เล่ม 7 เล่มที่ 7 ตอนที่ 195 ความลับและการมอบของขวัญชิ้นใหญ่

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

ซูจิ่นซีถือเข็มเงินในมือ นางรีบฝังเข็มเข้าไปที่จุดฝังเข็มสำคัญหลายจุดบนศีรษะของฮั่วซื่อ

         “หมอสวี่ คอยดูฮั่วซื่อไว้ให้ดี หากนางตายก่อนที่ข้าจะกลับมา เจ้าก็อย่าได้มีชีวิตรอด”

        หมอสวี่เหงื่อไหลท่วมตัว รีบวิ่งไปด้านหน้าซูจิ่นซี

         “พ่ะย่ะค่ะ พระชายา”

        จากนั้นเขาก็สั่งให้คนมามัดฮั่วซื่อไว้

         “อวี้เอ๋อร์ ไปหอโอสถสกุลซูกับข้า”

        ซูจิ่นซีดึงตัวซูอวี้ออกไปจากศาลพิจารณาคดี พวกเขาขึ้นรถม้าและตรงไปที่จวนสกุลซูอย่างรวดเร็ว

        ระหว่างทางทั้งสองคนไม่พูดอันใดเลย

        ร่างกายซูอวี้อ่อนแอ อีกทั้งวันนี้ยังเกิดเรื่องราวมากมายทำให้เขาตกใจไม่น้อย

        ซูจิ่นซีคำนวณดูว่ายังเหลือเวลาอีกเท่าไรก่อนจะครบสองชั่วยาม เมื่อถึงจวนสกุลซูแล้วต้องทำอย่างไรจึงจะนำเห็ดหลินจือแดงออกมาได้รวดเร็วที่สุด

        คนของจวนสกุลซูเห็นซูจิ่นซีกับซูอวี้กลับมา จึงรีบเปิดประตู

        ทั้งสองมุ่งตรงไปที่หอโอสถทันที

        เนื่องจากหอโอสถสร้างขึ้นอย่างหนาแน่นมั่นคง อีกทั้งประตูและกลอนประตูยังทำด้วยเหล็กนิล คนทั่วไปหากไม่มีกุญแจ ย่อมไม่มีทางเปิดประตูเข้าไปได้ ดังนั้นด้านนอกประตูจึงไม่มีใครเฝ้า

         “พี่จิ่นซี หากไม่มีกุญแจ พวกเราก็เปิดประตูบานนี้ไม่ได้” ซูอวี้เป็นกังวลเล็กน้อย

         “เจ้าหลบไปข้างหลังหน่อย” ซูจิ่นซีพูดด้วยท่าทีจริงจัง

        ซูอวี้เชื่อฟังเป็นอย่างดี เขาถอยออกไปยืนด้านหลังซูจิ่นซี

        ซูจิ่นซีซ่อนมือไว้ด้านหน้า นางพลิกฝ่ามือ ทันใดนั้นก็มีขวดน้ำยาสีดำปรากฏขึ้นในมือหนึ่งขวด

        ซูจิ่นซีมองไปข้างหน้าและเทน้ำยาในขวดลงบนกลอนประตู

        ซูอวี้ไม่คาดคิดว่า หลังจากเทน้ำยาในขวดลงบนกลอนประตูเหล็กนิลแล้วจะเกิดฟองอากาศสีขาวปะทุขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว มีเสียงปะทุ “ปุดปุด” โซ่คล้องประตูที่ทำจากเหล็กนิลพลันขาดออกจากกันและตกลงบนพื้น

         “มาทางนี้! ” ซูจิ่นซียื่นมือไปหาซูอวี้

        ซูอวี้ยืนตะลึงอยู่กับที่ ดวงตาเต็มไปด้วยความพิศวง ผ่านไปครู่หนึ่งถึงจะก้าวเท้าไปหาซูจิ่นซี เขาใช้มือซ้ายเกาะแขนซูจิ่นซีไว้

        ซูจิ่นซียิ้มมุมปากให้ซูอวี้เล็กน้อย นางหันหลังผลักประตูบานใหญ่ที่หนักอึ้ง พลางยื่นมือมาจูงซูอวี้ให้เดินเข้าไปข้างใน

        เป็นเพราะเวลานี้ดึกมากแล้ว ภายในหอโอสถจึงมืดสลัวและเงียบสงัด ทว่ารูปร่างอรชรงดงามที่สอดรับกับแสงจันทร์ ในสายตาของซูอวี้นั้นคือความสว่างสดใส สว่างดั่งดวงจันทร์บนท้องฟ้า

        แท้จริงแล้ว แม้เวลาจะผ่านไปหลายปี จนเด็กน้อยที่อยู่ตรงนี้ได้เติบใหญ่กลายเป็นเด็กหนุ่มที่มีหน้าตาหล่อเหลา มีไหวพริบเฉลียวฉลาด เขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของการแพทย์ ทว่าซูจิ่นซียังคงไม่รู้ว่า ณ เวลานี้ นางได้ตราตรึงเข้าไปในจิตใจของเด็กน้อยผู้นี้อย่างลึกซึ้ง เป็นเหมือนชาดสีแดงที่ไม่มีวันลบเลือนไปตลอดกาล

        หอโอสถสกุลซูมีทั้งหมดสามชั้น

        ชั้นที่หนึ่งเต็มไปด้วยยาสมุนไพรทั่วไปที่จัดวางไว้อย่างเนืองแน่น ทั้งยังมีคัมภีร์วิชาการแพทย์ ไม่จำเป็นต้องดูอันใดให้มากนัก

        สิ่งของล้ำค่าที่สุดล้วนอยู่ที่ชั้นสาม

        ดังนั้นซูจิ่นซีจึงจูงมือซูอวี้มุ่งตรงไปชั้นที่สาม

         “พวกเราแยกกันไปหา” ซูจิ่นซีพูดขึ้น

        ซูอวี้ไปหาทางทิศตะวันตก ส่วนซูจิ่นซีไปหาทางทิศตะวันออก

        ซูจิ่นซีค้นหาอย่างละเอียดทั้งบนชั้นเก็บยาและช่องเก็บยา ขณะที่กำลังเงยหน้าขึ้นมอง นางก็เห็นรูปภาพเจ็ดรูปบนผนังทางทิศตะวันออก

        ทันใดนั้นซูจิ่นซีก็คิดขึ้นได้ว่า ซูจ้งเคยพูดกับนางตอนที่อยู่ในคุกก่อนจะมาที่นี่

        บนผนังชั้นบนสุดทางทิศตะวันออกของหอโอสถสกุลซูมีรูปภาพอยู่เจ็ดรูป ใต้รูปภาพที่สามนับจากทางซ้ายมือมีช่องลับอยู่ช่องหนึ่ง ด้านในนั้นมีสิ่งของที่เจ้าอาจสนใจ หลังเรื่องทั้งหมดเสร็จสิ้น เจ้าจงนำของสิ่งนั้นมาพบกับข้า ข้าจะบอกเจ้า ในทุกเรื่องที่เจ้าต้องการรู้

        ซูจิ่นซีเดินตรงไปฉีกภาพรูปที่สาม นางมองเห็นบนผนังมีปุ่มยื่นออกมา เมื่อกดปุ่มนั้นผนังก็ยุบตัวลงไปเป็นแผ่นใหญ่ จากนั้นก็ปรากฏช่องเก็บของช่องหนึ่ง

        ในนั้นมีของวางอยู่สามสิ่ง ชิ้นแรกเป็นพิณที่มีรูปร่างประหลาด ชิ้นที่สองคือก้อนหยก และชิ้นที่สามคือแผ่นหยก

        ชิ้นที่สะดุดตาซูจิ่นซีเป็นอย่างแรกก็คือก้อนหยก เพราะบนก้อนหยกแกะสลักด้วยรูปกิเลนเหมือนกับก้อนที่หล่นลงมาจากตัวของเยี่ยโยวเหยาขณะอยู่ที่เรือนชิงโยว

        ซูจิ่นซีสังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็วถึงจุดที่แตกต่างกันของก้อนหยกทั้งสองชิ้น

        หากซูจิ่นซีจำไม่ผิด ด้านหลังของก้อนหยกชิ้นนั้นแกะสลักตัวอักษร “หยิน” ตัวเล็กๆ ทว่าด้านหลังก้อนหยกชิ้นนี้แกะสลักตัวอักษร “หยาง”

        ก้อนหยกทั้งสองคงเป็นคู่กัน แยกเป็นหยินกับหยาง

        หลังจากตื่นขึ้นมาจากเหตุการณ์ที่ซูจิ่นซีเห็นดอกปี่อั้นลอยออกมาจากหยกกิเลนหยิน และลอยเข้าสู่ร่างกายนางจนสลบไปเมื่อตอนที่อยู่เรือนชิงโยวครั้งก่อน จากนั้นซูจิ่นซีก็ไม่เคยเห็นหินหยกก้อนนี้อีกเลย และนางก็ไม่ได้สอบถามอันใดกับเยี่ยโยวเหยา

        คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้พบกับก้อนหยกกิเลนหยาง

        ซูจิ่นซีหยิบแผ่นหยกขึ้นมาดู

        แผ่นหยกนี้ไม่มีอันใดพิเศษ ด้านบนมีตัวอักษรเขียนคำว่า “จง” เท่านั้น

        จง?

        หมายความว่าอย่างไร?

        ซูจิ่นซีทะลุมิติมา นางไม่ค่อยรู้เรื่องราวในโลกยุคนี้เท่าใด เดิมทีเจ้าของร่างนี้ก็เป็นเด็กที่ไม่ฉลาดนัก ซูจิ่นซีจึงไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวอันใด

        ตัวอักษรคำว่า จง หมายความว่าอย่างไรกันแน่ ต่อไปนี้นางคงต้องค่อยๆ สืบดู

        ซูจิ่นซียังตรวจสอบพิณที่มีรูปร่างประหลาดมากคันนั้น บนพิณไม่ได้แกะสลักตัวอักษรใด มีเพียงด้านล่างของพิณที่แกะสลักรูปหงส์หนึ่งตัว

        “พิณหงส์”

        จู่ๆ เสียงของซูอวี้ก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง

        “เจ้ารู้จักพิณคันนี้หรือ? ”

         “ไม่รู้จักเท่าใดนัก” ซูอวี้ส่ายศีรษะ “เพียงก่อนหน้านี้ ข้าเห็นบันทึกเกี่ยวกับพิณคันนี้ในหนังสือ ด้านในมีการวาดภาพลักษณะของพิณ และกำหนดชื่อเรียกว่าพิณหงส์ ทว่าไม่ได้บันทึกรายละเอียด”

        ก่อนหน้านี้ซูจ้งเคยพูดไว้ว่า สิ่งของที่อยู่ในช่องลับนี้ ซูจิ่นซีต้องสนใจอย่างแน่นอน นอกจากนั้นหากนางได้สิ่งของเหล่านี้แล้ว เขาจะบอกนางเกี่ยวกับเรื่องของท่านแม่

        ทว่าซูจ้งได้เสียชีวิตแล้ว อีกทั้งในจำนวนสิ่งของเหล่านี้ นอกจากหินหยกกิเลนแล้ว ซูจิ่นซีไม่รู้ที่มาที่ไปของสิ่งของที่เหลือ หากนางต้องการรู้ความลับของท่านแม่ และต้องการรู้ภูมิหลังของตนเอง นางจำเป็นต้องใช้เวลาตรวจสอบ

        ซูจ้งบอกว่าเขาไม่ใช่บิดาที่แท้จริงของนาง ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้วใครคือมารดาที่แท้จริงของนาง?

        ทว่าเวลางวดเข้ามาทุกที ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาครุ่นคิดเรื่องอื่น

         “พบเห็ดหลินจือแดงแล้วหรือ? ”

        ซูจิ่นซีเหลือบไปเห็นหีบที่อยู่ในมือซูอวี้ นางจึงสอบถาม

         “หาพบแล้ว”

        ซูจิ่นซีเก็บหยกกิเลนหยินกับแผ่นหยกไว้ในอกเสื้อและใช้ผ้าห่อพิณหงส์สะพายไว้ข้างหลัง

         “ไป! ”

        ซูจิ่นซีพาซูอวี้ลงมาจากชั้นบนหอโอสถ

        เรื่องสำคัญที่สุดในเวลานี้คือการช่วยชีวิตอนุปี้ที่กำลังนอนรอความตาย

        รถม้าขับออกไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานก็กลับมาถึงศาลพิจารณาคดีกรมอาญา

        ซูจิ่นซีออกคำสั่งกับหมอสวี่ นางไม่ต้องการให้ฮั่วซื่อตาย ฉะนั้นหมอสวี่ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรั้งชีวิตของฮั่วซื่อไว้ให้ได้

        ซูจิ่นซีหยิบเห็ดหลินจือแดงออกมาและยื่นให้ฮั่วซื่อดูต่อหน้า

        ฮั่วซื่อเบิกตาทั้งสองข้างอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น “ไม่… เป็นไปไม่ได้ ซูจิ่นซีไม่มีกุญแจ เจ้าเข้าไปในหอโอสถสกุลซูได้อย่างไร? ”

         “ประตูผุพัง คิดจะขวางข้าได้หรือ? ก่อนหน้านี้สาเหตุที่ข้าไม่เข้าไปเพราะข้ายังไม่สามารถเข้าไปได้อย่างสง่าผ่าเผย ทว่าตอนนี้อวี้เอ๋อร์ได้รับสืบทอดกิจการสกุลซูแล้ว ไม่ว่าจะใช้วิธีใดในการเปิดประตู ข้ากับอวี้เอ๋อร์ก็เข้าไปข้างในและหยิบสิ่งของออกมาอย่างถูกหลักทำนองคลองธรรม”

        ฮั่วซื่อแทบจะสิ้นหวัง

        ซูจิ่นซีมอบเห็ดหลินจือแดงให้กับซูอวี้ “นำไปมอบให้กับหมอหลวงอวิ๋น”

        ซูอวี้รับเห็ดหลินจือแดงและเดินไปอย่างว่องไว

         “ทูลพระชายา ข้าน้อยคุมตัวฮั่วซื่อสองแม่ลูกไปห้องขังดีหรือไม่? ” รองเจ้ากรมหลี่ถามขึ้น

        ในเหตุการณ์นี้ซูจวิ้นลงมือฆ่าคน ยากที่จะปฏิเสธ เขาต้องเข้าคุกและได้รับโทษประหาร

        แม้ฮั่วซื่อจะมีความผิดฐานจ้างวานฆ่า ทว่าอนุปี้กับซูอวี้ไม่ได้เสียชีวิต อย่างมากที่สุดที่กรมอาญาสามารถตัดสินได้คือความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนา

        นอกจากนั้นกุญแจที่ติดอยู่ในลำคอของฮั่วซื่อ หมอหลวงจากสำนักหมอหลวงที่มีวิชาการแพทย์ค่อนข้างดีได้ดึงออกมาแล้ว ด้วยอิทธิพลของจวนจงอู่โหวที่ฮั่วซื่อคอยพึ่งพิงนั้น หากคิดจะนำตัวนางออกจากคุกแห่งนี้คงไม่ง่ายหรอกกระมัง?

        ถึงเวลาเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอีกครั้ง

         “เหตุใดต้องรีบร้อน? ฮั่วซื่อใจคอโหดเหี้ยม คุมตัวนางเข้าห้องขังไปง่ายๆ เช่นนี้ จะใจดีกับนางเกินไปหรือไม่? ข้ายังมีของขวัญชิ้นใหญ่มอบให้นาง! ”

         “ของขวัญชิ้นใหญ่? ”

         “ของขวัญชิ้นใหญ่อันใด? ”

        ซูจิ่นซีหันหลังไปมองมือสังหารทั้งสองคนที่ฮั่วซื่อเคยจ้างวาน