บทที่ 280.2 องค์รัชทายาทเผ่ามังกรทะเลเหนือ สามอัจฉริยะปะทะเซ่าเสวียน (2)

บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน

บทที่ 280 องค์รัชทายาทเผ่ามังกรทะเลเหนือ สามอัจฉริยะปะทะเซ่าเสวียน (2)

“อวิ๋นซี จะรอไม่ได้อีกแล้ว เจ้าซ้ายข้าขวา ช่วยศิษย์พี่ใหญ่”

มีกระบี่โบราณสีดำลอยขึ้นมาจากพิณโพราณข้างหลังจางอวิ๋นถิง แสงกระบี่ดั่งสายน้ำใบไม้ร่วง

เขามองควันคละคลุ้งที่อบอวลด้วยแสงสีทองไอม่วงนั้นก่อนพูดด้วยสีหน้ากังวล “หวังว่าศิษย์พี่ใหญ่จะไม่เป็นอะไร”

หากฟางฉางบาดเจ็บสาหัสสู้ไม่ไหว การต่อสู้นี้ก็จะเป็นปัญหาแล้ว

“ไม่ต้องสอดมือ แซ่ฟางยังไม่แพ้!”

เสียงฟางฉางดังทุ้มต่ำมาจากใต้มังกรยักษ์สีม่วงร้อยจั้ง จากนั้นกรงเล็บมังกรที่กดลงมาอย่างแรงก็ถูกยกลอยขึ้น

ร่างที่อาบสายฟ้าสีทองทั้งตัวปรากฏขึ้นตรงหน้าทุกคนอีกครั้ง พลังพุ่งขึ้นสูงอย่างไร้ขีดจำกัด

“กลัวตายรึ ซ่อนหัวโผล่หางรึ อย่างเจ้ามีสิทธิ์มาหยามเกียรติอันบริสุทธิ์ของบุตรศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายข้ารึ”

เสียงเย้ยเยาะของฟางฉางดังก้องฟ้าดิน “บุตรศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายข้าไม่ออกมา ก็เพราะว่าเจ้ายังไม่มีคุณสมบัติจะท้าทายเขา อันดับหนึ่งแก่นพลังทองของดินแดนบูรพาอะไร คุณสมบัติแห่งมหาจักรพรรดิอะไร มันก็แค่นี้ ดูเถอะว่าแซ่ฟางจะเอาชนะเจ้าอย่างไร!”

เพิ่งพูดจบ ฟางฉางก็เดินหนึ่งก้าว ร่างกำยำใหญ่ขึ้นตามสายลม “กายแท้วิญญาณยักษ์!”

โครม~!

มังกรร้อยจั้งถูกยกลอยออกไป ฟางฉางยืนตัวตรงอีกครั้ง

ร่างแปดฉื่อในตอนแรกขยายใหญ่ขึ้นทันที อัสนีกำเนิดฟ้าไหลเวียนในกายเขาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะรวมเป็นเทพสงครามเกราะทองคำยักษ์สูงยี่สิบกว่าจั้ง

เขายื่นมือขวาออกมาช้าๆ สายฟ้าไร้ที่สิ้นสุดวนเวียนบนทวนมังกรเพลิงแดง รวมขึ้นเป็นทวนมังกรยาวสิบกว่าจั้ง

ตอนนี้พลังของฟางฉางเทียบกับก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ได้เพิ่มขึ้นแค่เท่าเดียวแล้ว

แววตาเขาเหมือนกับสายฟ้ายิงใส่ฉีเซ่าเสวียน “บุตรศักดิ์สิทธิ์ข้าผ่านด่านหอคอยเทพสงครามทั้งหมด ได้รับการยอมรับจากดวงจิตหอคอยว่ามีพรสวรรค์อันดับหนึ่ง มีความสามารถอันดับหนึ่งและมีกำลังรบอันดับหนึ่งในหมื่นปีมานี้

บุตรศักดิ์สิทธิ์มีพรสวรรค์สูงสุดนับตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน กระทั่งเหนือกว่าจักรพรรดิฮวงสือในวัยหนุ่ม อย่างเจ้าฉีเซ่าเสวียนคู่ควรจะชิงความเป็นหนึ่งกับเขารึ

วันนี้จะให้เจ้าได้เห็นสุดยอดวิชาที่แซ่ฟางเรียนมาจากหอคอยเทพสงคราม!”

เพิ่งพูดจบ ฟางฉางก็กวัดแกว่งทวนมังกรในมือพุ่งใส่ฉีเซ่าเสวียน สายฟ้าสีทองผ่านไปที่ใด มวลอากาศจะพังทลายลงทั้งหมด

เขาแทบจะละทิ้งการป้องกันทั้งหมด ไม่สนใจเรื่องการใช้พลังฤทธิ์รวมถึงอัสนีกำเนิดฟ้า แต่วางมาดว่าจะสู้สุดชีวิต

เวลานี้ เขาสูสีกับมังกรยาวไอม่วงร้อยจั้งนั้น ไม่ตกเป็นรองแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นท่าทีเกรี้ยวกราดของฟางฉางแล้ว เวลานี้จางอวิ๋นถิงรู้สึกอิจฉานิดๆ

เขาจิ้มไหล่จางอวิ๋นซี “นี่ อวิ๋นซี จะว่าไปท่านพ่ออยากให้เจ้ารับหมั้นกับศิษย์น้องเสิ่นเทียนใช่หรือไม่!”

จางอวิ๋นซีพูดอย่างเฉยชา “พี่อยากถามอะไร”

จางอวิ๋นถิงพูดด้วยความจำใจ “ข้าแค่แปลกใจ ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ยอมรับบุตรศักดิ์สิทธิ์มาตลอดไม่ใช่รึ! เหตุใดตอนนี้ถึงเลื่อมใสบุตรศักดิ์สิทธิ์บ้าคลั่งเช่นนี้

ฉีเซ่าเสวียนว่าร้ายบุตรศักดิ์สิทธิ์ เจ้ายังไม่โกรธ เหตุใดศิษย์พี่ใหญ่ถึงโกรธจนสู้สุดชีวิตไปแล้ว ตกลงพวกเจ้าสองคนใครเป็นภรรยาของบุตรศักดิ์สิทธิ์กันแน่!”

จางอวิ๋นซียังคงมีสีหน้าเฉยชา “ศิษย์น้องมีบุญคุณช่วยชีวิตศิษย์พี่ใหญ่ ถึงศิษย์พี่ใหญ่จะมีหน้าตาธรรมดา แต่ก็ไม่ใช่คนเนรคุณคน”

“ส่วนเรื่องโกรธ” จางอวิ๋นซีหยิบผลึกก้อนหนึ่งออกมาส่งให้จางอวิ๋นถิง “ข้าใช้ผลึกบันทึกภาพบันทึกคำพูดทุกอย่างของฉีเซ่าเสวียนไว้แล้ว รอศิษย์น้องออกด่านบำเพ็ญมาจะให้เขา

ตอนนี้ฉีเซ่าเสวียนโอหังเพียงใด รอศิษย์น้องออกด่านบำเพ็ญเมื่อไรจะโดนทุบตีอนาถเท่านั้น”

จางอวิ๋นถิงรับผลึกบันทึกภาพมา พยักหน้า “อวิ๋นซีตอนนี้เจ้าใจเย็นกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย ดีมาก แต่ว่าไฉนเจ้าถึงเอาผลึกบันทึกภาพให้ข้าล่ะ”

จางอวิ๋นซีเดินไปทางสนามรบช้าๆ ภายใต้สายลมในมวลอากาศเกาะตัวเป็นน้ำค้างตกลงมา “เพราะตอนนี้ข้าจะสู้แล้ว”

อัสนีกำเนิดฟ้ามหาศาลรวมขึ้นบนผิวกายจางอวิ๋นซี พยัคฆ์ขาวสายฟ้าสูงสิบกว่าจั้งตัวหนึ่งปรากฏขึ้น

ทุกส่วนของมันวนเวียนด้วยอัสนีกำเนิดฟ้าสีทอง กลิ่นอายสังหารทำให้อากาศโดยรอบนระยะหลายร้อยจั้งเริ่มเป็นน้ำแข็ง ฟ้าดินเกิดความหนาวจัด

กล้าด่าศิษย์น้องรึ รนหาที่ตาย

โฮก~

เกิดเสียงพยัคฆ์ขาวคำราม ฟ้าดินเงียบสงัดไร้เสียง

ในวงต่อสู้ คนยักษ์ร่างแปลงฟางฉางใช้ทวนกระแทกมังกรยักษ์ถอยไป

เขารู้สึกว่าจางอวิ๋นซีเข้ามาใกล้สนามรบ จึงทำเสียงขึ้นจมูก “นี่สนามรบของบุรุษ ศิษย์น้องหญิงถอยไป”

พยัคฆ์ขาวสายฟ้าชำเลืองตามองฟางฉางอย่างเฉยชา น้ำเสียงสตรีเย็นชาไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ “ข้าได้ยินไม่ชัด พูดอีกที”

กายแท้วิญญาณยักษ์หนาวสั่นขึ้นมา ก่อนจะหดคอตามจิตใต้สำนึก “แค่กๆ ศิษย์น้องหญิง ขะ…ข้าว่าชายทางซ้ายหญิงทางขวา จัดการมัน!”

…….

ปัญจธาตุเกื้อหนุนกันและเป็นปฏิปักษ์กัน ทุกวิชาของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มีอัสนีเทพปัญจธาตุเป็นรากฐาน

ถึงจางอวิ๋นซีจะมีระดับพลังเพียงจุดสูงสุดแปดรอบ ยังไม่ถึงเขตแดนเก้ารอบ ด้อยกว่าฟางฉางขั้นหนึ่ง แต่ฟางฉางฝึกวิชาอัสนีธาตุไฟและดินเป็นหลัก ไฟเกิดดิน ดินเกิดทอง การร่วมมือกับจางอวิ๋นซีจะเพิ่มกำลังรบอย่างมาก

ประกอบกับมีเพลิงโทสะเอ่อล้นต่อฉีเซ่าเสวียนในใจ ตอนนี้กำลังรบของจางอวิ๋นซีทะลุปรอทไปแล้ว

สองคนร่วมมือกันมีพลังไม่อาจต้านทานได้ กดดันมังกรเทพไอม่วงของฉีเซ่าเสวียนได้ทุกทาง

ฉีเซ่าเสวียนกดดันมากขึ้น รู้สึกคับอกคับใจนิดๆ ในใจ

เขาไม่เข้าใจว่าตอนแรกยังดีๆ อยู่ พอตนเยาะเย้ยเสิ่นเทียนคำเดียว ปรากฏว่าฟางฉางกับจางอวิ๋นซีก็ระเบิดตับขึ้นมาเอาดื้อๆ

กำลังรบของสองคนนี้ล้วนเหนือกว่าบุตรพุทธะขู่ตัวอันดับสองในรายนามแก่นพลังทอง

ตอนนี้ร่วมมือกันอย่างสุดกำลัง อีกทั้งยังตั้งท่าสู้สุดชีวิต ทำให้ฉีเซ่าเสวียนขนลุกในใจ

คนโหดกลัวคนใจร้อน คนใจร้อนไม่กลัวตาย สองคนนี้สู้กันโหดเกินไปแล้ว

จะว่าไป ต้องทำถึงขนาดนี้เลยรึ!

แซ่ฉีไม่ได้ขุดหลุมศพบรรพบุรุษพวกเจ้าสักหน่อย แค่ประมือกันไฉนต้องโมโหด้วย!

ภายในใจจะคับอกคับใจก็เรื่องของมัน ตนเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่เสแสร้งอยู่สูงสุด ต่อให้สู้ยากกว่านี้ ก็ยังไม่เคยหยุดปากดี

“ดี ถึงอกถึงใจๆ ไม่นึกเลยว่ากำลังรบของสตรีศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จะเหนือกว่าที่แซ่ฉีคาดคิด แซ่ฉีไม่ได้เลือดร้อนเช่นนี้มานานมากแล้ว ยังแข็งแกร่งกว่านี้ได้อีกหรือไม่ หากมีเพียงเท่านี้ก็ยังไม่พอ ยังไม่พอเลย!”

เมื่อพูดจบ ฉีเซ่าเสวียนก็แอบเผาพลังฤทธิ์มหาศาลในกายตัวเอง มังกรเทพไอม่วงมีกรงเล็บใหญ่ขึ้น ก่อนจะตบใส่ฟางฉางกับจางอวิ๋นซีสองคนลอยไป

ดูองอาจห้าวหาญเป็นหนึ่ง

น่าเสียดายการปะทุพลังครั้งนี้ไม่มีความหมายใดๆ เลย เพราะพลังฤทธิ์ที่เขาเสียไปไม่ได้ผลลัพธ์ที่มีสัดส่วนเท่าเทียมกันเลย

แต่ปากดีแล้วก็ต้องเสแสร้งให้เข้ากันด้วย นี่คือกลอุบายต่อเนื่องกันที่ต้องทำให้เป็นเพื่อให้ตัวเองโดดเด่นขึ้น

ไม่เห็นหรือว่าผู้ชมที่กำลังกะเทาะเมล็ดแตงดูอยู่รอบๆ เริ่มตาเป็นประกายกันแล้วน่ะ

ขอแค่เขาทำให้สถานการณ์ต่อสู้มั่นคงได้ พยายามเอาชนะฟางฉางกับจางอวิ๋นซี ก็จะมีชื่อเสียงดังไปทั้งดินแดนบูรพา

แน่นอน แผนการเดิม ‘หนึ่งสู้สี่’ นั้น ฉีเซ่าเสวียนได้ล้มเลิกไปอย่างชาญฉลาดแล้ว ศัตรูจัดการยากกว่าเขาที่คิด

อย่าว่าแต่หนึ่งสู้สี่เลย ตอนนี้เขาภาวนาแค่ว่าจางอวิ๋นถิงจะมีเกียรติสักนิด อย่าเข้ามายุ่งก็พอ

แม้หนึ่งสู้สองจะได้ผลเสแสร้งไม่ดีเท่าหนึ่งสู้สาม แต่เงื่อนไขคือต้องชนะ

หากฉีเซ่าเสวียนชนะหนึ่งสู้สอง ไม่ว่าอย่างไรก็ยังเสแสร้งได้

อีกทั้งดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ขอแค่ยืนหยัดจนฟางฉางหมดแรงก็แทบจะชนะแน่แล้ว

แต่หากฉีเซ่าเสวียนที่ประกาศคำท้าหนึ่งสู้สี่กลับแพ้อย่างรวดเร็วในหนึ่งสู้สาม

เช่นนั้นก็คงขายหน้าป่นปี้

……

ดีเลวอย่างไรก็เป็นบุตรชายแท้ๆ ของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ตอนนี้เห็นสูสีกัน จางอวิ๋นถิงก็น่าจะไม่หน้าด้านถึงขนาดนั้นกระมัง!

ฉีเซ่าเสวียนต้านฟางฉางกับจางอวิ๋นซีอย่างสุดกำลังไปพลาง ใช้หางตามองจางอวิ๋นถิงไปพลาง

แต่เขาก็พบว่าตนพลาด อาจารย์พูดถูก คนตระกูลจางหน้าด้านจริงๆ

ก่อนจะเห็นจางอวิ๋นถิงเดินหน้าหนึ่งก้าวช้าๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคารพ

“บุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงมีกำลังรบสะท้านฟ้าจริงๆ แซ่จางจะดีดพิณสร้างความบันเทิงให้กับบุตรศักดิ์สิทธิ์เอง!”

เมื่อเอ่ยจบ ก็เห็นจางอวิ๋นถิงนั่งลงใต้ยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ช้าๆ วางพิณโบราณแนวขวางไว้บนตัก เริ่มดีดพิณ

เสียงพิณที่มีอำนาจโน้มน้าวดังใต้ยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ ตอนนี้มีเสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามดังขึ้น เสียงร้องปักษาเข้าเฝ้าหงส์ และยังเหมือนเสียงอาวุธกระทบกระทั่งกันของกองทัพนับพันนับหมื่น

เมื่อเสียงพิณดังขึ้น พลันเกิดกระแสพลังวิญญาณหลั่งไหลขึ้นในมวลอากาศ

พลังวิญญาณธาตุไม้ลำดับหนึ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าหลั่งไหลเข้าไปในวงต่อสู้ เสริมที่ตัวฟางฉาง

เดิมทีฟางฉางใช้ยอดวิชาระเบิดร่างแท้จริงวิญญาณยักษ์ แม้กำลังรบจะเพิ่มขึ้นทำให้ฉีเซ่าเสวียนกดดันอย่างหนัก แต่ทุกคนรู้ว่าวิชานี้อยู่ได้ไม่นาน

ปกติ บุรุษแท้ห้าวินาทีก็เกินจริงไปบ้างแล้ว แต่อย่างมากสุดไม่เกินสามนาทีก็ต้องสลายร่าง

ขอแค่เขารอจนพลังฤทธิ์ของฟางฉางเหือดแห้ง เขาก็มั่นใจว่าจะชนะ

แต่ฉีเซ่าเสวียนไม่นึกเลยว่าเจ้าจางอวิ๋นถิงจะไร้ยางอายเช่นนี้

เขาใช้เสียงพิณบัฟให้ฟางฉางกับจางอวิ๋นซี ไม่ใช่แค่เติมเลือดเติมมานา แต่ยังเสริมการโจมตีกับป้องกันด้วย

เจ้าทำเช่นนี้ เข้ามาร่วมวงต่อสู้ด้วยเลยจะดีกว่า!

อย่างน้อยคนอื่นก็จะคิดว่าแซ่ฉีหนึ่งสู้สาม ไม่ใช่หนึ่งสู้สอง

ส่วนตอนนี้ถ้าคนตาดีจะมองออกว่าจางอวิ๋นถิงกำลังช่วยล่ะ นั่นแล้วอย่างไร จะไปหวังให้มาอธิบายหรือ

เหอะๆ อย่าลืมว่าเวลานี้ฉีเซ่าเสวียนกวาดล้างแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ๆ ทั้งดินแดนบูรพาแล้ว ตอนแขวนโอรสสวรรค์สี่ทิศทุบตียังไม่ไว้หน้าเลยสักนิด

ตอนนี้เห็นฉีเซ่าเสวียนถูกกดดัน หากมีโอกาส แดนศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นจะไม่เกรงใจแน่นอน

อย่างเช่น ‘บุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงปากดีจะหนึ่งสู้สี่ แต่กลับโดนสองคนร่วมมือกันฟันตกจากหลังม้า’ หรือ ‘บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ยังไม่ออกมา บุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงก็แพ้แล้ว’ อะไรพวกนี้ก็คงจะมีหมดแน่นอน

เมื่อได้ฟังเสียงพิณที่มีอำนาจโน้มน้าวแล้ว ฉีเซ่าเสวียนมุมปากกระตุกไม่หยุด เจ้าชั่วนี่เหตุใดถึงดีดเสียงพิณเลือดร้อนเช่นนี้ได้

ข้างนอกเขาว่ากันว่าศิษย์พี่รองเทพสวรรค์จางอวิ๋นถิงเป็นคนสุภาพโอนอ่อน เป็นบุรุษถ่อมตนแท้จริง แซ่ฉีไม่เชื่อเลย!

……

เมื่อเห็นมังกรเทพไอม่วงถูกทวนมังกรกับกรงเล็บพยัคฆ์ฉีกไปเรื่อยๆ มังกรโต้พยัคฆ์ปะทะ วิญญาณยักษ์กระแทก อนาถจนทนดูไม่ได้แล้ว

ฉีเซ่าเสวียนหน้าซีดเล็กน้อย ก่อนมองรถศึกมังกรดำ “เสี่ยวอู มาช่วยเถอะ”

เด็กชายเขามังกรปิดปากหัวเราะ “พี่เซ่าเสวียน หน้าพี่เหมือนจะบวมแล้ว!”

เมื่อครู่เพิ่งพูดไปว่า ‘ดินแดนบูรพาไม่มีใครเก่งกาจสักคน จะหนึ่งสู้สี่’ ปรากฏว่าโดนสองอัจฉริยะเทพสวรรค์ลากถูไปกับพื้น

ถ้าก่อนหน้านี้ฉีเซ่าเสวียนไม่ได้พูดจาเสแสร้ง ต่อให้แพ้ก็ยังได้รับเกียรติ น่าเสียดายเขาพูดจาเกินจริงไปมาก

พูดปาวๆ ว่าจะหนึ่งสู้สี่ ปรากฏว่ากลับเสแสร้งล้มเหลว

รถคว่ำครั้งนี้ดูรุนแรงนิดๆ

พอได้ยินเสียงหัวเราะหยอกล้อของเอ๋าอู ฉีเซ่าเสวียนก็เปลี่ยนจากอายเป็นโมโห “ปลาซิวเมื่อคืนหมดแล้ว”

กรรซ~

เด็กหนุ่มเขามังกรบนรถศึกมังกรดำเขย่าร่างเปลี่ยนไป

มังกรสีดำราวสิบกว่าจั้งร้องคำรามพุ่งเข้ามา พลังไม่อ่อนแอไปกว่าฟางฉางเท่าไร

และที่สำคัญกว่านั้นคือตอนที่ฉีเซ่าเสวียนยืนบนหัวมังกรดำนี้ กลิ่นอายพลังของสองคนหลอมรวมกันอย่างรวดเร็ว พุ่งพรวดถึงขีดสุด

“นักรบมังกร คนมังกรรวมเป็นหนึ่ง มีเกียรติและเสื่อมเกียรติร่วมกัน”

หลังถูกบีบให้ต้องร่วมสู้กับเอ๋าอู ฉีเซ่าเสวียนก็หน้าแดงเล็กน้อย แต่ก็พูดปากดีไม่หยุด

ง้าวมังกรสวรรค์ในมือเขาเสริมด้วยพลังมังกร จึงยาวขึ้นหลายสิบจั้ง “ยินดีกับพวกเจ้าด้วย ทำให้แซ่ฉีเอาจริงได้แล้ว”

ตอนนี้สองสู้สอง ฟางฉางกับจางอวิ๋นซีจิตต่อสู้เดือดพล่านขึ้นมา แต่จางอวิ๋นถิงกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย

เขารู้สึกว่าหลังจากฉีเซ่าเสวียนร่วมมือกับเอ๋าอู กำลังรบก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

นักรบมังกรในตำนาน ตำนานไร้พ่าย

หากบุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่ออกด่านบำเพ็ญ พวกเขาสามคนคงต้านฉีเซ่าเสวียนไว้ได้ยากมาก

เกียรติของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กำลังอยู่ในอันตราย!

…….

คนที่คิดแบบเดียวกับเขามีไม่น้อย ผู้อาวุโสของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ทุกคนต่างเฝ้ามองยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์

ตอนนี้เอง ในที่สุดยอดค่ายกลพิทักษ์ที่คลุมผิวยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ก็สลายไปช้าๆ

เมฆดำหนาทึบปกคลุมบนฟ้ายอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ มีสายฟ้าลอยขึ้นรางๆ

และที่สำคัญกว่านั้นคือในเมฆดำมีดวงจิตแห่งสวรรค์อยู่ด้วย

นี่คือเคราะห์สวรรค์ เคราะห์สวรรค์ที่จะปรากฏขึ้นเมื่อผู้ฝึกบำเพ็ญฝ่าด่านผู้อริยะหรือปรากฏสมบัติสุดยอด

เวลานี้ ผู้ฝึกบำเพ็ญที่มุงดูอยู่รอบๆ ต่างงุนงง

ทุกคนรู้ว่ายอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์เป็นที่พักของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ แต่บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กำลังปิดด่านบำเพ็ญ

ตอนนี้ค่ายกลพิทักษ์คลายออกเอง แต่บนฟ้ากลับปรากฏเมฆดำเคราะห์สวรรค์ นี่มันเรื่องอะไรกัน หรือว่ามีคนจะฝ่าด่านเคราะห์เป็นผู้อริยะ

ในศิษย์ฝ่ายในเทพสวรรค์ ซ่งฟู้กุ้ยพูดงึมงำ “หรือว่าท่านเซียนจะเป็นผู้อริยะแล้ว”

หลิวไท่อี่ตาเป็นประกายขึ้นมา ก่อนหยิบม้วนหยกออกมาจากเสื้อด้วยความตื่นเต้น

หากเป็นจริง นี่เป็นเรื่องใหญ่สะท้านโลก!

ถึงอย่างไรท่านเซียนก็ยังหนุ่มมาก หากเป็นผู้อริยะ ห้าดินแดนจะต้องสั่นสะเทือน

ในวงต่อสู้ บุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงกับองค์รัชทายาทมังกรลำดับเจ็ดเอ๋าอูมองยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์อย่างจริงจัง

โดยเฉพาะองค์รัชทายาทมังกรลำดับเจ็ดเอ๋าอู ร่างเยาว์วัยสั่นไหว

ตอนนี้ในใจเขาเกิดความคิดหนึ่ง…ความคิดที่ต้องก้มกราบ!

…………………………