“ใช่แล้ว เวรกรรมแท้ๆ ขุนพลเจิ้นกั๋วถังฉงเคยเป็นขุนนางที่สร้างคุณูปการให้กับจักรวรรดิ ใสซื่อมือสะอาด ซื่อสัตย์สุจริต ได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในสี่แม่ทัพเทพของจักรวรรดิ ก็ไม่รู้ว่าทำไมในเวลาแค่คืนเดียวถึงบ้านแตกสาแหรกขาด น่าสงสารที่ภรรยาและลูกสาวของเขาต้องได้รับโทษแบบนี้” ไป๋เซวียนพูดไปตามปาก ทอดถอนใจเล็กน้อย
หลี่มู่ได้ยินแล้วรู้สึกเห็นใจอยู่บ้าง
“ได้ยินมาว่าขุนนางโฉดชั่วบางคนที่เคยถูกขุนพลเจิ้นกั๋วลงทัณฑ์แค้นเคืองอยู่ในใจ จึงมาเมืองฉางอันโดยเฉพาะ รองานประมูลเริ่มแล้วจะแย่งตัวลูกสาวและภรรยาของขุนพลถังกลับไปเหยียบย่ำหยามหมิ่น… ” ท่านแม่ไป๋เซวียนเห็นหลี่มู่สนใจ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดมากขึ้นอีกสามสี่ประโยค
ในส่วนที่ว่าทำไมถึงพูดแบบนี้
ในใจนางคงจะเห็นอกเห็นใจลูกสาวและภรรยาม่ายที่ไม่เคยพบหน้านั่นกระมัง
“ขุนพลถังไม่มีสหายยื่นมือช่วยเหลือเลยหรือ?” ฮวาเสี่ยงหรงเอ่ยปากถามอย่างอดไม่ได้ นางสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง คิดถึงชะตาที่ตนเคยประสบ ยังดีที่ตัวเองถูกเลือกส่งมายังหอสดับเซียน
“ได้ยินว่าก็มีคนช่วย แต่กลับโดนทำร้ายเสียเอง สหายของขุนพลถังตายเพราะเหตุนี้ไม่น้อย เพราะบุคคลยิ่งใหญ่ที่ขุนพลถังล่วงเกินยามมีชีวิตคือองค์ชายพระองค์หนึ่งของจักรวรรดิ” ท่านแม่ไป๋กล่าว “เฮ้อ น่าสงสารเสียจริง ซื่อตรงมาทั้งชีวิต สุดท้ายกลับลงเอยแบบนี้”
หลี่มู่เอ่ยถาม “ในเมื่อขุนพลถังผู้นี้ใสซื่อมือสะอาด และยังจงรักภักดีต่อจักรวรรดิ ซ้ำยังเคยสร้างคุณูปการครั้งใหญ่ เช่นนั้นทำไมจักรพรรดิฉินสังหารเขา นั่นไม่เป็นการทำลายตัวเองหรอกหรือ?”
“นี่…ก็ไม่อาจทราบได้ บางทีอาจเป็นเพราะขุนนางโฉดใส่ร้ายกระมัง” ไป๋เซวียนเอ่ย
“หึๆ ขุนนางโฉดใส่ร้าย จะไปปกปิดจักรพรรดิปราดเปรื่องที่แท้จริงได้อย่างไรกัน ท่าทางจักรพรรดิฉินองค์ปัจจุบันก็เป็นแค่จักรพรรดิเลอะเลือนเท่านั้น” หลี่มู่ว่าไปตามปาก
ไป๋เซวียนและฮวาเสี่ยงหรงตกใจใหญ่
“คุณชายโปรดระวังวาจาด้วย” ไป๋เซวียนรีบร้อนบอก
หลี่มู่ส่ายหน้าพลางหัวเราะ ไม่สนใจแม้แต่น้อย
เขาไม่เอาจักรพรรดิของโลกนี้มาใส่ใจแม้แต่น้อย กลับเป็นเจ้าสำนักเทพสายยุทธ์พวกนั้น เขาจึงจะยังพอสนใจใคร่รู้สักหน่อย
ไป๋เซวียนเอ่ยขอตัวจากไป
แต่ผ่านไปแค่สักครู่นางก็กลับมา สีหน้าไม่เป็นธรรมชาติอยู่หลายส่วน “คุณชาย มีคนอยู่ข้างนอกมาขอพบท่าน”
หลี่มู่พูดทันที “ไม่พบ”
“นี่…” ไป๋เซวียนอยากจะพูดแต่ก็หยุดเอาไว้ “คุณชายเอ่ยปากเองเถิด ข้าขวางเอาไว้ไม่อยู่…”
ยังพูดไม่ทันจบ จอมยุทธ์กลางคนสวมเกราะอ่อนคนหนึ่งก็บุกเข้ามาจากด้านนอก กล่าวว่า “คุณชายหลี่มู่ วางท่าใหญ่โตนัก ข้ารับพระบัญชาจากองค์ชายของข้า มาส่งเทียบเชิญให้…”
หลี่มู่ขมวดคิ้ว “เป็นเจ้าอีกแล้ว?”
เขาจำจอมยุทธ์วัยกลางคนคนนี้ได้ ก่อนหน้านี้เคยเจอที่หน้าตรอกไล่หมู่ครั้งหนึ่ง มาส่งเทียบเชิญอะไรสักอย่าง บอกว่าองค์ชายของพวกเขาชื่นชมพรสวรรค์และความสามารถของตนมาก ดังนั้นจึงอยากจะชักชวนให้มารับใช้ ชักชวนมารดาเจ้าสิ ตอนนั้นหลี่มู่ไม่ใส่ใจเลย กล่าวเช่นนี้ไม่ได้โม้โอ้อวด บนดาวดวงนี้ คนที่จะให้ผู้ใกล้เป็นเซียนอย่างหลี่มู่ไปรับใช้ยังไม่ลงมาเกิดเลยเถอะ
“คุณชายหลี่มู่ องค์ชายของข้ายอมรับในความสามารถของท่าน…” จอมยุทธ์วัยกลางคนไม่ใช่นักเจรจาที่ดีนัก ในน้ำเสียงไม่ปกปิดท่าทีสูงส่งเหนือใครเลยสักนิด
หลี่มู่โบกมือตัดบท บอกว่า “โทษที ตอนนี้ข้าเป็นขุนนางของจักรวรรดิ ไม่อยากแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ขอบคุณความหวังดีขององค์ชายเจ้ามาก เชิญเถิด” เขาส่งสัญญาณไล่แขกทันที
ดวงตาของจอมยุทธ์วัยกลางคนฉายแววโกรธเคือง “คุณชายหลี่ ท่านคิดให้ดี คุณชายของข้าคือองค์ชายสอง”
เสียงหายใจเฮือกสามเสียงพลันดังขึ้นในห้อง
ใบหน้าของฮวาเสี่ยงหรง ไป๋เซวียน และเด็กสาวรับใช้ต่างตื่นตะลึง
องค์ชายสองในปัจจุบัน ว่ากันว่าคือผู้ที่มีหวังจะเป็นว่าที่จักรพรรดิของจักรวรรดิฉินตะวันตกในวันข้างหน้าเลยทีเดียว
หลี่มู่กลับไม่สนใจแม้แต่น้อย ตอบกลับไปว่า “ข้าคิดดีแล้ว เชิญ” อย่าว่าแต่องค์ชายสองเลย ต่อให้เป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิฉินมาเอง เขาก็มีทีท่าแบบนี้ เขาในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรมากมายแล้ว
“ดี แล้วเจ้าอย่าเสียใจล่ะ” จอมยุทธ์กลางคนมีสีหน้าโกรธเคือง
หากเป็นคนอื่นไม่รู้จักดีชั่วแบบนี้ เขาลงมือสั่งสอนไปนานแล้ว แต่หลี่มู่คือผู้แข็งแกร่งขั้นฟ้าประทาน พลังแท้จริงอยู่เหนือเขา สมญานามเทพสังหารทำให้เขาหวาดเกรงอยู่บ้าง ในเมื่อคนบ้าผู้นี้เป็นถึงคนที่กล้าสังหารแม้แต่บุตรชายของเจิ้นซีอ๋อง
“ข้าให้เวลาเจ้าห้าอึดใจ หากยังไม่ออกไป เช่นนั้นข้าจะโยนเจ้าออกไปเอง” หลี่มู่ดื่มชาอึกหนึ่ง
ยังไม่ทันแจ้งก็บุกเข้ามาในห้องส่วนตัวของฮวาเสี่ยงหรง หากไม่ไว้หน้าองค์ชายสองบ้าบออะไรนี่ของพวกเจ้า ข้าทุบหัวสุนัขของเจ้าจนเละไปนานแล้ว
จอมยุทธ์วัยกลางคนโมโหจนหัวเราะ พูดขึ้นว่า “ดี อวดดีจริงๆ เจ้าสังหารบุตรผู้สืบทอดของเจิ้นซีอ๋อง คนของท่านอ๋องมาถึงเมืองฉางอัน เตรียมตัวจัดการเจ้านานแล้ว หากไม่มีการคุ้มครองขององค์ชายสอง ถึงตอนนั้นเจ้าตายก็ยังไม่รู้ว่าตายอย่างไรเลย หึๆ อย่าให้ข้าเห็นนะว่าตอนนี้เจ้าปากแข็ง แต่ถึงตอนนั้นมาร้องอ้อนวอน…เอ๋?”
พูดยังไม่ทันจบ ชายวัยกลางคนก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าพร่าเลือน คอเสื้อรัดแน่น ทั้งตัวเหมือนกับขี่เมฆเหินทะยาน ถูกโยนออกไปจากห้องเสียแล้ว
เร็วมาก!
เขาตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
เสี้ยวขณะที่ร่วงลงพื้น เขาคิดจะปรับท่วงท่ายืนให้มั่นคง แต่ขากลับอ่อน สุดท้ายร่วงลงมาที่โถงใหญ่ของหอสดับเซียนเสียงดังโครมอย่างน่าอนาถ เสียงน่าตกใจจนคนที่กำลังหาความสุขใส่ตัวรอบๆ หันมามองกันหมด
ชายวัยกลางคนดิ้นรนลุกขึ้นมา
ด้วยพลังของเขา ร่วงลงมาแบบนี้แน่นอนว่าไม่มีทางได้รับบาดเจ็บ
อีกทั้งตอนนี้ เขาสัมผัสเพียงเล็กน้อยก็รู้ว่าภายในของตนไม่เกิดความผิดปกติใดๆ
แต่นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดที่น่าตื่นตะลึง
หลี่มู่ไม่ได้สะกดกำลังภายในของเขา แค่โยนออกไปก็ทำให้เขาร่วงหน้าคะมำโดยไม่อาจควบคุมได้ พลังนี้ค่อนข้างน่ากลัวทีเดียว กระทั่งว่าแข็งแกร่งกว่าในข่าวลือมากนัก จะอย่างไรพลังฝึกของหลี่มู่ก็ถึงครึ่งขั้นฟ้าประทานแล้ว ดังนั้นเด็กหนุ่มทำให้เขาล้มหน้าคะมำโดยที่ควบคุมร่างกายไม่ได้อย่างน่าประหลาด ยังยากกว่าโจมตีสังหารนัก
ชายวัยกลางคนเดินออกไปจากหอสดับเซียนด้วยใบหน้าเคร่งเครียด
และในขณะเดียวกัน แขกที่มาหาความสำราญซึ่งเมื่อครู่หัวเราะเยาะเย้ยเสียงดังที่สุดพวกนั้น ตรงหว่างคิ้วมีสีแดงไหลออกมา จากนั้นก็ตัวอ่อนระทวยล้มไปกับพื้น ไร้ซึ่งลมหายใจ
เสียงกรีดร้องดังระงม
ที่ชั้นสาม หลี่มู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ชายวัยกลางคนคนนี้เหี้ยมโหดอำมหิต แค่ถูกหัวเราะเยาะไม่กี่ประโยคก็ลอบสังหารคนทันใด น่ากลัวว่าองค์ชายสองที่เขาติดตามคนนั้นก็ไม่ใช่คนดีอะไรเช่นกัน
“คุณชาย เมื่อครู่ท่านผู้นั้นพูดว่า…ท่านสังหารบุตรผู้สืบทอดของเจิ้นซีอ๋อง?” ไป๋ซวียนถามด้วยความสั่นกลัว
ข่าวนี้ทางการปกปิดไว้ ดังนั้นต่อให้เป็นไป๋เซวียนที่ข่าวสารว่องไวก็ยังไม่รู้
หลี่มู่พยักหน้าบอก “อ๋องน้อยคนนั้นก่อกรรมทำชั่ว เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ที่สวนสุสานทหาร ข้าขัดหูขัดตาก็เลยถือโอกาสจัดการไปเลย” เขาไม่ได้ปกปิดอะไร
“นี่…นี่จะทำอย่างไรกันดี?” ไป๋เซวียนลนลานไปในทันที
สังหารเชื้อพระวงศ์คือโทษฉกรรจ์
นางให้หลี่มู่อยู่ที่นี่เท่ากับเป็นการปกป้องเขา ถึงตอนนั้นก็จะพลอยมีอันตรายไปด้วย
ถึงอย่างไรก็เป็นผู้หญิง พอได้ยินข่าวแบบนี้ย่อมลนลานเล็กน้อย
หลี่มู่จึงบอกกับนาง “วางใจเถอะ นี่เป็นเรื่องเมื่อห้าหกวันก่อนแล้ว ตอนนี้ข้าก็ยังอยู่ดีมีสุขอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ อิทธิพลใหญ่โตของเจิ้นซีอ๋องก็ยังมาไม่ถึงที่นี่ หากมีเรื่องอะไรจริงๆ เมื่อหลายวันก่อนเขาคงลงมือแล้ว ทางการไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร เห็นได้ชัดว่าไม่สืบสาวราวเรื่อง”
ไป๋เซวียนอึ้งไป
เห็นท่าทางของหลี่มู่ไม่ทุกข์ไม่ร้อน จู่ๆ นางก็ใจเย็นลง
ใช่แล้ว เจ้าตัวยังไม่ร้อนใจเลย นางร้อนใจอะไรกัน
ภายใต้สถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ หลี่มู่กระทั่งว่าปฏิเสธคำชักชวนขององค์ชายสองแห่งจักรวรรดิอย่างไม่ไว้หน้า และโยนยอดฝีมือวัยกลางคนที่แค่มองก็รู้แล้วว่าพลังไม่ธรรมดาลงจากชั้นบน…แม้แต่องค์ชายสองของจักรวรรดิยังกล้าล่วงเกินตามใจ เช่นนั้นเจิ้นซีอ๋องคนหนึ่งจะทำอะไรได้?
ไป๋เซวียนค่อยๆ สงบใจลง
หลี่มู่จะต้องมีที่พึ่งอย่างแน่นอน
นางก็ไม่ใช่สตรีธรรมดา แน่นอนว่าตระหนักรู้เรื่องพวกนี้
เมื่อใจค่อยๆ สงบลงบ้างแล้ว ไป๋เซวียนรู้ว่าไม่ควรถามอะไรให้มากอีก จึงลุกขึ้นเอ่ยลา เดินออกไปจากห้อง
“พี่มู่ ไม่เป็นไร…จริงๆ ใช่หรือไม่?” ฮวาเสี่ยงหรงถามหลี่มู่เสียงเบาอย่างอดไม่ได้ ตอนนี้ใจทั้งดวงของนางผูกอยู่กับหลี่มู่ ถึงแม้หลี่มู่จะแสดงออกว่าไม่สนใจเพียงใด ใจของนางก็ยังคงอดกังวลแทนชายคนรักไม่ได้
หลี่มู่หัวเราะ กล่าวว่า “เรื่องที่การต่อสู้ก็แก้ปัญหาได้ สำหรับข้าแล้วล้วนไม่ใช่ปัญหา” เขายิ้มพลางจับจ้องใบหน้าของฮวาเสี่ยงหรง “ฮวาเอ๋อร์เป็นห่วงข้าหรือ?”
“เจ้าค่ะ” ฮวาเสี่ยงหรงอิงแอบอยู่ข้างกายหลี่มู่อย่างอ่อนโยน
หลี่มู่พูด “คำพูดของข้าก่อนหน้านี้ไม่ได้หลอกเจ้าให้ดีใจ เจ้ามีพรสวรรค์เป็นหนึ่งจริงๆ ขอแค่เจ้าตั้งใจฝึกฝนวิชาเต๋าที่ข้าถ่ายทอดให้ อีกไม่นานเท่าไหร่เจ้าก็จะเหนือกว่าผู้ใดใต้ฟ้านี้ ถึงตอนนั้นก็ต้องให้เจ้าเป็นคนปกป้องข้าแล้ว”
คนพูดไม่ได้มีเจตนา ทว่าคนฟังคิดไปไกล
ประโยคนี้อันที่จริงหลี่มู่นั้นกล่าวล้อเล่น แต่ฮวาเสี่ยงหรงกลับคิดจริงจัง
เวลาต่อมา นางฝึกฝน ‘วิชาก่อนกำเนิด’ และวิชาเต๋าต่างๆ อย่างตั้งใจดังคาด พลังรุดหน้าอย่างรวดเร็วโดยที่คนบนโลกใบนี้ทุกคนไม่รู้เลย
บ่ายวันนั้น หลี่มู่มาดูดซับพลังวิญญาณชีพจรมังกรและฝึกฝนในสุสานทหารอย่างเงียบเชียบอีก
จนถึงวันนี้สวนสุสานทหารก็ยังคงปิด ไม่อนุญาตให้คนเข้าไปเซ่นไหว้
นี่กลับสะดวกสำหรับหลี่มู่ เขาไม่ต้องคอยกังวลว่าฝึกฝนที่นี่แล้วจะถูกคนอื่นพบเข้า
เมื่อเปิด ‘ค่ายกลมังกรเขียวพ้นน้ำ’ ที่วางเอาเรียบร้อยแล้วอีกครั้ง หลี่มู่เข้าไปข้างใน นั่งอยู่บนตาค่ายกล พลังวิญญาณชีพจรมังกรไหลทะลักจากใต้ดินเข้ามาในร่างของหลี่มู่อย่างบ้าคลั่งผ่านการเหนี่ยวนำของ ‘วิชาก่อนกำเนิด’
เพียงชั่วพริบตา ช่วงเวลาบ่ายก็ผ่านไป
หลี่มู่รอจนร่างกายดูดซับถึงขั้นอิ่มตัวแล้ว จึงปิดค่ายกล ‘มังกรเขียวพ้นน้ำ’ เป็นการชั่วคราวอีกครั้ง จากนั้นก็โคจร ‘วิชาก่อนกำเนิด’ เริ่มหล่อหลอมพลังวิญญาณชีพจรมังกรในกาย
ในขณะเดียวกัน ด้านนอกค่ายกล ขุนพลอัคคีและขุนพลคนอื่นๆ ที่ตายไปแล้วปรากฏกายข้างนอกค่ายกลอีกครั้งหนึ่ง เพราะหลี่มู่วางค่ายกลเก็บกลิ่นอายและปิดกั้นไว้ พวกเขาจึงเห็นแค่หมอกขาวโพลนลอยตลบ ไม่เห็นว่าหลี่มู่ที่อยู่ในค่ายกลกำลังทำอะไรอยู่กันแน่
สีหน้าของวิญญาณทั้งหลายเหมือนท้องผูกกันหมด
……………………………