เล่ม 7 เล่มที่ 7 ตอนที่ 196 สามวันสามคืน

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

องครักษ์คลำบริเวณใบหูอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็สามารถดึงหน้ากากหนังมนุษย์ออกจากใบหน้าของพวกเขาได้

         “โอ้… เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้? ” คนผู้หนึ่งร้องตะโกนออกมาด้วยความตกใจ

        ฮั่วซื่อเบิกตาโพลงด้วยท่าทีตื่นตกใจจนไม่สามารถตกใจไปมากกว่านี้ได้แล้ว

         “ถูกต้อง! ” ซูจิ่นซีพูดขึ้น “พวกเขาไม่ใช่มือสังหารตัวจริง ทว่าเป็นคนที่ข้าแปลงโฉมจัดฉากมา ฮั่วซื่อ เจ้ามันกินปูนร้อนท้อง หากเจ้านิ่งมากกว่านี้ ละเอียดรอบคอบมากกว่านี้ ยังมีโอกาสพบพิรุธจากพวกเขาได้”

         “ซูจิ่นซี เจ้า… เจ้าต่ำช้ายิ่งนัก”

         “ชมกันเกินไปแล้ว เทียบกับเจ้า ข้ายังห่างชั้นกับเจ้ามากนักกระมัง? หากไม่ทำเช่นนี้ ข้าจะง้างความจริงออกจากปากเจ้าได้อย่างไร? ”

        ถูกต้อง มือสังหารตัวจริงตายไปแล้ว บนโลกนี้จะมีวิธีชุบชีวิตได้อย่างไร?

        ทว่าซูจิ่นซีได้ตั้งข้อสมมติฐานของตนเอง นางจึงจัดฉากแปลงโฉมมือสังหารสองคน คิดไม่ถึงว่าฮั่วซื่อจะเป็นวัวสันหลังหวะ [1] เมื่อทำให้นางตกใจ นางจึงยอมคายความจริงออกมาทั้งหมด

        ฮั่วซื่อคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าครั้งนี้ตนได้หลงกลซูจิ่นซี

        เพราะนางประมาทเกินไปจึงหลงกลแผนการที่ซูจิ่นซีวางไว้ เปิดเผยความลับของตนไม่พอ ยังทำร้ายบุตรชายของตนอีก

        ฮั่วซื่อโมโหเป็นอย่างมาก นางเดือดดาลจนกระอักเลือดกองโต ไม่นานนักดวงตาทั้งสองก็เบิกค้างและล้มตึงลงไปกองกับพื้น

        หลังจากที่รองเจ้ากรมหลี่เข้ามาตรวจสอบลมหายใจของฮั่วซื่อ เขาก็พูดว่า “ทูลพระชายา นางเสียชีวิตแล้ว”

         “ในเมื่อเสียชีวิตแล้วก็ไม่จำเป็นต้องนำไปขังอีก นำศพของนางมอบให้คนของสกุลซูเถิด! ถึงเวลานั้นก็ทำพิธีส่งศพไปพร้อมกับท่านพ่อ” สีหน้าซูจิ่นซีเรียบเฉยเป็นอย่างมาก

        พ่อบ้านรีบช่วยคนสกุลซูนำศพของซูจ้งกับฮั่วซื่อกลับไปที่จวน

        ซูจวิ้นถูกคนในกรมอาญาคุมตัวไปไว้ในห้องขังที่มีการเฝ้าอย่างแน่นหนา แม้ก่อนที่จะถูกคุมตัวไปซูจวิ้นได้สบถด่าซูจิ่นซีไปหลายประโยค ทว่าซูจิ่นซีกลับแสดงท่าทางราวกับไม่ได้ยินอันใด

        คนที่กำลังใกล้ตาย ไม่มีความจำเป็นต้องไปเถียงให้มากความ

        เมื่อมีเห็ดหลินจือแดง อาการบาดเจ็บของอนุปี้ก็สามารถรักษาให้หายได้อย่างราบรื่น

        หลังจากที่ทุกคนต่างแยกย้ายออกจากกรมอาญา ตอนที่ซูจิ่นซีพาอนุปี้ที่บาดเจ็บสาหัสกับซูอวี้กลับไปที่จวน ฟ้าก็สว่างแล้ว

        ซูจ้งและฮั่วซื่อทั้งสองคนเสียชีวิตแล้ว ภายในจวนคงสับสนวุ่นวายกันยกใหญ่ ยังมีงานศพของซูจ้งกับฮั่วซื่อซึ่งเรื่องพวกนี้จำเป็นต้องให้อนุปี้เป็นคนจัดการ ทว่าอนุปี้กับซูอวี้ทั้งสองต่างบาดเจ็บสาหัส ไม่มีทางจัดการดูแลได้ ซูจิ่นซีจึงสั่งให้แม่นมฮวากับพ่อบ้านดูแลเรื่องต่างๆ ในจวนซูไปพลางๆ ก่อน

        หลายวันมานี้เพื่อจัดการเรื่องของสกุลซู ซูจิ่นซีจึงมีสภาพจิตใจตึงเครียด ตอนนี้เรื่องราวนับว่าผ่านไปได้ด้วยดี นางเพิ่งจะรู้สึกว่าตนเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมาก เหนื่อยมาก เหนื่อยมากๆ

        แม้แต่จวนโยวอ๋องยังไม่ได้กลับไป นางพักอยู่ที่เรือนฮั่นเซียงเป็นการชั่วคราวมาได้ระยะหนึ่งแล้ว

        ครั้งนี้ซูจิ่นซีนอนพักเหนื่อยเกือบทั้งวัน นางนอนหลับจนถึงช่วงหัวค่ำ

        ลวี่หลีพบว่าซูจิ่นซียังไม่ตื่นนอน จึงไม่กล้าเข้าไปรบกวน ทำได้เพียงนั่งคอยอยู่นอกห้อง

        ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ลวี่หลีนั่งไปนั่งมาก็งีบหลับ

        ร่างขาวนวลดั่่งหิมะราวกับเทพเซียนจากสรวงสวรรค์ ร่อนลงมาจากฟากฟ้าและหายเข้าไปในเรือนฮั่นเซียง

        ร่างนั้นหล่อเหลางดงาม ร่างเงาบริสุทธิ์ผุดผ่อง ท่วงท่าสง่างามเหมือนมิใช่มนุษย์ในโลกนี้ ที่แท้ก็คือจิ่วหรง ผู้ที่พ่อบ้านตามหาทั่วทั้งเมืองตี้จิงเพื่อให้มาช่วยชีวิตอนุปี้ ทว่ากลับตามหาไม่พบ

        จิ่วหรงผลักประตูห้องของซูจิ่นซี เขาไม่สนใจลวี่หลีที่นอนสัปหงกอยู่บนโต๊ะ ทำเพียงเดินอ้อมเข้าไปภายในห้องนอนของซูจิ่นซี

        ท่านอนของซูจิ่นซีเป็นสิ่งที่ไม่กล้าเอ่ยปากชมเชยจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สภาพที่เหน็ดเหนื่อยอย่างแสนสาหัส

        โชคดีที่ตอนนี้เป็นช่วงฤดูเซินชิว [2] เวลาที่ซูจิ่นซีนอนจึงไม่ทำเหมือนกับในช่วงฤดูร้อนที่ถอดเสื้อผ้าออกจนเกือบหมด หากเป็นเช่นนั้น เมื่ออยู่ต่อหน้าแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างจิ่วหรง คงต้องอล่างฉ่างเป็นแน่แท้

        จิ่วหรงยืนอยู่หน้าประตู เขามองดูซูจิ่นซีครู่ใหญ่ จากนั้นก็เดินเข้าไปข้างเตียงของซูจิ่นซี ห่มผ้าให้กับนาง มุมปากเผยรอยยิ้มรักและเอ็นดู

         “เด็กโง่”

         “ท่านอ๋อง… ท่านอ๋อง… ท่านอ๋องรอข้าด้วยเจ้าค่ะ… ท่านอ๋อง… ”

        ภายในภาพฝันของซูจิ่นซี ไม่ทราบว่านางกำลังฝันเห็นสิ่งใดจึงร้องเรียกเยี่ยโยวเหยาไม่ขาดเสียง

        รอยยิ้มที่มุมปากของจิ่วหรงพลันหายไป เขานั่งอยู่ข้างเตียงของซูจิ่นซีด้วยสีหน้าครุ่นคิดลึกซึ้ง

        หลังจากนั้นชั่วครู่ ซูจิ่นซีก็ขมวดคิ้วราวกับใกล้จะตื่นนอน

        ใบหน้าของจิ่วหรงสงบนิ่ง เขายกมือขึ้น สิ่งที่ไร้สสารวัตถุสีขาวนวลพลันกระจายในอากาศ ซูจิ่นซีกลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง นางเม้มริมฝีปากและนอนหลับอย่างสงบ

         “เด็กโง่! ”

        จิ่วหรงเรียกซูจิ่นซีอย่างแผ่วเบาอีกครั้งหนึ่ง เขาใช้มือแตะไปที่แก้มของซูจิ่นซีอย่างอ่อนโยน

        ใบหน้าของเขาปรากฏอารมณ์ลึกซึ้งอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

        ค่ำคืนนี้ ลวี่หลีที่คอยเฝ้าอยู่ด้านนอกนอนหลับสนิท ไม่รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวใดๆ ภายในเรือนฮั่นเซียง และไม่มีใครเข้ามารบกวน

        จิ่วหรงนั่งอยู่ภายในห้องของซูจิ่นซี เขาอยู่เป็นเพื่อนซูจิ่นซีทั้งคืน และนั่งมองใบหน้าซูจิ่นซีทั้งคืนเช่นกัน จนฟ้าสางจึงค่อยจากไป

        เขามาอย่างไร้ร่องรอย จากไปอย่างไร้ร่องรอย

        ราวกับเทพเซียนจริงๆ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้

        ลวี่หลีตื่นขึ้นหลังจิ่วหรงจากไปได้ไม่นานนัก ทว่าซูจิ่นซีกลับนอนหลับไปสามวันสามคืนเพราะสิ่งไร้สสารวัตถุสีขาวนวลที่จิ่วหรงโปรยกระจายอยู่ในอากาศ

        เช้าตรู่ของวันที่สาม ซูจิ่นซีค่อยๆ ลืมตาขึ้น พลันได้ยินเสียงร่ำไห้ของลวี่หลี

         “ฟื้นแล้ว พระชายาฟื้นแล้ว” แม่นมฮวาส่งเสียงออกมาด้วยความตื่นเต้น

         “ลวี่หลี เจ้าร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียงดัง เอะอะจนข้าตื่น” ซูจิ่นซีพูดออกไปด้วยความไม่สบอารมณ์

         “คุณหนู ท่านไม่รู้ ท่านนอนหลับไปสามวันสามคืนเต็มๆ บ่าวตกใจจนเสียขวัญ บ่าวคิดว่าคุณหนูป่วยเป็นโรคอันใด”

         “ปากไม่เป็นมงคล”

        แม่นมฮวาจิ้มศีรษะลวี่หลีอย่างแรง

         “ข้าพูดผิดที่ใด อาการนอนหลับไม่ขยับเขยื้อนของคุณหนูแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ร่างกายคุณหนูต้องมีปัญหาแน่นอน”

         “ข้านอนหลับไปสามวันสามคืนเลยหรือ”

        ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว รู้สึกแปลกใจ

        นางไม่รู้สึกว่าระบบถอนพิษเพิ่มระดับ และนางก็ไม่ได้เข้าไปแดนสวรรค์ในสร้อยข้อมือ!

        เหตุใดถึงนอนหลับนานเพียงนี้?

         “ใช่เจ้าคะ! คุณหนู ท่านเป็นอันใดไป? แม้แต่หมอหลวงอวิ๋นยังตรวจไม่พบว่าเกิดอันใดขึ้น”

        ซูจิ่นซีเพิ่งเห็นว่าภายในห้องยังมีอวิ๋นจิ่นอีกคน

        อวิ๋นจิ่นเห็นซูจิ่นซีมองมาทางเขา ใบหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มอ่อนโยน

         “พระชายา กระหม่อมได้ตรวจสอบเพื่อยืนยันหลายต่อหลายครั้ง ร่างกายของท่านไม่เป็นอันใด อาจเกิดจากสาเหตุที่หลายวันมานี้ท่านเหน็ดเหนื่อยมากเกินไป ฉะนั้นจึงนอนหลับนานกว่าปกติ”

         “เป็นไปไม่ได้? หากเกิดจากสาเหตุเหนื่อยมากเกินไปจึงนอนหลับนานกว่าปกติจริง แล้วเหตุใดข้าน้อยเรียกตั้งนาน คุณหนูก็ไม่ตื่นขึ้นมา? เห็นได้ชัดว่าคุณหนูหมดสติไป! ”

        ลวี่หลียังคงยืนกรานกระต่ายขาเดียว

        “เรื่องนี้… ”

        อวิ๋นจิ่นมีท่าทีเหมือนไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นจริงๆ ใบหน้าเผยให้เห็นถึงความสับสน

         “อุบ! ” ซูจิ่นซียิ้ม นางใช้นิ้วจิ้มไปที่หน้าผากของลวี่หลีและพูดว่า “ดูท่าแล้ว ต่อไปนี้หากข้าเจ็บป่วยอันใดคงไม่ต้องไปตามหมอหลวงอวิ๋นแล้วล่ะ ตามหาเจ้าก็พอ”

         “คุณหนู ในที่สุดท่านก็ยิ้มได้” ลวี่หลีทำท่าทีเหมือนกับเห็นเรื่องที่ประหลาดใจที่สุด

        ซูจิ่นซีขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

         “คุณหนู ท่านไม่รู้ ช่วงเวลาที่ท่านอ๋องไม่อยู่ ลวี่หลีรู้สึกว่าคุณหนูจัดการเรื่องราวตั้งมากมายเพียงลำพัง ไม่เหมือนเป็นตัวคุณหนูเองเลยเจ้าค่ะ” ลวี่หลีพูดแกมบ่น ดูเหมือนจะเลียบเคียงตำหนิเยี่ยโยวเหยา

         “ไม่เหมือนเป็นตัวข้าเอง แล้วเหมือนอันใด? ”

        ลวี่หลีลังเลอยู่เล็กน้อย ทว่ายังคงพูดออกมาจากใจของนางว่า “คุณหนู หลายวันที่ผ่านมาท่านดุดันมากจนบางครั้งลวี่หลีเองยังรู้สึกหวาดกลัว”

        ซูจิ่นซี ‘อมยิ้ม’ จนหัวเราะออกมา

        “ข้าไม่ใช่แม่เสือที่คิดจะกินเจ้า เจ้ากลัวอันใด”

        ขณะที่กำลังพูด ด้านนอกก็มีเสียงพ่อบ้านสอบถามคนรับใช้ว่าซูจิ่นซีฟื้นแล้วหรือยัง

        เหมือนกับว่าแม่นมฮวาจะคิดบางอย่างขึ้นมาได้ นางเคาะไปที่ศีรษะตนเองและพูดว่า “ไอ๊หยา บ่าวลืมไปเสียสนิท ทูลพระชายา ไท่จื่อกับแม่ทัพฮั่วมาขอพบท่านเพคะ พวกเขามารอพบท่านตั้งแต่เมื่อวานแล้วเพคะ!”

        เยี่ยเซินกับฮั่วซืออวี่หรือ?

        พวกเขามาทำอันใด?

        ……

เชิงอรรถ

[1] วัวสันหลังหวะ ‘จั้วเจ๋ยซินสวี’ หมายถึง คนที่ทำผิดแล้วคอยระแวงกลัวผู้อื่นจะรู้

[2] ฤดูเซินชิว กลางเดือนตุลาคมถึงปลายเดือนพฤศจิกายนจะเรียกว่าปลายฤดูใบไม้ร่วง มีใบไม้ร่วงและอุณหภูมิเฉลี่ยลดลงเหลือประมาณ 10 องศา