ตอนที่ 203 ร่วมงานฉลอง

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 203 ร่วมงานฉลอง

เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว

บัดนี้หน้าประตูจวนของฮูหยินหมิงจูเต็มไปด้วยแขกอย่างเนืองแน่น

รถม้าของจวนโหวก็หยุดหน้าประตูจวนฮูหยินหมิงจู หลังจากนั้นอันอิงเฉิงก็ก้าวลงจากรถม้าเป็นคนแรก จากนั้นตามด้วยหลี่ซื่อและเว่ยซื่อ ถัดมาคืออันหลิงเกอและคนอื่น สุดท้ายจึงเป็นฮูหยินผู้เฒ่า

ส่วนคนของบ้านสองและบ้านสามเหล่านั้นแม้เป็นสายเลือดของท่านโหวคนก่อนก็ตาม ทว่าตำแหน่งมิสูงมากพอจึงเข้าจวนฮูหยินหมิงจูมิได้

เนื่องจากมาร่วมงานที่จวนฮูหยินหมิงจู คนของจวนโหวจึงแต่งกายกันอย่างสง่างาม

อันอิงเฉิงสวมชุดยาวคอกลมสีน้ำตาลขอบสีน้ำเงินเข้ม ทำจากผ้าซาตินปักกลีบดอกไม้ สวมรองเท้าสีแดงปักลายก้อนเมฆสีขาว ใบหน้าที่เคร่งขรึมยามนี้ดูเป็นกันเอง พอลงจากรถม้าแล้วทหารหน้าประตูจวนก็เชิญพวกเขาเข้าไปด้านใน

ส่วนหลี่ซื่อก็เดินตามหลังอันอิงเฉิงมาติด ๆ นางเพิ่งรักษาตัวเพียงแค่ 3 วัน แม้ยังมิหายดีแต่ก็มิได้ส่งผลต่อการทานอาหารและการเดินแม้แต่น้อย

เดิมทีอันหลิงเกอต้องการให้หลี่ซื่อพักอยู่ที่จวนเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดเรื่องขึ้น แต่หลี่ซื่อร้องไห้ต่อหน้าอันอิงเฉิงมิหยุดราวกับว่าได้รับความยากลำบากอย่างมหาศาล เมื่อเป็นเช่นนั้นอันหลิงเกอก็ได้แต่ตามใจเพราะร่างกายที่บาดเจ็บสุดท้ายก็มิใช่ร่างกายของนางเสียหน่อย

อันหลิงเกอเห็นว่าหลี่ซื่อผู้นี้เพิ่งโดนเฆี่ยนไปหลายสิบที ทว่ามิยอมนอนพักอยู่ที่จวนและเอาแต่สร้างความลำบาก แต่หลี่ซื่อมิได้คิดเยี่ยงนั้นเลย

ตอนที่ได้ยินว่าฮูหยินหมิงจูส่งเทียบเชิญมายังจวนโหว นางก็รีบผุดลุกขึ้นทันทีโดยมิได้เรียกสาวใช้มาพยุง ทั้งยังเดินไปเลือกเสื้อผ้าและเครื่องประดับเอง ราวกับว่าบาดแผลบนตัวได้หายดีหมดแล้ว

ตอนนี้หลี่ซื่อสวมเสื้อคลุมสีชมพู ส่วนด้านล่างสวมกระโปรงสีแดงกลีบกุหลาบถักทอลวดลายกลีบดอกไม้ ปักปิ่นทองบริสุทธิ์และไพลินไว้บนศีรษะ เพียงมองก็เห็นความหรูหราแผ่ออกมาทั้งตัว

อันหลิงเกอหันไปมองนางสองครา จากนั้นก็มิได้หันมองอีก แต่ภายในใจคิดว่าหลี่ซื่อผู้นี้อายุก็นับว่า 30 ปีแล้ว มิรู้เหตุใดถึงได้ชอบสีชมพูและสีแดงยิ่งนัก หรือเพื่อทำให้ตนเองดูอ่อนกว่าวัยก็มิทราบ

ในทางกลับกันเว่ยอี๋เหนียงนั้นช่างแตกต่างจากหลี่ซื่อยิ่งนัก ในตอนที่เว่ยอี๋เหนียงอยู่ในจวนมักถ่อมตน วันนี้เป็นครั้งแรกที่นางออกจวนมาร่วมงานเลี้ยง ทว่าการแต่งกายก็มิได้ดึงดูดสายตามากนัก นางสวมเสื้อตัวยาวสีเขียวมีแขนเสื้อหลวม ๆ ท่อนล่างสวมกระโปรงสีเขียวปักลวดลายดอกไม้ หากนางซ่อนอยู่ในกลุ่มผู้คนย่อมมิอาจหาตัวได้ในทันที มีเพียงปิ่นปักผมไข่มุกสีแดงชาดบนศีรษะที่พอสะดุดตาอยู่บ้าง อีกทั้งยังช่วยเพิ่มสีสันให้ชุดที่ใช้สีพื้นและการประทินผิวหน้าบาง ๆ

หลังจากนั้นอันหลิงเกอก็ดึงสายตากลับแล้วเดินตามหลังคนเหล่านี้เข้าไปในจวนอย่างมิเร็วมิช้า

สาวใช้ในจวนฮูหยินหมิงจูล้วนถูกอบรมมาอย่างดีและมีไหวพริบที่ดี ในยามต้อนรับแขกมากมายเยี่ยงนี้จึงมิเห็นความตื่นเต้นลนลานแม้แต่น้อย

อันหลิงเกอและคนในจวนโหวถูกนำทางไปยังสถานที่ที่ฮูหยินหมิงจูอยู่ ส่วนอันอิงเฉิงก็ถูกเชิญไปอยู่ในกลุ่มแขกที่เป็นบุรุษ

“คารวะฮูหยินหมิงจูเจ้าค่ะ”

ฮูหยินผู้เฒ่ายืนอยู่ด้านหน้าและทำเพียงพยักหน้าให้ฮูหยินหมิงจูเล็กน้อย ส่วนคนอื่นก็น้อมตัวคำนับอย่างนอบน้อม

ฮูหยินหมิงจูที่กำลังสนทนากับซินเจียวเจียวอยู่ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็หันกลับมามอง “อย่ามากพิธีเลย”

ทันใดนั้นนางก็ตกตะลึงเมื่อหันมาเจอฮูหยินผู้เฒ่า ใบหน้าของนางก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา “ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมาเมืองจิงเมื่อไรหรือ ช่วงนี้ข้ามิได้ออกนอกจวนจึงมิรู้ข่าวสารอันใดเลย”

“ข้าเพิ่งกลับมาได้มินานจึงได้มาเยี่ยมท่านในวันนี้” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มที่มุมปาก ทั้งสองคนมิได้ถือว่าคุ้นเคยกันมากนัก แต่ก็เคยเจอหน้ากันหลายครั้งเมื่อหลายปีก่อน

ในขณะเดียวกันสายตาของซินเจียวเจียวก็หันไปเจออันหลิงเกอที่อยู่ด้านหลังของฮูหยินผู้เฒ่า นางจึงเผยแววตาที่เต็มไปด้วยความดีใจขึ้นมา “ ผู้มีพระคุณ ! ”

นางเดินเข้าไปจูงมืออันหลิงเกอราวกับว่านึกอันใดขึ้นมาได้ จากนั้นก็ยืนอยู่กับที่แล้วหันมองไปทางฮูหยินหมิงจูที่อยู่ด้านหลังแล้วเอ่ยด้วยความขัดเขิน “ท่านแม่เจ้าคะ นางก็คือผู้ที่ลูกเคยเล่าให้ฟัง นางคือผู้มีพระคุณที่ช่วยลูกและช่วยฮวนฮวนกับเล่อเล่อเอาไว้เจ้าค่ะ”

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ดวงตาฮูหยินหมิงจูก็มองผ่านฮูหยินผู้เฒ่าแล้วตกไปอยู่ที่ตัวอันหลิงเกอ

นางจำอันหลิงเกอได้ดี ตอนนั้นที่อยู่วัดชิงหยุนท่าทางของอีกฝ่ายช่างรู้ความ มั่นคงและใจกว้างทำให้คนรู้สึกดีด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอันหลิงเกอมีรูปโฉมงดงามยิ่งนัก ผู้ที่เคยยลโฉมมาก่อนย่อมมิมีทางลืม

“ที่แท้เป็นคุณหนูใหญ่อันนี่เองที่ช่วยบุตรสาวและหลานชายหญิงของข้าเอาไว้” ฮูหยินหมิงจูกล่าวออกมาพร้อมดวงตาแฝงไปด้วยความอ่อนโยน ใบหน้าดูเป็นมิตรมิได้เหมือนเมื่อครู่ที่ดูเข้าถึงยาก “ตั้งแต่ข้าตามหาบุตรีและหลานเจอ ข้าก็ส่งคนไปตามหาผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตพวกนางเอาไว้ แต่สืบอันใดมิได้สักอย่าง ในเมื่อวันนี้ได้พบและคุณหนูใหญ่อันมาถึงจวนเเล้ว ข้าต้องขอบคุณยิ่งนัก”

นางกล่าวแล้วทำท่าก้มลงคำนับ อันหลิงเกอไหนเลยจักกล้ารับการคำนับเช่นนี้ได้ ?

นี่คือเสด็จป้าของฮ่องเต้ !

อันหลิงเกอจึงเอียงตัวไปด้านข้างเพื่อหลบหลีกการคำนับแล้วประคองฮูหยินหมิงจูเอาไว้ “ฮูหยินรีบลุกขึ้นเถิดเจ้าค่ะ เรื่องวันนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยมิถือว่าเป็นบุญคุณอันใด ท่านทำเยี่ยงนี้ ข้ารู้สึกละอายใจยิ่งนักเจ้าค่ะ”

เป็นบุญคุณที่ช่วยชีวิตไว้หรือไม่นั้น ซินเจียวเจียวและฮูหยินหมิงจูล้วนทราบดีแก่ใจที่สุด

เห็นอันหลิงเกอถ่อมตัวเยี่ยงนี้ ฮูหยินหมิงจูจึงมิได้กล่าวอันใดมากเพียงเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้าติดหนี้บุญคุณของคุณหนูใหญ่อันครั้งหนึ่ง หากวันข้างหน้าคุณหนูใหญ่ลำบากอันใด ขอเพียงมิฝ่าฝืนกฎและศีลธรรม ข้าจักช่วยท่านอย่างสุดกำลังแน่นอน”

อันหลิงอีที่ฟังอยู่ด้านข้างก็แอบกัดฟันกรอด วันนั้นที่พบซินเจียวเจียวสามแม่ลูก นางยังคิดว่าเป็นแค่พวกขอทานชั้นต่ำ ยังดูถูกอันหลิงเกอที่ลงมือช่วยเหลือด้วยซ้ำ ผู้ใดจักคิดว่าแค่พริบตาเดียว ซินเจียวเจียวผู้นั้นได้กลายเป็นบุตรีของฮูหยินหมิงจูไปแล้ว ฐานะผู้เป็นนัดดาของฮ่องเต้ ตำแหน่งยศสูงส่งยิ่งกว่านาง ส่วนอันหลิงเกอในเวลานี้กลายเป็นผู้มีพระคุณ ทั้งยังทำให้ฮูหยินหมิงจูรู้สึกดีอีกด้วย

เหตุใดเรื่องดีงามล้วนถูกพบเจอโดยอันหลิงเกอเสียหมด !

วันนี้ฮูหยินหมิงจูซาบซึ้งต่ออันหลิงเกอมากอย่างเห็นได้ชัด หากฮูหยินหมิงจูช่วยอันหลิงเกอจัดการมารดาและตัวนาง เยี่ยงนั้นจักมิแย่เอาหรือ ?

ดวงตาของอันหลิงอีเคลื่อนไหว ใบหน้าที่งดงามฉายแววโหดเหี้ยมพาดผ่าน

อันหลิงเกอและฮูหยินหมิงจูสนทนากันด้วยรอยยิ้ม ราวกับมิได้สังเกตเห็นความแค้นใจของอันหลิงอี

ตอนนี้มุมปากของอันหลิงเกอเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเบาบาง ใบหน้าสงบนิ่งราวกับน้ำใสในฤดูร้อนทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกจิตใจสงบ

หลังจากนั้นมินานฮูหยินหมิงจูก็สั่งสาวใช้นำทางพวกนางไปนั่งแล้วได้เริ่มสนทนากับฮูหยินและคุณหนูท่านอื่น

“มิคิดเลยว่าพี่หญิงใหญ่เพียงแค่ช่วยคนผู้หนึ่งเอาไว้ ทว่านางกลับกลายเป็นเครือญาติของฮ่องเต้ไปเสียได้ วาสนาของท่านช่างดีเหลือเกินเจ้าค่ะ”

อันหลิงอีนั่งอยู่บนเก้าอี้ประจำตัว อดมิได้ที่จักกล่าวประชดออกมา

ตั้งแต่รู้ว่าซินเจียวเจียวเป็นบุตรีของฮูหยินหมิงจู อันหลิงอีก็รู้สึกมิพอใจยิ่งนัก เหตุใดคนที่ช่วยซินเจียวเจียวในตอนนั้นต้องเป็นอันหลิงเกอแต่มิใช่นาง มิเช่นนั้นคนที่ฮูหยินหมิงจูซาบซึ้งใจย่อมเป็นนางและคนที่ฮูหยินหมิงจูให้สัญญาไว้ก็เป็นนางเช่นกัน

คำพูดประโยคนี้ของอันหลิงอีเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาอย่างรุนแรง ทำให้อันหลิงเกอที่ได้ฟังเผยแววตาดูถูกเหยียดหยามออกมา ทว่าใบหน้ายังคงเรียบเฉย “หากน้องหญิงสามรู้สึกอิจฉาข้า พรุ่งนี้ก็ไปช่วยผู้ใดสักคนหนึ่งสิ ดูว่าเจ้าจักมีวาสนาเยี่ยงนี้หรือไม่”