ภาค 2 ใต้หล้ายังมีผู้ใดไม่รู้จักท่านอีกหรือ บทที่ 144 สองเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์รวมเป็นหนึ่ง

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

หลินโจวมองเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์กลายสภาพเป็นแสงสายฟ้าด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม ซึ่งยังคงลอยออกไปไกลขณะอยู่ภายใต้การคลุมด้วยตาข่ายแดง

 

หากอาศัยความได้เปรียบพิเศษของตน เขาก็คงมีวันที่ไม่ต้องประสบอุปสรรค ถูกบีบบังคับให้พ่ายแพ้เช่นนี้อยู่บ้างเป็นแน่

 

ภาพฉากนี้ทำให้ภายในสมองของหลินโจวปรากฎความทรงจำมากมายที่ไม่เป็นที่น่าพอใจขึ้น

 

ไม่นานนักเขาก็ฟื้นคืนความเยือกเย็นกลับมา ทอดกายออกไล่ตามเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่หนีไปด้วยความเร็ว

 

ถูกตาข่ายแดงลากเอาไว้อยู่ ความเร็วการลอยหนีของเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์จึงไม่ได้เร็วนัก หลินโจวไม่ถึงกับสูญเสียร่องรอยไป

 

เขารีบเร่งไล่ตามไปพลาง ไตร่ตรองด้วยความรวดเร็วไปพลาง ‘แต่ไหนแต่ไรไม่รู้เลยว่าแถบนี้ยังมีเศษชิ้นส่วนที่สองของดวงตาราชันสายฟ้าอยู่ ท้ายที่สุดแล้ว…’

 

‘ใช่แล้ว! อักษรพลังปราณที่การุณยบุรุษทิ้งเอาไว้บนโลง แท้จริงแล้วก็คือความหมายนี้เอง!’ หลินโจวตื่นตัวโดยฉับพลัน

 

‘เขาหาเศษชิ้นส่วนส่วนที่สองของดวงตาราชันสายฟ้าพบแล้ว แต่การจะปราบและหลอมแปรสภาพต้องใช้เวลา เขาเสียดายที่ตนเองมีชีวิตอยู่ไม่ถึงชั่วขณะนั้น!’

 

หลินโจวทอดถอนใจ ‘น่าเสียดายที่ทุกคนต่างก็ไม่ได้ตระหนักถึงจุดนี้ เพียงแต่ตอนเขาเสียดายที่ตนมีเพียงเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับต้องหลบๆ ซ่อนๆ ไปวันๆ ชั่วขณะหนึ่งก่อนจะสิ้นลมก็ล้วนไม่สามารถยืดขยายออกไปได้’

 

พอมองดูแสงสายฟ้าลอยหนี สายตาหลินโจวก็มีความลุ่มลึกและเงียบงันอยู่บ้าง ‘เรื่องนี้ก็นับว่าให้บทเรียนกับข้าเช่นกัน ข้ามีเพียงแต่ ‘ข้อมูลที่ข้ารู้’ ซึ่งไม่ใช่ข้อมูลทั้งหมด ต่อไปต้องสังเกตไตร่ตรองเบาะแสใดๆ ที่อาจจะมีประโยชน์อย่างละเอียดรอบคอบให้มากกว่านี้ แต่ก็ไม่ใช่หมกมุ่นอยู่กับข่าวสารที่รู้อยู่แล้ว จนถึงขั้นตนค่อยๆ เฉื่อยชาตายด้าน’

 

‘เพียงแต่ว่า เศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ส่วนที่สองนั่นต้องอยู่ในสภาวะหลบซ่อนโดยเก็บเสียงอยู่อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงทำให้ผู้คนไม่รู้สึก ต่อให้สุสานของการุณยบุรุษระเบิดอย่างสิ้นเชิงแล้ว ก็ยังคงไม่สามารถทำให้มันตื่นตกใจได้ เช่นนั้น บัดนี้สิ่งใดทำให้เศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ตื่นตกใจได้ เป็นเพราะความบังเอิญที่ข้านำเศษชิ้นส่วนชิ้นแรกออกมาก่อนกำหนดอย่างนั้นหรือ ’ แววตาหลินโจวเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือก ‘หรือว่าเป็นคนอื่น’

 

ชั่วขณะพริบตานี้ ภายในสมองของหลินโจวพลันประกายวาบเงาร่างของคนคนหนึ่ง

 

เงาร่างของคนคนหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่คุ้นเคยเล็กน้อย

 

‘ระเบิดค่ายกลสุสานทิ้งไป ถึงที่สุดแล้วก็ไม่สามารถปลิดชีพมันได้รึ มหาปรมาจารย์ล้วนยังไม่สามารถหนีออกมาได้ มันจะทำได้อย่างไร ปรมาจารย์สามารถขับเคลื่อนได้เพียงอาวุธจิตระดับล่างเท่านั้น แต่ในภัยพิบัติเช่นนั้น อาวุธจิตระดับล่างก็คุ้มกันมันไม่อยู่’

 

หัวคิ้วหลินโจวขมวดปมแน่น ‘เป็นไปดังคาด ทุกๆ เรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมายล้วนนำมาซึ่งปัจจัยที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ คนกวนน้ำในบ่อจนขุ่น…’

 

ซึ่งคือเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าที่อยู่ในสัมภาระของตนจู่ๆ ก็ไม่แน่นอนขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด

 

ครุ่นคิดถึงตรงนี้ ภายในใจของหลินโจวก็อึดอัดอยู่พักหนึ่ง ‘ถือว่าร้ายแรงจนถึงขั้นจริงๆ’

 

เขาพ่นลมหายใจออกมายาว แสงสายฟ้ามากมายไหลเวียนทั่วกายศีรษะจรดปลายเท้า

 

จอมยุทธ์สายตำหนักอัสนีสวรรค์ เดิมทีก็ถนัดในด้านความเร็วอยู่แล้ว การเคลื่อนไหวกายท่ามกลางการสืบทอดวิถีวรยุทธ์ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งใหญ่ทั้งหก ล้วนได้รับการยกย่องเป็นอย่างสูง

 

ชั่วขณะนี้หลินโจวเปิดการเคลื่อนไหวกายออก ทั้งร่างกายราวกับกลายร่างเป็นสายฟ้าแลบสายหนึ่ง เหินกายไล่ตามไปยังทิศที่เศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์หนีไปไกล

 

ส่วนบริเวณไกลออกไป ซึ่งพ้นออกจากสถานที่ที่อยู่ลึกเข้าไปใต้ปฐพีในขอบเขตของภูเขาหิมะพันผูกบูรพา แสงอันโชติช่วงสีแดงก่ำทลายชั้นหินไปมาด้วยความเร็วสูง

 

เยี่ยนจ้าวเกอกับอาหู่นั่งอยู่ภายในกระสวยเบิกดินแดน เร่งความเร็วกระสวยเบิกดินแดนลอดผ่านอย่างรวดเร็ว

 

ชั้นหินด้านหน้าถูกเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าที่หลีกหนีไปทลายออกเป็นทางสัญจรสายหนึ่ง กระสวยเบิกดินแดนจึงเดินหน้าด้วยความง่ายดายขึ้นมา

 

กระสวยเบิกดินแดนมุ่งขึ้นด้านบนตลอดเส้นทาง ต่อมาชั้นหินค่อยๆ ร่วน กลายสภาพเป็นโคลนตม จากนั้นเบื้องหน้าพลันปรากฏแสงสว่างอย่างฉับพลัน กลับพุ่งออกมากจากพื้นดิน

 

เยี่ยนจ้าวเกอหรี่ตามองไป ก็พบว่าเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้าเม็ดนั้นที่ตนไล่ตาม หยุดลอยอยู่กลางอากาศ ส่องแสงสายฟ้าวับวาบไล่หลัง

 

กลางท้องฟ้าทางทิศของภูเขาหิมะพันผูกบูรพาก็ส่งเสียงฟ้าร้องออกมา มองไกลออกไปก็พบแสงสายฟ้าอีกสายหนึ่งวาดข้ามท้องฟ้าด้วยความเร็ว พุ่งมาทางด้านนี้!

 

เยี่ยนจ้าวเกอเลิกคิ้วเล็กน้อย “เป็นเศษชิ้นส่วนเม็ดแรกนั่นที่อยู่ในห้องตั้งโลงศพของการุณยบุรุษ เม็ดที่สองใหญ่กว่าแกร่งกว่า ทะลวงท้องฟ้าถือกำเนิด ดึงดูดเม็ดแรกให้มารวมกันด้วยตัวของมันเอง”

 

อาหู่อ้าปากกว้างกล่าวด้วยความยินดี “เจ้าหลินโจวนั่นก็ได้รับเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์มาใหม่เช่นกัน ทว่าก็ยังไม่ทันได้หลอมแปรสภาพอุ่นบำรุง อีกทั้งตัวเขาก็ไม่ใช่มหาปรมาจารย์อีก จึงหยุดเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ไม่อยู่เสียนี่”

 

ชายหนุ่มใช้มือป้องตา มองไปยังแสงสายฟ้าที่ลอยมุ่งมาทางด้านนี้ สังเกตุเห็นว่าบนแสงสายฟ้ายังถูกคลุมเอาไว้ด้วยตาข่ายสีแดงอยู่

 

“ของสิ่งนี้ มองดูแล้วคล้ายกับว่าจะเป็นตาข่ายรังไหมโลหิต” เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวกระซิบกระซาบว่า “มิน่าล่ะเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์เม็ดนี้ถึงได้บินได้ช้าเช่นนี้”

 

พอเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองเม็ดพบกัน เสียงฟ้าร้องกลางท้องฟ้าก็ยิ่งอึกทึกอื้ออึง

 

เศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์เม็ดนี้ที่เยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่ไล่ตามมา เดิมทีลอยค้างอยู่กลางอากาศ

 

เวลานี้พอได้รับเสียงดัง ‘หึ่ง’ ก็เคลื่อนไหวขึ้นมาอีกครั้ง กลายรูปเป็นแสงสายฟ้าสีม่วง พุ่งเข้าไปภายในตาข่ายยักษ์สีแดง

 

เศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองเม็ด รวมตัวเข้าด้วยกัน ภายใต้การไหลเวียนของแสงสายฟ้า ก็พลันเริ่มหลอมรวมกัน!

 

ภายในตาข่ายยักษ์สีแดง เศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์รูปร่างเหมือนไข่มุกวิเศษสีม่วงทั้งสองเม็ด เม็ดหนึ่งใหญ่เม็ดเล็ก รวมจากสองเป็นหนึ่ง กลายเป็นไข่มุกทรงกลมที่มีขนาดใหญ่กว่ากำปั้นอยู่บ้าง

 

ไข่มุกเม็ดนี้ถูกแสงสายฟ้าสีม่วงเป็นกลุ่มๆ ห่อหุ้มเอาไว้ พลังทำลายล้างเป็นกลุ่มๆ ก่อเกิดขึ้นภายในนั้น งอกงาม สุกงอม เน่าเปื่อย สูญสลาย ในชั่วพริบตาเดียว วนเวียนซ้ำๆ เป็นพันเป็นหมื่นครั้ง!

 

ราวกับเป็นวิถีแห่งการเกิดและดับไปของโลก ความหมายแฝงที่ชั่วพริบตาเดียวก็เหมือนชั่วนิรันดร์พลันตลบอบอวลไปในฟ้าดินอย่างฉับพลัน

 

อาหู่สังเกตไข่มุกสายฟ้าด้วยความสงสัย “ในคำร่ำลือ เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ผ่านวินาศเคราะห์วิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ถึงได้แตกเป็นเสี่ยงๆ ขอรับ”

 

เยี่ยนจ้าวเกอไม่ได้พูดกล่าวใดๆ เพียงมองดูเศษชิ้นส่วนดวงตาราชันสายฟ้า ใจลอยเล็กน้อย

 

เขารู้อยู่แก่ใจดีว่าที่อาหู่กล่าวไม่ใช่เรื่องเล่าตำนานแต่อย่างใด ดวงตาราชันสายฟ้าเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ก่อนวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่จริงๆ

 

ในตอนนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็เคยได้ยินชื่อและฉายานามของมันเช่นกัน ถือเป็นหนึ่งในบรรดาอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่สุดยอดที่สุด

 

เยี่ยนจ้าวเกอถึงขั้นรู้ถึงความเป็นมาของดวงตาราชันสายฟ้า ซึ่งก็คือกลายสภาพมาจากดวงตาดวงหนึ่งของจักรพรรดิอัสนียอดฝีมือยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งที่เรียกขนานนามเช่นเดียวกับมหาราชาจอมมารเพลิง

 

น่าเสียดายที่หลังจากวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกลายเป็นอดีตไปแล้ว

 

เศษชิ้นส่วนเบื้องหน้ากลายรูปด้วยตัวของมันเอง รูปร่างคล้ายคลึงกับดวงตาราชันสายฟ้าในอดีต ด้วยสติปัญญาที่อาวุธศักดิ์สิทธิ์มีเป็นของตนเอง

 

ทว่าดวงตาราชันสายฟ้าแตกกระจายออกมา กลับมีเศษชิ้นส่วนมากกว่าสองชิ้นส่วน

 

เยี่ยนจ้าวเกอหลุดออกจากภวังค์ออกมา “ข่าวสารที่ได้รับมา เจ้าหลินโจวนั่นอยู่ในระดับปรมาจารย์ขั้นเคียงนภาระยะกลางแล้ว เป็นเพราะตาข่ายรังไหมโลหิต ความเร็วของเศษชิ้นส่วนอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในการลอยหนีจึงค่อยข้างช้า ความเร็วเช่นนี้ หากไม่มีผู้ใดขัดขวาง เขาต้องไล่ตามมาทันสิถึงจะถูก”

 

ชายหนุ่มองไปยังทิศทางของภูเขาหิมะพันผูกบูรพาที่ไกลสุดลูกหูลูกตา เห็นดังคาดว่าบนพื้นราบตรงตีนเขาหิมะมีเงาคนคนหนึ่งกำลังพุ่งมาทางนี้ด้วยความเร็วอย่างกับสายฟ้าแลบก็มิปาน

 

เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายก็เห็นเยี่ยนจ้าวเกอ อาหู่ และคนอื่นๆ แล้วเช่นกัน จึงชะลอความเร็วลงอย่างกะทันหัน

 

แสงฟ้าแลบกระจัดกระจายหายไปบ้าง เผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มหล่อเหลาสง่างาม ใบหน้าแน่วแน่ดุจน้ำ แววตาดุจสายฟ้า

 

พอเขาเห็นกระสวยเบิกดินแดนที่เยี่ยนจ้าวเกอและอาหู่อยู่ภายใน ก็ถอนใจครั้งหนึ่ง ‘ถึงแม้ว่าจะไม่รู้ว่าเหตุผลคืออะไร แต่น่าจะเป็นเพียงแค่ของล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่สามารถเดินทางด้วยจิตวิญญาณอยู่ใต้ปฐพีได้ ไม่ได้เพียบพร้อมด้วยพลังอันแข็งแกร่งยิ่งแต่อย่างใด และทั้งสองคนนี้ตบะก็ไม่ได้ถึงระดับมหาปรมาจารย์เช่นกัน’

 

เขาจ้องมองเยี่ยนจ้าวเกอ จิตใจเหม่อลอยเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง บุคคลเบื้องหน้าเห็นๆ กันอยู่ว่ารูปลักษณ์ภายนอก อากัปกิริยา หรือแม้กระทั่งอุปนิสัยล้วนแล้วแต่เหมือนเช่นที่ผ่านมา

 

ถ้าหากไม่ใช่ประสบการณ์พิเศษของตัวหลินโจวเอง ก็คงมองความพิเศษไม่ออกอย่างสิ้นเชิง

 

กระนั้นในตอนนี้เขากลับไม่สามารถนำเยี่ยนจ้าวเกอที่อยู่ตรงหน้า เทียบเคียงในความทรงจำของตนได้อย่างสิ้นเชิง

 

เยี่ยนจ้าวเกอก็กำลังสังเกตอีกฝ่ายศีรษะจรดปลายเท้าเช่นเดียวกัน

 

ภายในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาเคยพบหลินโจว คุณชายฟ้าคำรนในการประชุมฝ่านภาเมื่อสามปีก่อน แต่เขากลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงไปมาก

 

ซึ่งห่างไกลจากความเปลี่ยนแปลงที่ก่อเกิดขึ้นได้ภายในระยะเวลาสามปีนัก

 

………………..