ในขณะเดียวกัน
หลี่มู่ขี่เสือดาวเบญจมาศกลับมายังหอสดับเซียน
“คุณชายกลับมาแล้ว” ใบหน้าของฮวาเสี่ยงหรงเผยรอยยิ้มดีใจ เหมือนภรรยาตัวน้อยรอสามีกลับมา ยื่นผ้าร้อนเช็ดหน้าให้หลี่มู่อย่างเป็นธรรมชาติมาก ขณะเดียวกันก็รับเสื้อคลุมตัวนอกที่หลี่มู่ถอดให้มาแขวนไว้บนราวแขวนเสื้อข้างๆ
ช่วงสามวันห้าวันที่ผ่านมานี้ หลี่มู่นอกจากไปดูดพลังวิญญาณชีพจรมังกรที่สุสานทหารแล้ว เวลาที่เหลือล้วนอยู่ที่หอสดับเซียน ไม่ได้กลับไป ‘เรือนซอมซ่อ’ ที่ตรอกไล่หมูเลย
“ฮวาเอ๋อร์ฝึกฝนวันนี้ได้ผลอะไรมาหรือไม่?” หลี่มู่นั่งลงดื่มชา ยิ้มพลางเอ่ยถาม
ฮวาเสี่ยงหรงพยักหน้าอย่างตื่นเต้นแล้วประสานปางมือ สายลมเย็นกลุ่มหนึ่งพัดกวาดออกมาจากฝ่ามือของนาง พัดฝุ่นละอองบนเสื้อหลี่มู่จนสะอาดสะอ้าน พูดว่า “ข้ารู้สึกว่าพลังจิตวิญญาณถึงขั้นสี่ดาวแล้ว…” จากการถ่ายทอดวิชาและการอธิบายของหลี่มู่ในหลายวันมานี้ ตอนนี้ฮวาเสี่ยงหรงเข้าใจขอบเขตการฝึกฝนทั้งหลายแล้ว ไม่ใช่คนโง่เรื่องการฝึกพลังเหมือนอย่างเมื่อแรกเริ่ม
‘จอมเวทระดับพลังจิตวิญญาณขั้นสี่ดาว กำลังรบของนางเท่ากับขั้นรวมปราณสูงสุดแล้ว ก้าวไปอีกขั้นก็จะเป็นขั้นรวมจิต’ หลี่มู่จำต้องยอมรับ
เวลาไม่ถึงสิบวัน จากคนธรรมดาที่ไม่เข้าใจเรื่องการฝึกยุทธ์กลายเป็นจอมเวทสี่ดาว เทียบเท่ายอดฝีมือระดับหนึ่งขั้นรวมปราณสูงสุด ฮวาเสี่ยงหรงใช้วิธีการที่น่าตื่นตะลึงจบเส้นทางการฝึกฝนที่หลายคนต้องใช้เวลาสามปีห้าปีถึงจะสำเร็จ หากเรื่องนี้เล่าลือออกไปจะต้องสร้างความแตกตื่นฮือฮาอย่างแน่นอน
ข้อดีต่างๆ ของการฝึกฝน ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ฉบับง่ายแสดงออกมาให้เห็นจากร่างกายของฮวาเสี่ยงหรงแล้ว
และการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดที่สุดคือรูปลักษณ์ภายนอกกับบุคลิก
เทียบกับก่อนฝึกฝน ผิวพรรณของฮวาเสี่ยงหรงยิ่งขาวเนียนมีน้ำมีนวลราวกับหยกมันแพะชิ้นงาม ผิวเหมือนแผ่รัศมีอ่อนๆ ความสง่าเหนือขึ้นไปอีกขั้น ยิ่งดูสวยจับใจหาใดเปรียบ บริสุทธิ์ไร้มลทิน ไม่แปดเปื้อนธุลี เสมือนเทพธิดาแห่งจันทราจุติจากสวรรค์ชั้นฟ้าลงมายังโลกมนุษย์
มีหลายครั้งที่ท่านแม่ไป๋แห่งหอสดับเซียนเดินเข้ามา แววตาที่มองนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
หรือนี่จะเป็นการหล่อเลี้ยงจากความรัก? นับจากที่ติดตามหลี่มู่ เด็กสาวคนนี้ก็ยิ่งสวยตราตรึงใจ คิ้วตาเต็มไปด้วยความรักใคร่ แต่ก่อนฮวาเสี่ยงหรงเหมือนบุปผารอผลิบาน ส่วนตอนนี้เป็นบุปผาแดนเซียนบานสะพรั่ง งดงามชวนให้ตะลึง
“ดี สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของการฝึกฝนวิชาเต๋าคือโดนประชิดตัว ดังนั้นวิชาที่ข้าสอนให้เจ้าก่อนหน้านี้จึงล้วนเป็นวิชาเต๋าป้องกัน เจ้าฝึกฝนได้ดีมาก วันนี้ข้าจะถ่ายทอดวิชาเต๋าป้องกันตัวเองที่ต่างไปจากเดิมให้ วิชาที่จะถ่ายทอดให้วันนี้เป็นวิชาโจมตีสังหาร เจ้าต้องรับรู้ให้ละเอียด” หลี่มู่บอก
ในด้านการฝึกฝนฮวาเสี่ยงหรง หลี่มู่ตั้งใจจริงๆ
“คุณชายวางใจเถิด ข้าจะตั้งใจศึกษาแน่นอน” ฮวาเสี่ยงหรงเอ่ยอย่างคล้อยตาม
สำหรับวิชาเต๋า นางก็เหมือนเด็กน้อยที่เห็นของเล่นน่าสนุก เมื่อแรกเริ่มก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นจริงๆ แต่ภายหลังค่อยๆ สูญเสียซึ่งความกระตือรือร้นนั้นไป แต่เหตุผลเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้นางศึกษาต่อไปอย่างสนอกสนใจและยอมอดทนฝึกฝนก็คือหลี่มู่
เทียบกับการสำเร็จวิชาเต๋าบางวิชาได้ สิ่งที่ทำให้นางมีความสุขที่สุดคือระหว่างที่ได้ศึกษาวิชาเต๋ากับหลี่มู่ สตรีที่จมอยู่ในความรักล้วนตาบอดกันทั้งสิ้น ความรักทำให้คนกลายเป็นคนบ้าหรือคนโง่ได้ง่ายดายนัก
ฮวาเสี่ยงหรงไม่ได้คิดเลยแม้แต่น้อยว่า วิชาเต๋าที่หลี่มู่ถ่ายทอดให้พวกนี้ล้ำค่าและพิเศษมากพอจะสั่นคลอนโลกนี้อย่างไร
ส่วนหลี่มู่ที่ใจมุ่งแต่ฝึกฝนและยกระดับพลังก็ไม่ได้คิดเลยสักนิดว่าเทพธิดาแห่งแสงที่ปฏิเสธไม่ไว้หน้าชายคนไหน กลับเชื่อฟังและคล้อยตามเขามากเพียงใด
สองคนนี้ ชายหญิงคู่นี้ จมอยู่ในห้วงอารมณ์ของตนเอง อิ่มอกอิ่มใจและมีความสุข
เขาและนางพูดได้ว่าอยู่ในความสุขแต่ไม่รู้จักความสุข
แต่จะว่าไปแล้ว อะไรถึงจะเป็นความสุขที่แท้จริง พวกเขาที่ตอนนี้ยังอ่อนเยาว์จะรู้ซึ้งชัดเจนได้อย่างไร?
มีบางเรื่อง มีบางคน ต้องได้ผ่านได้เห็นได้ลองมาก่อน ยามหันกลับไปมองถึงจะแบ่งแยกได้ชัดเจน
ที่ไม่รู้จักหน้าตาของเขาหลูซาน ก็เพียงเพราะตัวอยู่ในเขาหลูซาน
เนื่องเพราะผู้อยู่ในสถานการณ์มักมองไม่ทะลุปรุโปร่ง
หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วยาม หลี่มู่ก็ถ่ายทอดวิชาเวทอัสนีเช่น ‘เหนี่ยวอัสนีสวรรค์’ ‘อัสนีสวรรค์ฟาดผ่า’ ‘ห้าสายฟ้าสำเร็จโทษ’ รวมแล้วสิบเอ็ดวิชาให้กับฮวาเสี่ยงหรงทั้งหมด
จากตื้นไปลึก แรกเริ่มฮวาเสี่ยงหรงไม่ค่อยเข้าใจ แต่ภายหลังจู่ๆ ก็เหมือนค้นพบแล้ว จึงศึกษาเป็นได้เร็วขึ้นเรื่อยๆ แค่ฝ่ามือทำปางมือ แสงอัสนีก็เกิดขึ้นในมือขาวเนียน
โชคดีที่หลี่มู่วางค่ายกลสกัดกั้นเก็บกลิ่นอายเอาไว้รอบๆ ห้อง
มิฉะนั้น น่ากลัวว่าคงทำให้ ‘คนไม่ประสงค์ดี’ บางคนข้างนอกตื่นตระหนกแล้ว
“พี่มู่ ข้าเรียนได้เป็นอย่างไร?” ดวงตาของฮวาเสี่ยงหรงสุกสว่าง ความน่ารักออดอ้อนที่มีเพียงหลี่มู่เท่านั้นจึงจะได้เห็นฉายออกมาบนใบหน้าเรียวขาวเนียนโดยไม่ปิดเอาไว้แม้แต่น้อย คบค้าอยู่ด้วยกันนานเข้า ก็ไม่รู้ว่าคำเรียกขานเปลี่ยนจากคุณชายมาเป็นพี่มู่ตั้งแต่เมื่อไหร่
มุมปากหลี่มู่กระตุกเล็กน้อย “พอใช้ ถูๆ ไถๆ ไปได้”
บ้าจริง คนเราไม่ควรเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นจริงๆ สินะ
ความเร็วในการเรียนรู้วิชาเต๋าของฮวาเสี่ยงหรงเหมือนอัจฉริยะไอคิวหนึ่งร้อยห้าสิบกำลังทำโจทย์คณิตศาสตร์ของเด็กประถม ทั้งเร็วทั้งแม่นยำ ต่อให้เป็นหลี่มู่ก็เทียบไม่ได้ ความน่ากลัวของกายเต๋าฟ้าประทานแห่งแสงสำแดงออกมาอย่างเต็มที่แล้วในตอนนี้ นั่นเป็นคุณสมบัติกายที่เหมาะกับเต๋าโดยกำเนิดจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อฝึกฝนวิชาเต๋า แทบจะเรียกได้ว่าดูผ่านตาก็จำได้ไม่ลืม พิสดารเป็นที่สุด
นี่ก็เป็นจุดที่หลี่มู่ยิ่งยืนยันตัดสินใจจะถ่ายทอดวิชาเต๋าให้นางอย่างแน่วแน่
เทพแห่งวิชาเต๋าไร้เทียมทานที่ห้อตะลุยทั่วห้วงจักรวาลกำลังฝึกฝนอย่างช้าๆ
แน่นอน นี่เป็นแค่วิชาเต๋าเท่านั้น การฝึกฝนกำลังภายในวิชายุทธ์จะไม่เร็วขนาดนี้
ฝึกฝนวรยุทธ์ต้องใช้เวลาอดทนฝึกในระดับหนึ่ง และก็ให้ความสำคัญกับพื้นฐานตั้งแต่ยังเล็ก ฮวาเสี่ยงหรงตอนนี้อายุสิบหก พลาดช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการฝึกยุทธ์ไปแล้วจริงๆ เทียบกับร่างกายที่ฝึกฝนมาแต่เด็กและเหล่าอัจฉริยะที่ฝึกฝนลมปราณแล้วยังรั้งท้ายอยู่มาก ดังนั้นหลี่มู่จึงไม่คิดให้ฮวาเสี่ยงหรงฝึกวิชายุทธ์ ไม่มีความจำเป็น ให้สาวงามพริ้มเพราแบบนี้ไปฝึกฝนร่างกายเหมือนกับชายชาตรีฝึกฝนหมัดมวย เช่นนั้นช่างเสียของยิ่งนัก
หลี่มู่กำหนดทิศทางของฮวาเสี่ยงหรงเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว นั่นก็คือเทพแห่งวิชาเต๋านั่นเอง
วิชาเต๋าที่ซินแสเฒ่าถ่ายทอดให้ ควบคู่กับกายเต๋าฟ้าประทานแห่งแสง อีกไม่นานเท่าไหร่ฮวาเสี่ยงหรงจะต้องกลายเป็นเทพแห่งวิชาเต๋าที่แข็งแกร่งที่สุดในดาวดวงนี้แน่นอน ในชั่วความคิดสามารถพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทร ย้ายขุนเขาได้ ต่อให้ให้เป็นเจ้าสำนักเทพทั้งเก้าก็ไม่ใช่คู่มือของนาง
ครู่หนึ่ง ซินเอ๋อร์เดินเข้ามา แจ้งว่าท่านแม่ไป๋เซวียนมีเรื่องขอพบ
หลี่มู่ยิ้ม พยักหน้าตอบตกลง
ไม่นาน ไป๋เซวียนผู้งามสง่าก็เข้ามา
นางทักทายหลี่มู่ จากนั้นพูดกับฮวาเสี่ยงหรง “หน่วยเลี้ยงรับรองให้คนมาส่งข่าว น้องสาว เจ้าเข้ารอบยี่สิบอันดับแรกของการแข่งขันชิงตำแหน่งคณิกาอันดับหนึ่งครั้งนี้แล้ว หลังจากนี้สามวันจะจัดพิธีเปิดการคัดเลือกที่ ‘หอโอบเมฆา’ จะมีงานประกวดนางคณิกาก่อน ต่อมาถึงเป็นพิธีประมูลอันยิ่งใหญ่ ประมูลสตรีตระกูลขุนนางบางคน โดยเฉพาะภรรยาและบุตรสาวของอดีตขุนพลเจิ้นกั๋ว[1] ทั้งยังมีทาสสาวที่จับมาจากที่ราบทุ่งหญ้า…”
จากคำของไป๋เซวียน แต่เดิมวันประมูลตัวภรรยาและบุตรสาวของขุนพลถังผ่านมานานแล้ว แต่เพื่อช่วยเพิ่มบรรยากาศงานประกวดนางคณิกา จึงเปลี่ยนวันประมูลมาเป็นวันเดียวกันกับวันประกวดเสีย
ไป๋เซวียนแนะนำขั้นตอนทั้งหมด
ด้วยชื่อเสียงของฮวาเสี่ยงหรงในเมืองฉางอันตอนนี้ การเข้ารอบยี่สิบอันดับแรกแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ง่ายแสนง่าย
แต่ว่าหลี่มู่ฟังคำของท่านแม่ไป๋แล้ว ก็ไม่รู้ทำไมถึงได้นึกถึงภาพขบวนรถบุปผชาติของหน่วยเลี้ยงรับรองในตอนที่มาถึงเมืองฉางอันวันนั้น ภาพหญิงสาวที่ราบทุ่งหญ้าที่อยู่ในกรงเหล็กเหล่านั้นผุดขึ้นมาในหัวทันที
โดยเฉพาะหญิงสาวที่ถูกขนานนามว่าเป็นธิดาเทพแห่งวิหารเทพหมาป่า หน้าตางดงามวิเศษสุด ราวอสูรเทพยุทธ์หญิงอย่างไรอย่างนั้น
พี่ใหญ่กัวอวี่ชิง ตอนนั้นก็มาจากที่ราบทุ่งหญ้าเช่นกัน
น่าเสียดาย สตรีเช่นนี้ต้องตกอยู่ในกรงเล็บมาร
หลี่มู่ทอดถอนใจ
จากนั้นก็ได้ยินไป๋เซวียนพูดอย่างชื่นมื่นว่า “ได้ยินว่าครั้งนี้หน่วยเลี้ยงรับรองจะจัดให้ยิ่งใหญ่อลังการ ใช้ความคิดความสามารถไปไม่น้อย วันนี้ในเมืองฉางอันเลยมีคนใหญ่คนโตของเมืองรอบๆ มาไม่น้อย คึกคักและยิ่งใหญ่กว่างานประกวดนางคณิกาครั้งไหนๆ หากน้องฮวาได้ที่หนึ่งมา กระทั่งว่ามีหวังที่จะได้ตำแหน่งสาวงามอันดับหนึ่งของจักรวรรดิฉินตะวันตก ถึงตอนนั้นหอสดับเซียนของเราก็จะลืมตาอ้าปากได้แล้วจริงๆ”
ฮวาเสี่ยงหรงกลับส่ายหน้าอย่างสงบนิ่ง ไม่มีท่าทีวาดฝันแม้แต่น้อย “ข้าติดตามพี่มู่แล้ว ไม่สนใจตำแหน่งสาวงามอันดับหนึ่งอะไรแม้แต่น้อย เพียงแค่คิดอยากจะช่วยท่านแม่สร้างชื่อเสียงให้หอสดับเซียน ตอบแทนบุญคุณที่คอยปกป้องในช่วงหลายปีมานี้ อีกอย่างด้วยหน้าตาของข้า หากคิดอยากจะเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของจักรวรรดินั้นยังห่างชั้นอีกไกล”
ไป๋เซวียนยิ้ม ไม่ได้โต้แย้งอะไร
พูดตามความจริงแล้ว หากเป็นเมื่อก่อน ฮวาเสี่ยงหรงคิดจะชิงตำแหน่งสาวงามอันดับหนึ่งยังห่างไปอีกนิดจริงๆ
แต่ว่าในช่วงที่ผ่านมานี้ บางทีอาจจะเป็นเพราะการหล่อเลี้ยงบำรุงจากความรัก หรือบางทีอาจเป็นเพราะเหตุผลอื่น สรุปแล้วฮวาเสี่ยงเหมือนเปลี่ยนเป็นคนใหม่ รูปโฉมบุคลิกดีวันดีคืน ทั่วร่างเหมือนห้อมล้อมด้วยละอองหมอกสีขาวดุจเทพเซียน ลึกลับบริสุทธิ์ งามเลิศอย่างที่สุด
ต่อให้เป็นแม่เล้าที่เห็นสาวงามจนชินอย่างไป๋เซวียน บางทีเมื่อได้เห็นฮวาเสี่ยงหรงก็ยังใจเต้นโครมคราม บุคลิกหน้าตาแบบนี้ ชิงตำแหน่งสาวงามอันดับหนึ่งของจักรวรรดิก็ใช่ว่าจะไม่มีหวังเลย
จู่ๆ หลี่มู่ก็ถามขึ้น “ภรรยาและบุตรสาวของขุนพลเจิ้นกั๋วถูกส่งมาหน่วยเลี้ยงรับรองได้อย่างไร?”
ถึงแม้บอกว่าหน่วยเลี้ยงรับรองเอาไว้ลงโทษสตรีตระกูลขุนนางที่กระทำผิด แต่ขุนพลเจิ้นกั๋วจะอย่างไรก็เป็นขุนนางขั้นหนึ่งชั้นเอก ไม่รู้ว่าทำอะไรผิด จุดจบถึงได้น่าเวทนาเช่นนี้ แม้แต่ลูกและเมียก็ไม่อาจปกป้องได้ อีกทั้งขุนนางระดับนี้ต่อให้บ้านแตกสาแหรกขาด ตามหลักแล้วก็ไม่ควรถูกส่งมาที่หน่วยเลี้ยงรับรองเมืองฉางอัน ปกติแล้วต้องส่งไปที่หน่วยเลี้ยงรับรองเมืองฉินมิใช่หรือ?
……………………………………………………
[1]ขุนพลเจิ้นกั๋ว สมัยราชวงศ์หมิงคือตำแหน่งของขุนนางทหารขั้นหนึ่งชั้นเอก