ตอนที่ 204 ประพันธ์บทกวี

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 204 ประพันธ์บทกวี

การจักทำหน้าที่หนึ่งก็ต้องมีความสามารถด้านนั้นเสียก่อน

แม้จักมีผู้ป่วยที่ต้องการความช่วยเหลืออยู่ตรงหน้าของอันหลิงอี แต่หากอันหลิงอีมิรู้วิชาแพทย์แล้ว จักช่วยเหลือได้เยี่ยงไร ?

แม้ว่าอันหลิงเกอมิได้กล่าวออกมาตามตรง แต่ความหมายก็คืออันหลิงอีไร้ความสามารถ มิทุ่มเทแต่อยากได้ผลตอบแทน มิต่างจากการฝันกลางวัน มิต่างกับการคิดในสิ่งที่เป็นไปมิได้

อันหลิงอีรู้สึกโกรธจนหน้าแดง นางเพียงรู้สึกว่าต้องเสียหน้าหลายต่อหลายครั้งเพราะอันหลิงเกอ

“ข้าก็แค่พูดไปเยี่ยงนั้นเอง เหตุใดพี่หญิงใหญ่จึงบอกว่าข้าอิจฉากันเล่า ? ” อันหลิงอีมุ่ยปาก “คนที่พี่หญิงช่วยวันนั้นคือบุตรีของฮูหยินหมิงจู ส่วนข้าก็ได้ขวางโจรภูเขาเพื่อช่วยชีวิตท่านพ่อเช่นกัน”

คำกล่าวนี้ของนางน่าสนใจ อันหลิงเกอช่วยคนผู้หนึ่งที่มิเกี่ยวข้องกับตนแล้วถูกฮูหยินหมิงจูเชิญไปนั่งที่ตำแหน่งแขกพิเศษ ส่วนนางช่วยบิดาของตนซึ่งเป็นสิ่งที่มีความกตัญญูอย่างมาก แล้วจักมีสิ่งใดที่นางต้องอิจฉาอันหลิงเกออีก ?

โดยเฉพาะอย่างยิ่งอันหลิเกอได้ช่วยซินเจียวเจียวในวันเดียวกับที่อันหลิงอีขวางโจรภูเขาให้อันอิงเฉิง เช่นนั้นก็เหมือนว่าอันหลิงเกอได้ช่วยซินเจียวเจียวจากเงื้อมมือของโจรภูเขาเหล่านั้นด้วย

คนที่มิรู้ย่อมคิดว่าอันหลิงเกอช่วยสามแม่ลูกออกมาจากเงื้อมมือของโจรภูเขา แต่เหตุใดจึงมิสนใจบิดาของตน ?

มิแน่ว่าอันหลิงเกออาจรู้ว่าซินเจียวเจียวเป็นบุตรีของฮูหยินหมิงจูมาก่อนก็ได้ เพื่อเอาใจฮูหยินหมิงจูจึงมิสนแม้กระทั่งบิดาของตน กลับไปช่วยคนผู้หนึ่งที่มิได้เป็นอันใดกับตน สตรีเช่นนี้มิใช่ว่าเลือดเย็นไปหน่อยหรือ

บริเวณโดยรอบมีเหล่าฮูหยินและบรรดาคุณหนูหลายคนนั่งอยู่ พอได้ยินเช่นนั้นจึงพากันหันไปมองที่อันหลิงเกอ ในแววตายังแฝงไปด้วยความหมายบางอย่าง

อันหลิงเกอทำราวกับมิได้สังเกตเห็นแววตาที่แปลกประหลาดเหล่านั้น ริมฝีปากนางยังคงยกยิ้มเช่นเดิม เพียงแต่ดวงตาดำขลับฉายแววเย็นชาอยู่บ้าง

“น้องหญิงสามช่างมีคุณธรรมยิ่งนัก เพื่อความปลอดภัยของท่านพ่อจึงมิสนใจแม้แต่ชีวิตของตนเอง ช่างน่านับถือเสียจริง” พลันดวงตาของอันหลิงเกอก็เป็นประกายแล้วกล่าวอย่างอ้อม ๆ ว่า “แต่โจรภูเขาโผล่มาอย่างกะทันหัน มิรู้ว่าใต้เท้าหน่วยลาดตระเวนจับตัวพวกเขาและสามารถสืบหาผู้บงการเบื้องหลังได้หรือไม่”

“ผู้บงการอันใดกัน ? ” อันหลิงอีกล่าวเสียงแหลมออกมา เมื่อรู้ว่าตนเก็บกิริยามิอยู่จึงกระแอมขึ้นมาเบา ๆ “โจรภูเขาพวกนั้นโหดเหี้ยมยิ่งนัก หากแม่ทัพน้อยลู่มาช่วยพวกเรามิทัน เกรงว่าพวกเราคง…แล้วโจรภูเขายังจักมีผู้บงการด้วยหรือ ผู้ใดจักกล้าทำร้ายท่านโหวในราชวงศ์ปัจจุบันเยี่ยงนี้ ? “

อันหลิงเกอจ้องหน้าอันหลิงอีด้วยแววตาแปลกใจ ราวกับว่าคาดมิถึงในท่าทางร้อนรนของอีกฝ่าย

แววตาของนางอ่อนโยน น้ำเสียงก็อ่อนโยน “เหตุใดน้องหญิงสามจึงดูตื่นเต้นปานนั้น โจรภูเขามิได้เป็นอันใดกับเจ้า เพียงแต่ท่านพ่อเป็นผู้บอกว่ามีคนสั่งการอยู่เบื้องหลัง หากเจ้ามิเชื่อก็ลองถามท่านพ่อได้”

จริงสิ เมื่อเอ่ยถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังของโจรภูเขา อันหลิงอีก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาทันที

ส่วนฮูหยินและคุณหนูเหล่านั้นมีความคิดนี้วูบผ่านในหัวเช่นกัน แต่พวกนางเพียงคิดว่าการตอบสนองของอันหลิงอีมิปกติจึงมิได้ติดใจอันใด

อันหลิงอีมิกล้ากล่าวอันใดต่อแล้ว หากพูดมากไปกว่านี้แล้วอันหลิงเกอขุดเรื่องโจรภูเขามิเลิก สุดท้ายทั้งนางและหลี่ซื่อโดนเปิดโปงขึ้นมาจักทำเยี่ยงไร ?

“ข้าย่อมเชื่อคำท่านพ่ออยู่แล้ว” นางกล่าวจบก็เห็นฮูหยินหมิงจูเดินเข้ามา นางจึงมิได้กล่าวอันใดต่อ

ซินเจียวเจียวเดินอยู่ข้างกายฮูหยินหมิงจู ตอนที่ทั้งสองคนเดินเข้ามาก็พบว่าบริเวณตาและคิ้วของทั้งสองคล้ายคลึงกันมาก

แต่อันหลิงเกอมิเห็นเด็กน้อยสองคนนั้น คิดว่าคงให้สาวใช้เลี้ยงดูอยู่ด้านในจวน

แม้ว่าซินเจียวเจียวเติบโตขึ้นมาในครอบครัวชาวนา ทว่าลักษณะท่าทางของนางมิด้อยไปกว่าบุตรีของเหล่าขุนนางในเมืองหลวงแม้แต่น้อย นางสวมเสื้อตัวยาวปักลายก้อนเมฆที่ทำจากผ้าไหมทองสีแดง สวมกระโปรงสีเหลืองน้ำผึ้ง แม้ชุดดูเรียบง่ายแต่ก็งดงาม มิได้ทำให้คนมองรู้สึกถึงความมิเหมาะสมแต่อย่างใด

ส่วนเครื่องประดับบนศีรษะของนางเป็นของมีค่ามิธรรมดา ทั้งเมืองจิงมีอยู่เพียงแค่ชิ้นเดียว สามารถดูออกได้เลยว่าฮูหยินหมิงจูรักนางมากเพียงใด

ซินเจียวเจียวเดินตามหลังฮูหยินหมิงจูพลางฟังมารดาแนะนำตนเองอย่างเงียบ ๆ ครั้นสบโอกาสที่คนอื่นเผลอ นางจักแอบกะพริบตามาให้อันหลิงเกอ

ทำให้อันหลิงเกอตกตะลึงทันที จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมา

ในชาติก่อนนางมิได้สนิทสนมกับซินเจียวเจียวมากนัก รู้เพียงแค่อีกฝ่ายฉลาดสดใส แต่วันนี้ดูแล้วซินเจียวเจียวมีทั้งเสน่ห์และซุกซน ราวกับเป็นแม่นางน้อยไร้เดียงสาที่ถูกคนตามใจตั้งแต่เด็กเท่านั้น ดูมิออกเลยว่าเป็นมารดาของบุตรสองคนแล้ว

อันหลิงอีที่อยู่ด้านข้าง พอเห็นอันหลิงเกอยิ้ม หัวใจนางเจ็บยิ่งกว่าถูกมีดกรีดเสียอีก

ฮูหยินหมิงจูอยากสร้างบรรยากาศให้ครึกครื้นจึงสั่งสาวใช้เตรียมการละเล่นอย่างเช่น ‘การดื่มจากจอกที่ลอยอยู่บนลำธารคดเคี้ยว’ ขึ้นมา ด้วยการละเล่นนี้ทำให้อันหลิงอีเกิดความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง

การละเล่น ‘การดื่มจากจอกที่ลอยอยู่บนลำธารคดเคี้ยว’ ที่กล่าวถึงก็คือการให้คนนั่งล้อมข้างริมลำธารและวางจอกสุราหรือจอกน้ำชาลอยไว้บนน้ำ ให้จอกสุราไหลตามน้ำลงมา หากจอกสุราหยุดลงตรงหน้าผู้ใด ผู้นั้นจักต้องดื่มสุราในจอกให้หมด

ทว่าที่นี่มีเพียงสตรี ดังนั้นการละเล่นของเหล่าสตรีจึงแตกต่างจากบุรุษอยู่บ้าง

ฮูหยินหมิงจูสั่งคนไปเด็ดดอกไม้มาหนึ่งตะกร้า จากนั้นพาแขกมานั่งข้างริมลำธารโดยสาวใช้ยืนอยู่ต้นธารน้ำไหลและนำกลีบดอกไม้ออกจากตะกร้าปล่อยให้มันไหลลงมา

กลีบดอกไม้หยุดลงตรงหน้าเจียงหนิงเป็นคนแรก ฮูหยินหมิงจูมองนางด้วยรอยยิ้ม “กลีบดอกไม้นี้หยุดลงตรงหน้าคุณหนูเจียง ขอเชิญคุณหนูเจียงประพันธ์กวีขึ้นมาสักบทหนึ่งแล้วกัน”

เจียงหนิงที่โดนผู้คนจ้องมอง ใบหน้าเริ่มแดงเล็กน้อย แต่มิช้านางก็ตั้งสติได้พลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา “บุปผาลอยล่องเต็มนภา ดอกเหี่ยวไร้กลิ่นหอม ผู้ใดจักสงสาร”

แม้บทกวีจักให้ความรู้สึกโศกเศร้าแต่ก็ถือว่าตอบโจทย์ตามสถานการณ์ที่มีกลีบดอกไม้ไหลลงมา ฮูหยินหมิงจูจึงยกยิ้มและกล่าวชื่นชมเจียงหนิง จากนั้นสาวใช้ก็โรยกลีบดอกไม้อีกครั้ง

ครั้งนี้กลีบดอกไม้หยุดลงตรงหน้าซินเจียวเจียว ทำให้มุมปากของนางโค้งเป็นรอยยิ้มขึ้นมา ใบหน้ามั่นใจอย่างยิ่ง จากนั้นเสียงอ่อนโยนก็กล่าวอย่างชัดเจน “ดอกบัวหอมน้ำเขียวลมพัดเย็นฤดูร้อนอันยาวนาน”

“นับเป็นบทกวีได้หรือ ? ”

อันหลิงอีกล่าวลอย ๆ ออกมา อย่างไรซินเจียวเจียวก็ลำเอียงเข้าข้างคนสารเลวอันหลิงเกออยู่แล้ว หากนางสร้างปัญหาให้ซินเจียวเจียวก็คงทำให้อันหลิงเกอรู้สึกอึดอัดเช่นกัน

แม้เสียงนางจักเบา ทว่าลำธารนี้เดิมทีก็เงียบสงบ ดังนั้นเหล่าฮูหยินและคุณหนูล้วนได้ยิน ‘คำพูดลอย ๆ ’ ของนางหมด

ทันใดนั้นใบหน้าของฮูหยินหมิงจูก็ดูเย็นชาขึ้นมา นางกำลังจักกล่าวบางอย่าง แต่อันหลิงเกอหัวเราะออกมาเสียก่อน

เสียงหัวเราะใสราวกระดิ่งดังขึ้นเบาๆ ลอยไปตามลมพัดผ่านหูของผู้คน ทำให้พวกนางอดหันไปมองทางอันหลิงเกอมิได้

เพียงเห็นอันหลิงเกอเผยรอยยิ้มเต็มหน้า ดวงตาดำขลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นกัน คนเหล่านั้นล้วนแปลกใจว่านางหัวเราะอันใด หลังจากนั้นก็ได้ยินอันหลิงเกอกล่าวว่า “จวิ้นจู่ช่างมีความสามารถเหนือผู้ใดยิ่งนัก กวีบทนี้อ่อนช้อยงดงามจนหาที่เปรียบมิได้จริง ๆ ”

ซินเจียวเจียวเป็นบุตรีของฮูหยินหมิงจู หากว่าตามตำแหน่งแล้วก็คือจวิ้นจู่ของราชวงศ์ต้าโจว อันหลิงเกอเรียกนางเยี่ยงนี้ก็ถือว่าเหมาะสมแล้ว

ทว่าสิ่งที่ผู้คนสนใจมิใช่การเรียกแทนตัวนางแต่เป็นกวีบทนั้นต่างหาก