอันหลิงเกอ ดังนั้นภารกิจของเขาก็คือปกป้องอันหลิงเกอ นอกจากมู่จวินฮานจักเรียกกลับไป มิเช่นนั้นเขาจักปกป้องอันหลิงเกออย่างลับ ๆ ไปตลอด

เมื่อได้ฟังคำขององครักษ์เงา อันหลิงเกอก็เข้าใจในทันที หากเขาเชื่อฟังคำสั่งผู้อื่นโดยง่ายก็คงมิถูกเรียกว่าองครักษ์เงาหรอก

นางพยักหน้ารับแล้วบอกให้เขาออกไปได้

ทันใดนั้นเสียงม่านก็ดังขึ้นพอดี หมิงซินและปี้จูเดินเข้ามาโดยที่ในมือถือเตาต้มยาขนาดเล็กไว้หนึ่งเตา

“คุณหนูเจ้าคะ ท่านจักให้วางเตาต้มยานี้ไว้ที่เรือนของเราหรือไม่เจ้าคะ ? ” ปี้จูเอ่ยถามแล้วกะพริบตาอย่างสงสัย หากวางเตาต้มยาไว้ในเรือนมิรู้ว่าหลี่ซื่อจักลอบทำอันใดอีก

อันหลิงเกอตอบเพียง อืม แล้วกำลังจักสั่งให้พวกนางต้มยา พลันนึกได้ว่าสูตรยาเหล่านั้นซับซ้อนมาก นางจึงกลืนคำสั่งลงท้องไป

“ยาตำรับนี้ใช้ป้องกันโรคระบาด” อันหลิงเกอบอกออกไป เนื่องจากหลันซินติดโรคระบาดและเมื่อครู่พวกนางล้วนสัมผัสหลันซินไปด้วยจึงมีแนวโน้มว่าจักติดโรคง่ายที่สุด ดังนั้นยานี้จึงขาดมิได้

ใบหน้าของหมิงซินแสดงความแปลกใจออกมา นางมิรู้ว่าอันหลิงเกอได้ตำรับยาป้องกันโรคระบาดนี้มาจากที่ใด แต่นางมิเคยสงสัยต่อคำของอันหลิงเกอ ดังนั้นจึงเอ่ยว่า “บ่าวจักไปต้มตอนนี้เลยเจ้าค่ะ”

“ช้าก่อน” อันหลิงเกอเรียกหมิงซินเอาไว้ “สูตรยานี้มีความซับซ้อน พวกเจ้าดูข้าทำเป็นตัวอย่างไปก่อน”

หลังจากนั้นนางก้าวเท้าออกจากห้องโดยมีหมิงซินและปี้จูรีบถือเตาต้มยาและหม้อต้มยาตามหลัง

โชคดีที่หลี่ซื่อและองค์ชายเจ็ดมิได้ยึดยาสมุนไพรเหล่านี้ไป แม้ว่าหลังจากนั้นอันหลิงเกอจักย้ายยาสมุนไพรเหล่านี้ออกไป แต่ก็เหลือเอาไว้ในเรือนฉีอู๋เล็กน้อย ตอนนี้จึงสามารถนำออกมาใช้งานได้เลย

อันหลิงเกอพาสาวใช้ทั้งสองไปยังที่เก็บยาสมุนไพร ทุกครั้งที่หยิบยาตัวหนึ่งออกมา นางจักอธิบายให้ทั้งสองฟังอย่างละเอียด จากนั้นจึงสั่งให้พวกนางคำนึงถึงข้อระวังต่าง ๆ ตอนต้มยา

รอต้มยาทั้งหมดเสร็จ เวลาก็ผ่านไป 1 ชั่วยามแล้ว

“ปี้จูนำยานี้ส่งให้ท่านพ่อโดยบอกว่าเป็นยาป้องกันโรคระบาดและจำเป็นต้องดื่ม” อันหลิงเกอนำยาที่ต้มเสร็จเทลงถ้วยและนำฝามาปิดไว้

เมื่อครู่อันอิงเฉิงไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ในวังหลวง เมื่อคำนวณเวลาแล้วก็น่าจักกลับถึงจวนพอดี

ปี้จูพยักหน้ารับแล้วถือถ้วยยาเดินไปยังเรือนอันอิงเฉิงอย่างระมัดระวัง

ส่วนหมิงซินที่อยู่ตรงนี้ก็เริ่มต้มยาตามที่อันหลิงเกอสั่งอีกรอบ

หมิงซินเป็นคนละเอียดรอบคอบและมีไหวพริบ ดังนั้นจึงก่อไฟของเตาต้มยาขึ้นมา 2 เตาพร้อมกัน ทำให้สามารถเริ่มต้มยา 2 ชุดได้ทันที

อันหลิงเกอมองยาสมุนไพรที่หมิงซินต้มออกมาทั้งสี่ถ้วย นอกจากพวกนางสามคนแล้วเพื่อป้องกันความปลอดภัยก็ให้คนส่งยาสมุนไพรนี้แก่ท่านหมอประจำจวนด้วย

ในที่สุดก็จัดการเรื่องเหล่านี้เรียบร้อย อันหลิงเกอกำลังจักพักผ่อน แต่มีบ่าววัยกลางคนวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน

“คุณหนูใหญ่ มีเรื่องดีเจ้าค่ะ เรื่องดีเจ้าค่ะ!”

บ่าวคนนั้นวิ่งได้เร็วมาก พริบตาเดียวก็มาถึงเบื้องหน้าอันหลิงเกอแล้ว แม้หอบหายใจเหนื่อย ทว่าก็ยิ้มอย่างเบิกบาน

นางยิ้มกว้าง ยิ้มจนเห็นฟันมิเห็นลูกตา “เรียนคุณหนูใหญ่ ฮูหยินหมิงจูให้คนมาส่งเทียบเชิญคุณหนูไปเป็นแขกที่จวนเจ้าค่ะ”

ฮูหยินหมิงจูน่ะหรือ ?

ทันใดนั้นอันหลิงเกอก็นึกขึ้นได้ ตอนนั้นนางเพิ่งกลับชาติมาเกิดใหม่ เพื่อหลบหนีแผนการของหลี่ซื่อจึงไปที่พักอยู่ที่วัดชิงหยุนชั่วคราว จากนั้นอันหลิงอีใส่ร้ายนางก็เป็นฮูหยินหมิงจูที่ช่วยออกหน้าให้ ทั้งยังตำหนิอันหลิงอีอย่างหนักด้วย

ทว่าฮูหยินหมิงจูเป็นคนเรียบง่าย มิชอบคบหากับผู้ใด นอกจากวันพระต้องออกไปจุดธูปไหว้พระแล้วก็แทบมิออกไปไหน เหตุใดจึงเชิญนางไปที่จวนได้เล่า ?

“เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับจวนของฮูหยินหมิงจู ? ” อันหลิงเกอเอ่ยถามพร้อมดวงตาที่เป็นประกายแล้วนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่งขึ้นมา

“คุณหนูใหญ่ฉลาดยิ่งนักเจ้าค่ะ เนื่องจากฮูหยินหมิงจูตามหาบุตรสาวที่หายไปหลายปีก่อนเจอแล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้จึงส่งเทียบเชิญให้อีกหลายจวนเพื่อต้องการแนะนำบุตรสาวให้ทุกท่านได้รู้จักเจ้าค่ะ” บ่าววัยกลางคนกล่าวพร้อมยิ้มอย่างมีความสุข เพราะหลายปีที่ผ่านมานี้อำนาจจวนโหวอ่อนลง หากสามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีกับฮูหยินหมิงจูได้จักเป็นเรื่องดีทีเดียว

เป็นเรื่องนี้เอง

อันหลิงเกอนึกถึงสามแม่ลูกที่เจอบนหุบเขา ตอนนั้นนางกล่าวเป็นนัยกับซินเจียวเจียวก็เพราะชาติที่แล้วซินเจียวเจียวมีบุญคุณต่อนาง ตอนนี้อีกฝ่ายถูกฮูหยินหมิงจูตามหาจนเจอแล้ว แม่ลูกได้พบกันในที่สุดก็ถือว่าตนได้ตอบแทนบุญคุณซินเจียวเจียวด้วย

เมื่อคิดได้เยี่ยงนั้น ใบหน้าของอันหลิงเกอก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้น แววตาดูอ่อนโยน “นำเทียบเชิญมาให้ข้าเถิด”

บ่าววัยกลางคนรีบยื่นเทียบเชิญที่ประดับผงทองคำอย่างงดงามให้อันหลิงเกอ บนนั้นยังเขียนคำว่า ‘เทียบเชิญ’ ด้วยตัวอักษรลายดอกสาลี่อย่างเรียบง่าย แม้เป็นคำมิกี่คำแต่ก็สามารถดูออกว่าฮูหยินหมิงจูมีความสุขมากเพียงใด

นางส่งเทียบเชิญครั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้อื่นได้รู้จักซินเจียวเจียว นี่ถือเป็นการแสดงตัวตนและเปิดเผยใบหน้าของซินเจียวเจียวในสังคม

อันหลิงเกอกวาดสายตาผ่านเทียบเชิญ สายตาหยุดอยู่ที่วันนัดพบ พลันมุมปากของนางก็มีรอยยิ้มที่จริงใจและอ่อนโยนปรากฏขึ้น “อีกสามวันข้าจักพาคนจวนโหวตามรายชื่อในเทียบเชิญไปที่จวนฮูหยินหมิงจู เจ้ารีบไปแจ้งผู้มาส่งเทียบเชิญเถิด”

ฮูหยินหมิงจูมิได้ส่งเทียบเชิญให้อันหลิงเกอเพียงคนเดียว แต่ยังส่งเทียบเชิญสตรีทั้งหมดของจวนโหว

อย่างไรก็ตาม เทียบเชิญนี้ได้ส่งมาถึงมือของนางซึ่งมิใช่มือของหลี่ซื่อ เห็นได้ชัดว่าฮูหยินหมิงจูยังจำได้ถึงความรู้สึกมิดีต่อหลี่ซื่อตอนที่อยู่วัดชิงหยุน

เพียงแต่ฮูหยินหมิงจูมิได้ออกนอกจวนนานจึงมิรู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่าได้กลับมาแล้ว

อันหลิงเกอจึงรับเทียบเชิญนี้ไว้ด้วยดวงตาเป็นประกาย