“มี่มี่เด็กดี อดทนหน่อย อดทนอีกนิด” สตรีงดงามวัยกลางคนกอดลูกสาวคนเล็กถังมี่เอาไว้แน่น
สตรีผู้นี้สวมชุดผ้าป่านที่ได้แค่ปกปิดร่างกายเท่านั้น ดูแล้วอายุประมาณสามสิบต้นๆ หน้าตางดงาม ผิวพรรณขาวเนียนราวเทียนไข ผมยาวดำขลับที่สยายลงมายุ่งเล็กน้อย หว่างคิ้วมีกลิ่นอายสูงส่ง เห็นได้ชัดว่าชาติกำเนิดไม่ธรรมดา อดีตเคยเป็นสตรีชนชั้นสูง เพียงแต่ตอนนี้เข้ามาอยู่ในหน่วยเลี้ยงรับรอง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า นางกอดลูกสาวคนเล็กเอาไว้แน่นพลางพยายามกลั้นน้ำตา
ข้างกายของนางยังมีสาวงามตัวน้อยที่อายุดูแล้วราวสิบห้าสิบหก คือถังถังลูกสาวคนโตนั่นเอง หน้าม้าของนางกระเซิง ผมเพ้ายุ่งเหยิง หน้าตาคล้ายกับหญิงงามวัยกลางคนมาก แต่มีความบริสุทธิ์น่ารักและสวยหวานมากกว่า เพียงแต่มีสีหน้าเหนื่อยล้าหวาดกลัวเช่นกัน สายตาค่อนข้างล่องลอย บางครั้งจะฉายแววเคียดแค้นออกมาบ้าง
แม่ลูกทั้งสามสวมเพียงชุดผ้าป่านสีเทาชั้นหนึ่ง แทบจะปกปิดร่างกายไม่มิด ถูกขังอยู่ในกรงเหล็ก
หลายวันมานี้พวกนางลำบากยากเข็ญ ตกเป็นนักโทษ วิตกและหวาดกลัวมาโดยตลอด หลังจากที่ถูกส่งมายังหน่วยเลี้ยงรับรองก็ยังถูกทารุณ ด้วยคิดจะทำลายจิตใจตั้งมั่นของพวกนาง จนถึงวันนี้ก็ไม่ได้กินอะไรมาสองวันสองคืนแล้ว หิวจนทั้งกายไร้ซึ่งเรี่ยวแรง อ่อนแอเหลือกำลัง
โดยเฉพาะลูกสาวคนเล็กมี่มี่ อายุยังน้อย ภูมิต้านทานต่ำ ทั้งยังหวาดกลัวอยู่ตลอด นางไข้ขึ้น ตัวร้อน ขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของมารดาทั้งเนื้อตัวสั่นเทา
“ท่านแม่ ข้าคิดถึงท่านพ่อ” ถังมี่พูดสะลึมสะลือจากอาการไข้ขึ้นต่ำ
หญิงงามกอดลูกสาวเอาไว้แน่น น้ำตาไหลลงมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ “ท่านพ่อต้องกลับมาหาเจ้าแน่…” แต่แท้จริงแล้ว ชายที่เคยบังลมหนาวเป็นร่มเงาให้พวกนางคนนั้นไม่มีวันกลับมาอีก ทว่านางไม่รู้ว่าจะปลอบลูกสาวอย่างไร
ถังถังลูกสาวคนโตแววตาเหม่อลอย เหมือนคนโง่ทึ่มอย่างไรอย่างนั้น
สำหรับพวกนาง หน่วยเลี้ยงรับรองเป็นคำนามที่น่ากลัวเสียเหลือเกิน
สตรีจากตระกูลขุนนางตกอยู่ในที่แบบนี้ก็เท่ากับตกเข้าไปในถ้ำปีศาจ
เสียงฝีเท้าดังเข้ามา
“ถังฮูหยิน เจ้าคิดตกแล้วหรือยัง? ขอแค่เจ้าให้ความร่วมมือกับหน่วยเลี้ยงรับรองอย่างว่าง่าย เจ้ากับลูกสาวเจ้าไม่ใช่แค่จะได้กินอิ่ม แต่จะยังกินหรูอยู่ดีเหมือนเดิม” เสียงประหลาดดังขึ้นมาจากข้างนอกกรงเหล็ก
ผู้รับผิดชอบอบรมขัดเกลาแม่ลูกทั้งสามของหน่วยเลี้ยงรับรองมาอีกแล้ว
“หึๆ สตรีน่ะนะ บางทีก็ต้องยอมรับในชะตา ไหนๆ ก็ตกมาอยู่ในที่แบบนี้แล้ว ยังจะรักษาความบริสุทธิ์หรือชื่อเสียงของจอมปลอมพวกนี้ไปทำไมกัน มีความหมายอะไรเล่า ไม่สู้วางมันลง ไม่เจ็บไม่คันสักหน่อย ตัวเองก็ยังสบาย ขอแค่เจ้าอ้าขา เงินก้อนโตก็ไหลมาไม่ขาดสายแล้ว…”
ผู้รับผิดชอบคนนี้เป็นชายอายุสามสิบต้นๆ เช่นกัน แต่หน้าขาวราวทาแป้ง สวมชุดแพรพรรณ พูดจากระตุ้งกระติ้งเหมือนผู้หญิง ในดวงตาเรียวเฉียงฉายประกายลามก
หญิงงามคนนั้นได้แต่หลับตาน้ำตาไหลอาบ ไม่พูดอะไรตอบ
“หึๆ ถังฮูหยิน เจ้าเหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่แล้ว รีบๆ ตัดสินใจเสียเถอะ หลังจากนี้สามวันจะเป็นวันคัดเลือกนางคณิกาอันดับหนึ่ง ฮิๆ เจ้าก็นับว่าเป็นของชั้นยอดในวันนั้นเหมือนกัน ข้าจะให้เวลาเจ้าเป็นวันสุดท้าย เจ้าคิดให้ดีๆ หากยังดื้อดึงอีก เช่นนั้นข้าก็ต้องใช้ไม้แข็งแล้ว คิดให้ดีๆ ลูกสาวเจ้ายืนหยัดต่อไปได้ไม่นานเท่าไหร่แล้ว”
หญิงงามยังคงน้ำตาไหลริน
ชายวัยกลางคนแค่นเสียงเย็น หมุนตัวจะจากไป
ทันใดนั้น ลูกสาวคนโตถังถังเอ่ยปาก “ข้ารับปากเจ้า…”
“หืม? เจ้าว่าอะไรนะ?” ผู้รับผิดชอบเผยสีหน้าชั่วร้าย หันกลับมามอง มุมปากมีรอยยิ้มบาง
“ข้ารับปากเจ้า เจ้าว่าอย่างไรข้าก็รับปาก เจ้าปล่อยมารดากับน้องสาวข้าไปดีหรือไม่?” ถังถังพุ่งไปข้างซี่กรงเหล็ก พูดด้วยท่าทางสับสนลนลาน
“ฮ่าๆๆๆ เด็กน้อย เจ้าคิดได้ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว ใครจะกล้าปล่อยพวกเจ้าแม่ลูกออกไปล่ะ?” ผู้รับผิดชอบมองถังถังอย่างสงสาร “พวกเจ้าคือนักโทษฉกรรจ์ พระบัญชาของฝ่าบาทคือให้พวกเจ้าสามแม่ลูกเป็นนางโลมไปชั่วชีวิต ชดใช้ความผิดของพ่อเจ้า เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้า?”
“เจ้า…” ถังถังอึ้งตะลึง
“สามวันหลังจากนี้จะเป็นวันประมูล ถึงตอนนั้นหากพวกเจ้ายังไม่ยอม เช่นนั้นพวกเราจะต้องใช้วิธีการบางอย่าง หึๆ อย่างไรก็รับประกันว่าจะไม่อดตายก่อนประมูลออกไปได้ก็พอแล้ว” ผู้รับผิดชอบคนนั้นหัวเราะน่าขนลุก ไม่มีความเห็นอกเห็นใจแม้แต่น้อย หมุนตัวจากไปแค่นเสียงเย็น “ยอมเสียแต่เนิ่นๆ จะได้เจ็บตัวน้อยลงหน่อย ฮิๆ หากพวกเจ้าไม่อยากแก้แค้น ไม่อยากล้างความผิดให้ขุนพลถัง ก่อนวันประมูลก็รีบๆ ฆ่าตัวตายไปเสีย จะได้ไม่ต้องอัปยศอดสู”
ประโยคสุดท้ายต่างหากถึงจะอำมหิตเป็นที่สุด หยุดความคิดที่จะฆ่าตัวตายของสามแม่ลูกได้ทันควัน…ไม่สิ ถังมี่ยังเล็ก ยังไร้เดียงสา ดังนั้นควรพูดว่าหยุดความกล้าที่จะฆ่าตัวตายของถังฮูหยินและถังถังไว้ ทั้งยังทำลายความคิดที่จะฆ่าตัวตายของพวกนางด้วย
ใช่แล้ว ต้องมีชีวิตต่อไปล้างมลทินให้บิดา (สามี)
ขุนนางชั่วใส่ร้ายบิดา (สามี) จนตาย ต้องแบกชื่อว่าก่อกบฏอันน่าอัปยศ ตายตาไม่หลับ ตอนนี้ในโลกนี้มีเพียงแค่พวกนางสามแม่ลูกที่ยังเชื่อในความภักดีของชายคนนั้นมาโดยตลอด หากพวกนางตายจะมีใครไปต่อสู้?
เห็นเพียงความเข้มแข็งและความตั้งใจจะจบชีวิตในแววตาของสตรีทั้งสองหายไป ซ้ำยังหม่นหมองลงอย่างรวดเร็วดั่งสะเก็ดไฟเสี้ยวสุดท้ายในกองขี้เถ้าท่ามกลางฝนกระหน่ำ
ผู้รับผิดชอบคนนั้นแค่นเสียงเย็น สั่งการคนที่ดูแลรอบๆ เสียงดังว่าอย่าให้แม้แต่น้ำหนึ่งหยดข้าวหนึ่งเม็ดกับทั้งสามแม่ลูก แล้วถึงจะหันกายจากไป
‘พี่ถัง วิญญาณของท่านบนสวรรค์ช่วยคุ้มครองข้าและถังถังด้วย พี่ถัง ข้า…ควรจะทำอย่างไรดี’
ใจของหญิงงามใกล้จะแหลกสลายแล้วเต็มที
หากนางมีตัวคนเดียวคงเชือดคอตายไปเป็นเพื่อนสามีในยมโลกนานแล้ว แต่นี่ยังมีลูกสาวสองคน นี่คือสายเลือดสุดท้ายของตระกูลถัง ตัวเองตายไปแล้วลูกสาวทั้งสองคนจะทำอย่างไร? อายุยังน้อย เส้นทางชีวิตเพิ่งจะเริ่ม…ใจของสตรีคนงามเจ็บปวดราวถูกมีดกรีด
ใครก็ได้มาช่วยพวกเราที
ใจของนางกำลังหลั่งเลือด
เมื่อตอนนั้น ยามที่สามีของนางยังมีชีวิต เขามีน้ำใจและจริงใจ ช่วยเหลือคนไปไม่รู้ต่อเท่าไหร่ มาวันนี้ใครเล่าจะมาช่วยพวกนาง?
“ร้องไห้อะไรกัน ทำเป็นแต่ร้องไห้” เสียงใสกังวานดังมาจากข้างๆ “พวกเจ้าสตรีชาวฉินช่างขี้ขลาดนัก”
ห่างออกไปประมาณสองจั้ง ในกรงเหล็กอีกกรงหนึ่ง หญิงสาวชาวที่ราบทุ่งหญ้าที่อยู่ข้างในนั้นตำหนิเสียงดัง “ตรองดูว่าจะช่วยลูกสาวเจ้าอย่างไร อย่าเอาแต่ร้องไห้…หึ น้ำตาของสตรีมีให้ชายคนรักเห็นได้เท่านั้น อย่าให้ศัตรูเห็นเด็ดขาด”
หญิงงามวัยกลางคนมองอีกฝ่ายแวบหนึ่ง
นางรู้ว่าอีกฝ่ายคือหญิงสาวที่ถูกลักพาตัวมาจากที่ราบทุ่งหญ้า
สตรีคนนี้และยังมีสหายที่ราบทุ่งหญ้าของนางอีกหลายสิบคนล้วนอยู่ในหน่วยเลี้ยงรับรอง เผชิญชะตากรรมเหมือนพวกนางสามคนแม่ลูก ถูกข่มขู่ ใช้ผลประโยชน์ยั่วยวน แต่ว่าสตรีที่ราบทุ่งหญ้าคนนี้เหมือนจะเป็นหัวหน้า ดังนั้นจึงได้รับความสำคัญ ถูกแยกจากเหล่าสหายมาขังอยู่ในเรือนแห่งนี้
แต่เดิมคิดว่าสตรีคนเถื่อนจากทุ่งหญ้าน่าจะเป็นสตรีป่าเถื่อนฟันคมหน้าตาดุดัน ใครจะรู้ว่าที่แท้แล้วพวกนางงดงามจนน่าอัศจรรย์ หญิงชาวที่ราบทุ่งหญ้าที่พูดคนนี้งามจนน่าตกใจ ดุจดอกไม้หนามเลือดที่เบ่งบาน สวยจนแม้แต่สตรีคนงามยังต้องตะลึง
เพียงแต่น่าเสียดาย
หญิงสาวที่งดงามจนชวนให้ตะลึงงันเช่นนี้กลับต้องมาเป็นนักโทษ ตลอดมาจักรวรรดิฉินกับชนเผ่าที่ราบทุ่งหญ้าไม่ลงรอยกัน จุดจบของทาสสาวที่ราบทุ่งหญ้าเหล่านี้จะต้องตกเป็นของเล่น น่าอนาถเป็นอย่างยิ่งแน่นอน ยิ่งสวยเท่าใดก็ยิ่งน่าเวทนา
แน่นอน สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจและนับถือก็คือ สตรีงามเฉิดฉันที่ทำให้คนตะลึงงันผู้นี้แข็งแกร่งสง่างามนัก ถึงแม้จะถูกล่ามไว้ ใส่โซ่ตรวนเหล็กดำที่หนาและหนัก แต่ก็ยังคงแข็งแกร่ง ไม่ยอมศิโรราบมาโดยตลอด ประหนึ่งจะไม่มีวันละทิ้งความหวัง ไม่ว่าผู้รับผิดชอบจะชี้นำ ข่มขู่ ล่อใจอย่างไร ก็ไม่ถอยหนีแม้แต่น้อย เต็มไปด้วยความป่าเถื่อนเสมือนแม่เสือดาวกลางท้องทุ่งหญ้าก็ไม่ปาน
ตุบ
ท่ามกลางเสียงแผ่วเบา หมั่นโถวแข็งแห้งครึ่งลูกร่วงลงที่ข้างเท้าของสตรีคนงาม
สตรีคนงามมองไปยังหญิงสาวที่ราบทุ่งหญ้าอย่างตกใจ
นางโยนหมั่นโถวมาให้
นางแอบเก็บอาหารเอาไว้ ทำได้อย่างไรกัน?
อีกทั้งตัวนางเองก็ไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว ไยจึงยอมสละโยนมาให้?
“มองอะไร ข้าให้ลูกสาวเจ้า” ผมทองหยิกลอนตามธรรมชาติยุ่งเหยิง ปรกอยู่ตรงหว่างคิ้วของทาสสาวชาวทุ่งหญ้าผู้งดงาม นางมองเด็กหญิงตัวน้อยที่ขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของสตรีคนงาม สายตาอ่อนโยนลงเล็กน้อย “ในที่ราบทุ่งหญ้า เด็กน้อย…ไม่ควรได้รับการทรมานแบบนี้”
“ขอบคุณ ขอบคุณ” สตรีคนงามรีบเก็บหมั่นโถว เอ่ยขอบคุณด้วยความดีใจทั้งน้ำตา
นางบิออกเป็นชิ้นเล็ก เคี้ยวให้ละเอียด ใช้น้ำลายของตนอมเอาไว้ จากนั้นป้อนเข้าไปในปากของบุตรสาวคนเล็กที่ทั้งหิวทั้งกลัวจนสลบไปแล้ว
จากนั้นก็ให้ลูกสาวคนโตไปก้อนหนึ่ง
“ท่านแม่ ข้าไม่หิว” ในปากของถังถังแห้งผาก แม้แต่น้ำลายก็ไม่มีแล้ว อวัยวะภายในราวถูกเผาไหม้ แต่ก็ยังส่ายหน้าบอก “ท่านแม่ ท่านกับน้องกินเถิด ข้าไม่หิวเลยสักนิด”
ผ่านไปครู่หนึ่ง
ผู้รับผิดชอบคนนั้นมาข้างๆ กรงเหล็กของทาสสาวคนนั้นอีก และใช้ภาษาที่ราบทุ่งหญ้าโน้มน้าวอะไรบางอย่างเสียงดัง
เห็นแต่หญิงที่ราบทุ่งหญ้าคนนั้นถ่มน้ำลายใส่หน้าของผู้รับผิดชอบทันที ก่อนก่นด่าเสียงดัง ถึงแม้จะเป็นนักโทษ แต่สีหน้าบนใบหน้างดงามเป็นที่หนึ่งกลับฉายแววหยิ่งยโสทระนงตนไม่เปลี่ยนแปลง
“นังทาสแพศยา รนหาที่ตาย จัดการมันให้หนัก” เสียงโมโหของผู้รับผิดชอบดังก้องในเรือนหลังเล็ก
ข้างกายของเขามีจอมเวทคนหนึ่งอยู่ด้วย มันใช้วิชาเวทชั่วร้ายบางอย่างทรมานทาสสาว ร่างของนางสั่นสะท้านรุนแรง เหงื่อไหลออกมาไม่ต่างจากสายน้ำ แต่ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ก่นด่าสาปส่งเสียงดัง เงยหน้าขึ้นอย่างหยิ่งทะนง ทรงอำนาจไม่อ่อนข้อให้
สุดท้าย ผู้รับผิดชอบคนนั้นด่าว่าอย่างหนักหน่วง แล้วจึงพาจอมเวทที่เหนื่อยจนไม่ไหวแล้วจากไป
“เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” สตรีคนงามถามอย่างเป็นห่วงยิ่ง
เผชิญชะตากรรมแบบเดียวกันมา ตอนนี้นางกลับรู้สึกว่าใกล้ชิดสนิทสนมกับสตรีที่ราบสูงต่างเผ่าคนนี้มากกว่าผู้รับผิดชอบหน่วยเลี้ยงรับรองคนฉินเสียอีก นางรู้สึกเป็นห่วงสตรีผู้นี้
“ลูกหลานของเทพหมาป่าจะศิโรราบต่อวิธีแบบนี้ได้อย่างไร” นางพูดเสียงเย็นยะเยือก
หลังจากถูกทรมานจากวิชาเวทประมาณหนึ่งชั่วยาม เทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้าผู้นี้เหงื่อไหลโซมกายเหมือนอาบน้ำ ริมฝีปากปริแตกเลือดไหล สีหน้าขาวซีดเพราะเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส แต่จิตใจกลับยังแข็งแกร่งดั่งศิลา
ขณะมองร่างของผู้รับผิดชอบจากไป นัยน์ตาของเทพธิดาสงครามแห่งที่ราบทุ่งหญ้าผู้นี้ฉายแววหยามเหยียดและอาฆาต แววตาเช่นนั้นทำให้คนไม่สงสัยเลยสักนิด หากนางหลุดพ้นไปได้จะต้องฉีกผู้รับผิดชอบคนนั้นพร้อมทั้งจอมเวทที่สำแดงวิชาออกเป็นชิ้นๆ อย่างแน่นอน
………………………………