บทที่ 9 แฟนเก่าของซูเย่
“ดีขึ้นแล้วแน่นะ งั้นก็ดีแล้ว”
คุณแม่ซูถอนหายใจ
หลังจากวางสาย ผู้เป็นแม่ก็ตบไหล่ของซูเย่อย่างดีใจด้วยใบหน้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยความภาคภูมิใจ “สมแล้วที่เป็นลูกแม่ เรียนอะไรก็เก่ง”
“ก็ไม่ใช่เพราะได้ดีเอ็นเอของผมเหรอ?”
คุณพ่อซูที่ยืนอยู่ข้างเอ่ย
“ยุ่งอะไรด้วย”
แม่ซูกลอกตามองบนใส่
ส่วนซูเย่มองตาคุณพ่อซูแล้วอมยิ้ม
น้าเล็กที่กำลังสนใจผลการรักษา หันไปเอ็ดลูกของเธออีกครั้ง
“ลูกทั้งคู่เห็นแล้วหรือยัง หลานคนเล็กของพวกลูกน่ะโรงพยาบาลยังบอกว่าต้องทำการผ่าตัดเลย แต่สุดท้ายลูกพี่ลูกน้องของลูกกลับรักษาหายภายในครึ่งชั่วโมง!”
“ดูสิว่าลูกพี่ลูกน้องของหนูเก่งแค่ไหน จากนี้ไปเรียนรู้จากลูกพี่ลูกน้องของหนูให้มาก เข้าใจใช่ไหม”
เด็กสองคนยืนมองอย่างโง่งม ลูกพี่ลูกน้องของเขาเก่งขนาดนี้เลยเหรอ? โรคหัวใจยังรักษาหายได้ แล้วต่อไปจะทำให้ดีได้กว่าเขาได้ยังไง! พวกเขาได้แต่แอบเก็บงำความแค้นเล็กๆ ไว้ในใจ หวังว่าเมื่อโตขึ้นจะต้องเก่งกว่าลูกพี่ลูกน้องคนนี้ให้ได้..
ในตอนเย็น ญาติๆ รวมตัวกันอีกครั้งเพื่อรับประทานอาหารค่ำเพื่อเฉลิมฉลองการเกิดใหม่ของเสี่ยวหลานหลาน พวกเขายังขอบคุณซูเย่สำหรับการรักษา ทำให้ในระหว่างอาหารค่ำซูเย่ได้รับคำชมไม่หยุด
ในช่วงสามวันต่อมา ภายใต้ข่าวจากลูกพี่ลูกน้องคนโตและคุณลุงคุณป้าของซูเย่ ญาติๆ ทุกคนต่างก็รู้มาว่าซูเย่เก่งกาจแค่ไหน และทุกคนก็เรียกซูเย่ว่าเป็น ‘หมอเทวดาน้อย’ ชมกันไม่ขาดปาก
คุณแม่ซูไม่อาจวางมือจากการรับสายโทรศัพท์ที่บ้านได้เลย และทุกสายต่างก็ล้วนแล้วแต่เป็นญาติๆ ที่โทรมาชื่นชมและถามว่ารักษาได้อย่างไร ทำให้คุณแม่ซูรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมาก ว่าลูกชายไม่ได้เลี้ยงมาเสียเปล่า!
หกโมงเช้า ซูเย่ขึ้นขึ้นมาด้วยเสียงโทรศัพท์ เมื่อหยิบออกมาดู ก็เป็นชื่อที่ทั้งคุ้นเคยและห่างไกล
โจวจวิ้นถิง เพื่อนร่วมชั้นสมัยมัธยมต้น
แม้ว่าชายหนุ่มจะไปเรียนมัธยมต้นและมัธยมปลายเพียงสี่ปีเพราะสอบเลื่อนชั้นเร็ว แต่มัธยมต้นและมัธยมปลายเขาเรียนที่โรงเรียนเดิมจึงรู้จักกันเป็นเวลาสี่ปี ความสัมพันธ์ของพวกเข้าเลยถือว่าไม่เลว
“เย่จื่อ ปิดเทอมกลับบ้านหรือเปล่า?”
เมื่อรับสาย เสียงที่คุ้นเคยก็ดังมาจากปลายสาย
“กลับมาได้สองสามวันแล้ว”
ซูเย่ยิ้มพลางเอ่ยตอบ
“กลับมาไม่คิดจะบอกกันเลยหรือไง”
โจวจวิ้นถิงบ่นไม่พอใจทีเล่นทีจริง “คืนนี้เพื่อนร่วมชั้นมัธยมต้นจัดงานเลี้ยงรุ่น ถึงเวลาฉันต้องได้เห็นหน้านาย ห้ามบอกว่ามาไม่ได้หรือมีธุระ!”
ซูเย่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ในวันพรุ่งนี้เขาจะต้องไปที่เมืองตี้ตูเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน วันนี้ไม่มีเรื่องอะไรต้องทำพอดี
“ได้”
“งั้นตกลงตามนี้นะ”
โจวจวิ้นถิงกล่าวทันที “จุดนัดพบอยู่ที่โรงแรมอี้ผิ่นเซวียน ทุกอย่างเตรียมเอาไว้แล้ว มาให้ตรงเวลานะ”
“ได้ ถึงเวลาไปแน่นอน” ซูเย่เอ่ยรับปากอย่างอารมณ์ดี
ยามบ่าย
“พ่อครับแม่ครับ เย็นนี้ผมไม่กินข้าวที่บ้านนะ ผมมีนัดกับเพื่อนสมัยมอต้น”
ซูเย่เห็นว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว จึงกล่าวกับพ่อและแม่ แล้วออกจากบ้านเรียกรถไปโรงแรมทันที
เมื่อมาถึงประตูเข้าโรงแรม ซูเย่พลันเหลือบเห็นเงาร่างที่คุ้นตา โจวจวิ้นถิงก็เห็นเขาทันทีเช่นกัน รีบรุดเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“กลับมาสักทีไอ้ตัวดี เมื่อก่อนนัดยังไงก็ไม่มา ครั้งนี้มาได้สักทีนะ!”
โจวจวิ้นถิงตบลงบนบ่าของซูเย่เบาๆ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ไม่เจอกันหลายปี ดูแล้วยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลยนะ”
แล้วเดินโอบซูเย่เดินมุ่งหน้าไปยังกลุ่มเพื่อนร่วมชั้น
“ซูเย่?”
“นึกไม่ถึงว่า อัจฉริยะประจำห้องเราจะมาจริงๆ เย่จื่อ ไม่เจอกันนานเลยนะ!”
“นานมากจริงๆ หลังจากเขาเข้ามหาวิทยาลัยพวกเราก็เคยจัดงานเลี้ยงรุ่นไปครั้งหนึ่งแล้วใช่ไหมนะ”
เพื่อนๆ ทยอยเข้ามาทักทายซูเย่ ทุกคนพูดคุยกับซูเย่อย่างสนิทสนม
“ไม่เจอกันนานเลย”
ซูเย่เอ่ยตอบยิ้มๆ เข้าร่วมวงสนทนาอย่างกลมกลืน
พวกเขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นตอนมัธยมต้นได้สองปี ก่อนที่ชายหนุ่มจะสอบเลื่อนชั้นไปมัธยมปลาย จากนั้นเรียนอีกสองปีแล้วเข้ามหาวิทยาลัย ทุกคนที่อยู่ที่นี่จึงถือเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมาสี่ปีในรั้วโรงเรียน
“จริงสิ ได้ยินมาว่านายย้ายจากแพทย์ตะวันตกไปแพทย์แผนจีน?”
ทุกคนคุยสัพเพเหระไปเรื่อย พลันมีคนถามขึ้นมา
“ใช่”
ซูเย่พยักหน้าพลางยิ้มรับ
“ทำไมละ แพทย์ตะวันตกต้องเรียนตรี โท เอกต่อกันเลยไม่ใช่เหรอ ทำไมย้ายไปแพทย์แผนจีนเสียได้”
ทุกคนมองไปทางซูเย่อย่างฉงนใจ
ตอนที่ซูเย่กำลังจะอธิบาย เขาพลันรู้สึกบางอย่าง จึงมองผ่านเพื่อนร่วมชั้นไป ก่อนจะเห็นเข้ากับเงาร่างคนคนหนึ่งที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
ผมยาวดำสลวย ขับเน้นวงหน้าที่งดงาม สวมรองเท้าสีขาวกับเสื้อคลุมยาวที่มีกลิ่มหอมเล็กน้อย ยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มชน …ยังคงเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด ใบหน้าที่งดงาม ยังคงมีเสน่ห์น่าดึงดูดใจ
สีหน้าซูเย่แข็งค้างไปเล็กน้อย อีกนิดเกือบเสียอาการ เขาตกตะลึงครู่หนึ่ง พลันยิ้มแล้วส่ายศีรษะ
“ไม่คาดคิดเลย นี่มันสองพันห้าร้อยปีแล้ว ยังหลงเหลือความรู้สึกในใจอีกเหรอ? ดูเหมือนว่าตอนนั้นคงเสียใจมากจริงๆ”
ซูเย่พยายามสงบจิตใจลง ละทิ้งความคิดในใจของเขา และยังคงพูดคุยกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม
หญิงสาวเดินมาทางกลุ่มคน ยิ้มทักทายกับทุกคน
“สวัสดีทุกคน”
ในประโยคเดียว ทุกคนต่างก็นึกย้อนไปถึงอดีต คนที่ยืนบังอยู่ข้างหน้าซูเย่ก็หันกลับมา
การหันกลับนี้ ทำให้หญิงสาวมองเห็นซูเย่ทันที ในวินาทีที่สบสายตา สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“หลี่มู่เสวี่ย ดาวโรงเรียนของเรา ไม่เจอกันนานเลย”
โจวจวิ้นถิงเอ่ยยิ้มแย้ม
“ไม่เจอกันนาน”
หลี่มู่เสวี่ยยิ้มทักทายให้ทุกคน แล้วย้ายสายตาไปยังร่างของซูเย่ ยิ้มแย้มพลางกล่าว “ไม่เจอกันนาน สบายดีไหม”
ทุกคนโดยรอบพลันเงียบเสียงลง มองสลับไปมาระหว่างสองคนนั้น แฟนเก่าเจอกัน นี่มันเรื่องน่าสนุก!
ซูเย่พยักหน้าเบาๆ แล้วหันกายไปทักทายเพื่อนคนอื่นๆ ต่อ ทำให้บรรยากาศกลับมาครื้นเครงอีกครั้ง ทุกคนพูดคุยกันเสียงดัง
“ลู่เย่ละ”
“เขาเป็นคนชวนให้มาแท้ๆ ตัวเองคงไม่มาสายหรอกใช่ไหม”
“เมื่อกี้ฉันเห็นเขาแล้วนะ เหมือนว่าจะไปจอดรถน่ะ”
“เพื่อนๆ เราที่ได้ดีนับๆ ดูแล้วก็คงต้องรวมเขาไปด้วยละมั้ง ได้ยินมาว่าเลิกเรียนมหาวิทยาลัยแล้วไปเริ่มทำธุรกิจส่วนตัว กลายเป็นเจ้าของกิจการไปแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดของทุกคน ในสมองของซูเย่พลันปรากฏเงาร่างหนึ่ง ซึ่งก็คือนักเรียนชายคนหนึ่งที่นิสัยไม่ค่อยดีนักสมัยที่เขายังเป็นนักเรียน อีกฝ่ายมักจะไว้ผมรองทรงเหมือนกันพวกตัวร้ายในหนัง ทั้งยังชอบทำเรื่องที่พวกร่วมชั้นและอาจารย์ยากที่จะเข้าใจ เป็นพวกที่ชอบคิดไปเองว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันช่างแสนเท่
ในตอนมัธยมต้นและมัธยมปลาย ลู่เย่ไม่ได้มีเรื่องอะไรกับซูเย่เป็นพิเศษ กลับกันเขามักจะปกป้องเพื่อนร่วมชั้นเสมอ จะบอกว่าเขานิสัยไม่ดีก็ไม่ถึงขั้นนั้น
ในตอนนี้เอง… ผลั่ก! มีมือข้างหนึ่งตบลงบนไหล่ของซูเย่ พลันมีใบหน้าของคนที่ไว้ผมรองทรงโผล่ขึ้นมาจากไหล่ข้างขวาของเขา
ซูเย่หันไปมอง คนคนนี้ก็คือลู่เย่
“ยืนอึ้งอะไรกันอยู่”
ลู่เย่เดินเข้ามาโอบไหล่ของซูเย่ พลางกล่าว “ต่อให้ไม่เจอกันหลายปี แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นคนแปลกหน้ากระมัง?”
ขณะพูดก็หันไปยิ้มและพยักหน้าให้หลี่มู่เสวี่ย บนใบหน้าปรากฏแววอารมณ์ที่ต่างไปออกมา
หลี่มู่เสวี่ยพยักหน้าให้อย่างเฉยชา
“เป็นอะไรกัน”
เมื่อเห็นว่าซูเย่ไม่มองหน้าหลี่มู่เสวี่ย มือข้างที่โอบไหล่ซูเย่อยู่พลันออกแรงบีบเบาๆ พูดอย่างยิ้มแย้ม “ต่อให้เลิกกันแล้ว แต่ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ดีน่า อย่าทำให้กระอักกระอ่วนแบบนี้สิ”
ทุกคนยิ้มล้อเลียนซูเย่และหลี่มู่เสวี่ย
ลู่เย่โบกมือแล้วกล่าวกับทุกคน
“ทุกคน วันนี้ฉันเลี้ยงเอง ไม่ว่าใครก็อย่ามาแย่งกันจ่ายนะ”
ในคำพูดนั้นแสดงความอวดรวยของตัวเอง
“โอเค ฉันไม่แย่งหรอก!”
“บอสลู่ได้ดิบได้ดีไปแล้ว ไม่เหมือนพวกเราที่ยังเป็นพนักงานธรรมดาๆ นานทีจะได้เจอหน้ากัน แน่นอนว่าบอสลู่ต้องเลี้ยงพวกเราสิ”
“บอสลู่สุดยอดมาก วันนี้พวกเราก็ตามใจนายแล้วกัน!”
เพื่อนร่วมชั้นต่างออกความเห็น
“พวกนายพูดเกินจริงแล้ว ร้ายไม่เบาเลยนะ!”
ลู่เย่หันไปมองหลี่มู่เสวี่ย แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใกล้ถึงเวลาแล้ว เราเข้าไปพร้อมกันเถอะ มู่เสวี่ย”
ในสายตาของเขา สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีความรักลึกซึ้งต่อมู่เสวี่ย
“ใครจะกล้าว่าบอสลู่กันละ ตอนนี้นายน่ะ เป็นนักธุรกิจที่กำลังเป็นที่รู้จักในเมืองเรา ลูกน้องที่ต้องเลี้ยงดูมีถึงหลักร้อยคน แค่ข้าวมื้อเดียวจะนับเป็นอะไร ต่อให้เหมาทุกอย่างที่นี่ สำหรับบอสลู่แล้วขนหน้าแข้งจะร่วงสักกี่เส้นเชียว”
โจวจวิ้นถิงก้าวออกมาพูด แล้วเดินไปข้างกายลู่เย่ กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “วันนี้ ทุกคนสนใจแค่กินให้อิ่มหมีพีมันเป็นพอ บอสลู่จ่ายบิลเอง!”
ซูเย่มองไปทางโจวจวิ้นถิง เขาสัมผัสได้ว่าโจวจวิ้นถิงกำลังสร้างสถานการณ์ผลักดันให้ลู่เย่
โจวจวิ้นถิงในความทรงจำของเขาไม่ใช่คนแบบนี้
“เวลาช่างทำให้ผู้คนเปลี่ยนแปลงจนไม่เหลือความเป็นตัวเอง…”
ซูเย่ถอนหายใจอย่างเงียบๆ หันกายเพื่อเดินเข้าโรงแรม
ในตอนนี้เอง
“ซูเย่”
ลู่เย่เรียกซูเย่เอาไว้ แล้วยืนมือไปดึงหลี่มู่เสวี่ย แต่เธอกลับหลบทันควัน ทว่าลู่เย่ก็ไม่สนใจ
“ยังไงก็ควรรอเพื่อนๆ หน่อยสิ”
พูดเสร็จก็เดินไปที่ประตูโรงแรม ขณะที่เขาเดินผ่านไป ซูเย่เห็นชัดเจนว่าลู่เย่มองตาเขาด้วยความรังเกียจ แม้ว่าจะเพียงแวบเดียว แต่เขาก็จับสังเกตได้อย่างชัดเจน
“เย่จื่อ”
โจวจวิ้นถิงเดินเข้ามาโอบไหล่ซูเย่และพูดยิ้มๆ ด้วยเสียงต่ำ “ที่นี่ลู่เย่เป็นตัวเอก ถ้านายเดินนำเข้าไปก็ไม่ดีน่ะสิ”
หลังจากพูดเสร็จ เขาก็ตบเบาๆ ที่หน้าอกของซูเย่และเดินตามขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
ซูเย่ผงะไป พลันยกยิ้มขึ้น ความสัมพันธ์เพื่อนร่วมชั้นในสายตาของเขาจางหายลงไปไม่น้อย
“มู่เสวี่ย”
ทันทีที่เขามาถึงทางเข้าโรงแรม ในขณะที่รอคนอื่นๆ ลู่เย่ก็ได้หันมองไปที่หลี่มู่เสวี่ย และพูดด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน “ฉันมีความสุขมากที่เธอมาวันนี้ ซูเย่ฉันตั้งใจให้คนเชิญมาเอง”
หลี่มู่เสวี่ยตะลึงงันและถาม “เพื่ออะไร?”
เพื่ออะไรงั้นเหรอ?
ลู่เย่แสยะยิ้ม เขาเป็นคนบอกโจวจวิ้นถิงให้ชวนซูเย่มาเอง จุดประสงค์ก็เพื่ออยากจะดูให้แน่ใจว่าซูเย่และหลี่มู่เสวี่ยต่างตัดบัวไม่เหลือใยแล้วจริงหรือไม่
เขาชอบหลี่มู่เสวี่ยมานานมากแล้ว แต่ตอนที่เขากำลังจะจีบเธอ เขารู้มาว่าเธอและซูเย่สอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกัน กลายเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย และพัฒนาความสัมพันธ์จนกลายเป็นคู่รัก
ในสถานการณ์เช่นนี้ ทำให้ลู่เย่เสียใจมาก แต่คิดไม่ถึงว่าหนึ่งปีก่อน หลี่มู่เสวี่ยและซูเย่จะเลิกรากันไป หนึ่งปีมานี้เขาตามจีบเธอไม่เว้นวัน กว่าจะรอเธอปิดเทอมกลับบ้าน เขาจะต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้ให้ได้ จะต้องตามติดไม่ห่าง
สำหรับตัวเขาแล้ว ซูเย่เป็นเพียงคนที่ถูกหลี่มู่เสวี่ยเฉดหัวทิ้งก็เท่านั้น ดังนั้นเขาจึงต้องการเชิญซูเย่มาและใช้ซูเย่เพื่อขับเน้นความสำเร็จของเขา ก่อนจะเยียบย่ำซูต่อหน้าทุกคนและแสดงให้หลี่มู่เสวี่ยเห็นว่าเขาประสบความสำเร็จและโดดเด่นมากแค่ไหนในตอนนี้!
“ดูสิ ซูเย่เดินมาแล้ว”
ลู่เย่มองกลับมาด้วยรอยยิ้ม มองไปยังซูเย่ “นี่เป็นอัจฉริยะของโรงเรียนของเราในตอนนั้น น่าเสียดายที่เรียนหนังสือจนกลายเป็นเด็กเนิร์ด… โรงงานของฉันทำเงินได้หลายล้านต่อปี เขายังเรียนอยู่เลย”
ขณะพูดก็ต้องการจะจับมือหลี่มู่เสวี่ยอีกครั้ง แต่เธอเอามือหลบเลี่ยงและพูดอย่างเย็นชา “ให้เกียรติกันหน่อย”
ลู่เย่ยิ้มอย่างไม่ยี่หระ
“ซูเย่ ยังไม่เคยมาใช่ไหม?”
เมื่อซูเย่และเพื่อนร่วมชั้นมาถึง ลู่เย่ชี้นิ้วไปที่ป้ายชื่อของโรงแรม “อี้ผิ่นเซวียน โรงแรมที่ใหญ่ที่สุดและหรูหราที่สุดในเมืองจี้หยาง ฉันจ่ายอย่างน้อยห้าหลักสำหรับมื้ออาหารที่นี่บ่อยๆ”
เมื่อพูดจบ ทุกคนต่างอุทานออกมา
“ไม่เคยมา”
ซูเย่ยิ้มพลางเอ่ยตอบ
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็ลองชิมดู อันที่จริงวันนี้ก็เพราะเห็นแก่หน้านาย เพราะนานมากแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน!”
ลู่เย่พูดกับซูเย่ต่อไป “ดูสิว่านายเรียนหนักขนาดนั้น ตอนนี้ยังเรียนไม่จบเลย เพื่อนร่วมชั้นคนนี้จะปฏิบัติต่อนายอย่างดีเอง วันนี้ไม่ต้องเกรงใจนะ”
จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและพาทุกคนไปที่โรงแรม
ณ ขณะนี้ พลันมีเสียงเบรกดังขึ้น รถคันหรูมูลค่าหลายล้านเหรียญแล่นมาจอดที่ประตูโรงแรมขวางทางเดินของลู่เย่ เมื่อมองไปที่รถ ลู่เย่ไม่ได้พูดอะไรแล้วหยุดเดินพร้อมหลี่มู่เสวี่ย
ในตอนนี้ คนเฝ้าประตูก้าวไปข้างหน้าเพื่อเปิดประตู ชายหนุ่มผู้หยิ่งยโสเดินลงมา และทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นซูเย่ และผงะไป
“หือ? ลูกพี่ซู?”