ภาค 2 ไร้เทียมทานเย้ยยุทธจักร บทที่ 206 พลังฟ้าประทานของหลี่มู่

จอมศาสตราพลิกดารา

“เด็กหนุ่มคนนี้ดูดพลังวิญญาณชีพจรมังกรไปหนึ่งในสิบส่วนแล้ว”

“สะสมพลังมาสองร้อยปีเชียวนะ หากเป็นแบบนี้ต่อไป อีกสองเดือนใต้ดินก็ว่างเปล่าแล้ว ทนให้เขาดูดไม่ไหวหรอก”

“เป็นตัวประหลาดจริงๆ ร่างกายของเขาเป็นหลุมดำหรืออย่างไร? ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งชั้นยอดขั้นเหนือมนุษย์ ก็ไม่มีทางดูดพลังวิญญาณชีพจรมังกรได้มากมายภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่นี้ได้”

“เฮ้อ รู้สึกเหมือนพวกเราทำการค้าที่ขาดทุนยังไงก็ไม่รู้”

เหล่าวิญญาณขุนพลทอดถอนใจ

ครั้งนี้พวกเขาหาเหาใส่หัวตัวเองแท้ๆ แต่เดิมคิดว่าหลี่มู่ไม่มีวิธีดูดซับพลังวิญญาณชีพจรมังกรได้ ต่อให้มีวิธีรับ กายขั้นฟ้าประทานก็ไม่มีทางดูดซับได้มากมายนัก ใครจะรู้…มารดามันสิ เจอเข้ากับสัตว์ประหลาดเสียแล้ว หากรู้อย่างนี้ตอนนั้นไม่ควรให้สัญญาไปเลยจริงๆ

ตอนนี้จะแก้ไขอย่างไรดี?

เหล่าวิญญาณกลัดกลุ้มยิ่งนัก

เรื่องที่ทำให้พวกเขากลัดกลุ้มแบบนี้ ครั้งก่อนเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่นู่น

เวลาดำเนินผ่านไป

เพียงชั่วพริบตา หนึ่งคืนก็ผ่านไป

ขอบฟ้าปรากฏแสงอรุณรุ่ง หมอกยามเช้าปกคลุมในสวนสุสานทหาร

เหล่าวิญญาณหายไป

หลี่มู่เดินออกมาจากค่ายกล

ในกายของเขา กำลังภายในเสมือนแม่น้ำ กำลังไหลทะลักอย่างมหาศาลไปตามเส้นลมปราณ ประสิทธิภาพของ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ สูงมาก พลังวิญญาณชีพจรมังกรที่ดูดซับเข้าไปในร่างกายมีเจ็ดแปดส่วนแปลงเป็นกำลังภายในแล้ว และกำลังทะลักไปตามแปดเส้นลมปราณพิเศษ หมุนเวียนเป็นวงโคจรจุลจักรวาลและมหาจักรวาลเองไม่หยุด

‘ที่แท้เส้นทางของสมาธิและการหายใจของ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ขั้นที่หนึ่งก็คือเส้นทางเส้นลมปราณนั่นเอง หลังจากฝึกฝนกำลังภายในได้ กำลังภายในก็โคจรพลังปราณไปตามเส้นทางนี้ หล่อเลี้ยงกายเนื้อและจิตวิญญาณ’

หลี่มู่ทอดถอนใจ

เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนคนขุดสมบัติ กำลังขุดหาความอัศจรรย์ต่างๆ ของ ‘วิชาก่อนกำเนิด’ และ ‘หมัดยุทธ์แท้’ ไปทีละก้าวๆ ทุกครั้งที่เขานึกว่าตัวเองได้รับประสิทธิผลของสองวิชานี้มาแล้ว ไม่นานนักก็ค้นพบสิ่งใหม่ให้ตื่นตกใจอีก

วิชาก่อนกำเนิดไม่ใช่แค่วิธีการหายใจเท่านั้น แต่เป็นวิธีบำรุงรักษาลมปราณด้วย

‘ตอนนี้ระดับความแข็งแกร่งของกำลังภายในของเราเทียบได้กับขั้นยอดปรมาจารย์สูงสุดแล้ว ต่อให้ไม่ใช้กำลังของกายเนื้อ อาศัยแค่กำลังภายใน ก็สามารถต่อกรกับธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ที่ยังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ขั้นฟ้าประทานในตอนนั้นได้’

เขาวิเคราะห์พลังฝึกกำลังภายในของตัวเองในวันนี้ได้ชัดเจนมาก

ใจเพียงคิด กำลังภายในไร้สีสันก็ปลดปล่อยออกมา กลิ่นอายดุจภาพมายาชั้นหนึ่งพันล้อมเขาเอาไว้ทั้งร่าง

จอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์สามารถปล่อยกำลังภายใน วางสนามพลังขนาดใหญ่หรือเล็กเอาไว้รอบกายได้แล้ว นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ยอดฝีมือระดับสุดยอดขั้นปรมาจารย์แข็งแกร่ง ส่วนผู้แข็งแกร่งขั้นยอดปรมาจารย์ทำได้ถึงขั้นแปลงรูปร่างกำลังภายใน แค่ฟันออกไปก็เป็นปราณทรงพลังที่ไร้รูปร่าง ประดุจศาตราวุธ ยาวได้สั้นได้ ยืดหดอิสระ สามารถตัดทองขยี้หิน สังหารคนอย่างไร้ร่องรอย

ยอดปรมาจารย์ระดับสูงสุด สนามพลังจะขยายรอบกายได้ถึงเกือบสามสิบจั้ง เมื่อปล่อยปราณทรงพลังไร้รูปร่างออกไปก็สามารถสังหารเป้าหมายที่อยู่ไกลออกไปสามร้อยจั้งได้ ภายใต้สภาวะที่กำลังภายในเพียงพอ พูดได้ว่าเป็นอาวุธรูปร่างมนุษย์ก็ไม่เกินไป

แน่นอน โดยปกติแล้วการสำแดงวิชาต่อสู้ล้วนสิ้นเปลืองกำลังภายใน

วิชาต่อสู้ที่พลานุภาพยิ่งสูง ก็ยิ่งสิ้นเปลืองกำลังภายในมาก

เมื่อผู้แข็งแกร่งขั้นยอดปรมาจารย์อยู่บนสนามรบของกองทัพเป็นพันเป็นหมื่น หากใช้กำลังภายในจนหมดสิ้นจะแตกดับอย่างเลี่ยงไม่ได้

แต่นี่ไม่ใช่สาระสำคัญ

ไม่ง่ายเลยกว่าหลี่มู่จะมาถึงขั้นยอดปรมาจารย์สูงสุดในตอนนี้ได้ ตามหลักแล้วเขาควรจะฝึกฝนกำลังภายในของตัวเองขั้นต่อไป ศึกษารู้กลวิธีต่อสู้ของกำลังภายใน สั่งสมประสบการณ์ที่ใช้กำลังภายในต่อสู้กับศัตรู ฝึกฝนกำลังภายในจนปล่อยและเก็บได้ดั่งใจ แล้วถึงจะทะลวงสู่ขั้นฟ้าประทานได้

แต่วันนั้นที่สู้กับธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ หลี่มู่ใช้เนตรสวรรค์แอบสำรวจแก่นแท้ของขั้นยอดปรมาจารย์ก้าวเข้าสู่ขั้นฟ้าประทานไว้นานแล้ว รู้ความลับทั้งหมดกระจ่างแจ้ง อีกทั้งวิชาก่อนกำเนิดที่เขาฝึกฝนยังเลิศล้ำไร้เทียมทานอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจละขั้นตอนการฝึกฝน ทะลวงขั้นฟ้าประทานไปเลย

“ไม่ต้องเลือกวันให้มากความ ตอนนี้สภาวะของข้าดีมาก กำลังภายในแผ่ระลอก ทะลวงขั้นฟ้าประทานเลยดีกว่า”

หลี่มู่ตัดสินใจแล้ว

ตอนนี้ในเมืองฉางอันพายุตั้งเค้ารอมาเยือน คลื่นใต้น้ำกำลังเคลื่อนไหว เจิ้งฉุนเจี้ยนส่งข่าวมาให้เขาไม่น้อย อย่าได้คิดว่าหลี่มู่ไม่มีรากฐานและไม่มีลู่ทางในเมือง แต่ที่จริงแล้วเรื่องมากมายที่เกิดขึ้นหลายวันมานี้ เขากระจ่างแจ้งเป็นอย่างดี

หลี่มู่รู้สึกเลาๆ ว่าในเมืองฉางอันกำลังมีพายุลูกใหญ่ก่อตัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ส่วนเขาก็ยากนักที่จะไม่สนใจเรื่องรอบตัว

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็รีบฉวยโอกาสยกระดับตัวเอง อัดคู่ต่อสู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับตนให้ยับ บดขยี้แล้วกดไว้กับพื้นให้หมด

เขาเข้าไปในค่ายกลใหม่อีกครั้ง

ในสมองนึกขั้นตอนที่ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ก้าวเข้าสู่ขั้นฟ้าประทานในวันนั้น ครั้งนี้หลี่มู่ไม่ได้นั่งขัดสมาธิ แต่สำแดง ‘หมัดยุทธ์แท้’ อยู่ที่เดิม กระตุ้นเลือดลมของตัวเอง ปรับสภาพกายเนื้อของตน เหมือนกับธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ที่กิน ‘โอสถหมื่นโลหิต’ วันนั้น ก่อนอื่นต้องทำให้เลือดลมของตนเดือดพล่าน ผลักดันสภาวะกายเนื้อให้ถึงขีดสุด

นี่สำหรับหลี่มู่แล้วก็ไม่ยาก

เพราะ ‘หมัดยุทธ์แท้’ เชี่ยวชาญการทำให้ถึงจุดนี้เป็นที่สุด

ไม่นานนัก เลือดลมทั่วร่างหลี่มู่ก็เดือดพล่าน เลือดเหมือนกำลังโหมซัดอยู่ในเส้นเลือด ทั่วร่างร้อนระอุ สภาวะร่างกายถูกปรับจนถึงขีดสูงสุด

“ตอนนี้แหละ”

เขาสำแดง ‘หมัดยุทธ์แท้’ ไปด้วย สำแดง ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ไปด้วย จิตวิญญาณและกายเนื้อถูกกระตุ้นไปจนถึงจุดสูงสุด

เพียงชั่วครู่ในกายของเขาก็เกิดการผสานกันระหว่างกายเนื้อและจิตวิญญาณอย่างสมบูรณ์แบบ

นี่คือการตอบรับกันของร่างกายและจิตใจ

หลี่มู่รู้สึกว่าในกายเหมือนมีจุดติดขัดบางอย่างพลันเปิดออก ความรู้สึกที่เห็นทางสว่างและเข้าใจอย่างถ่องแท้เกิดขึ้นในทันที ภายใต้การประสานของกายและจิต ในร่างมีพลังชนิดใหม่เกิดขึ้นไม่หยุด  พุ่งทะยานขึ้นมาจากจุดตันเถียนแล้วแล่นไปตามแปดเส้นลมปราณพิเศษ สุดท้ายฃพุ่งไปที่จุดเทียนหลิงไก้[1]

สามดอกไม้รวมยอด

กำลังภายในสามสายลอยขึ้นเหนือศีรษะหลี่มู่ ก่อเป็นภาพมายาเสมือนดอกไม้สามดอก

ตอนที่อยู่บนโลก ซินแสเฒ่าเคยพูดถึงสามดอกไม้รวมยอด กล่าวว่านี่ก็คือจิง ชี่ และเสิน[2] สามดอกไม้ก็ชี้ถึงสามแก่นแท้เช่นกัน ซึ่งแบ่งได้เป็นแก่นแท้ฟ้า ดิน และมนุษย์ แก่นแท้มนุษย์คือหลอมจิงให้เป็นชี่ แก่นแท้ดินคือหลอมชี่ให้เป็นเสิน และแก่นแท้ฟ้าคือหลอมเสินให้กลับสู่ความว่างเปล่า

สามดอกไม้รวมยอดคือสามแก่นแท้ฟ้าดินและมนุษย์ หรือก็คือสามแก่นแท้จิงชี่และเสิน สุดท้ายผสมผสานรวมเป็นหนึ่ง แล้วรวมไปจุดเสวียนกวน

จุดเสวียนกวนที่ว่า ในลัทธิเต๋าหมายถึงจุดหนีหวานกง

หรือก็คือหัวและสมองของมนุษย์นั่นเอง

ในขั้นตอนการทะลวงขั้นฟ้าประทาน สามดอกไม้รวมยอดคือขั้นตอนสุดท้าย และเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด

หลี่มู่แต่เดิมเตรียมใจเอาไว้ดีแล้วว่าขั้นตอนนี้ต้องทำซ้ำไปมาแน่นอน แต่ใครจะรู้ว่ากลับราบรื่นยิ่งนัก ไม่นานสามแก่นก็รวมเป็นหนึ่ง แปรเปลี่ยนเป็นพลังบริสุทธิ์ ย้อนกลับมาที่จุดเทียนหลิงไก้ และสุดท้ายก็เข้าไปในจุดหนีหวานกง

เสี้ยวขณะนี้ รัศมีทั้งตัวของหลี่มู่ล่องลอยไร้มลทิน ราวกับว่าจะล่องลอยจากไปได้ทุกเมื่อ กลิ่นอายราวเซียนไหลเวียนทั่ว

ฟ้าประทาน

นี่คือกลิ่นอายของขั้นฟ้าประทาน

ขาของหลี่มู่เหยียบเข้าไปในขั้นฟ้าประทานข้างหนึ่งแล้ว

เขารู้สึกว่าร่างกายของตนยังมีพลังเหลือ ดังนั้นจึงไม่ลังเล นั่งขัดสมาธิลงทันที โคจร ‘วิชาก่อนกำเนิด’ ต่อ และเริ่มหลอมพลังบริสุทธิ์กลุ่มนี้ ต้องการจะฝึกฝนพลังฟ้าประทานที่แท้จริงออกมา

อันที่จริง พลังฟ้าประทานไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง

ยามสามดอกไม้รวมยอด สามแก่นสำคัญรวมเป็นหนึ่ง พลังบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นกลุ่มนั้นคือรูปแบบดั้งเดิมของพลังฟ้าประทาน

พลังบริสุทธิ์กลุ่มนี้เมื่อเข้าไปในจุดหนีหวานกงตรงศีรษะจะมีส่วนที่สิ้นเปลืองไป ท้ายที่สุดจะนำไปใช้ปลูกเมล็ดพลังขั้นฟ้าประทานในกายของผู้ฝึกฝน ต้องใช้พลังจิตวิญญาณกับกำลังภายในหล่อเลี้ยงให้เกิดและเติบโตเหมือนสารเร่งปฏิกิริยาในการทดลองเคมีบนโลก แล้วจึงกลั่นสารสำคัญให้บริสุทธิ์ออกมาอย่างต่อเนื่อง จนสุดท้ายมีพลังฟ้าประทานประดุจเส้นผมเกิดขึ้นมา

จากนั้นใช้พลังฟ้าประทานกลุ่มนี้เป็นพื้นฐานฝึกฝนต่อไป แล้วหลอมกำลังภายในทั่วร่างให้กลายเป็นปราณแท้ฟ้าประทาน

ขั้นตอนการฝึกฝนของขั้นฟ้าประทานทั้งหมด ก็คือขั้นตอนการหลอมกำลังภายในในกายให้เป็นปราณแท้ฟ้าประทานนั่นเอง

เมื่อกำลังภายในทั้งหมดหลอมเป็นปราณแท้ฟ้าประทาน เช่นนั้นก็เป็นนัยว่าถึงระดับสูงสุดของขั้นฟ้าประทานแล้ว ขอแค่โอกาสเหมาะสมก็สามารถก้าวเข้าสู่ขั้นเหนือมนุษย์ได้

และตอนนี้ สิ่งที่หลี่มู่ต้องทำก็คือหลอมพลังฟ้าประทานออกมาเสี้ยวหนึ่งในยามที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ขั้นฟ้าประทานก้าวแรก เหมือนกับที่ธรรมาจารย์กระบี่สวรรค์ทำในตอนนั้น

และขั้นตอนนี้ก็ราบรื่นยิ่งนักเช่นกัน

วิชาก่อนกำเนิดมีฤทธิ์บำรุงรักษาปราณที่น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง พลังบริสุทธิ์กลุ่มนั้นที่อยู่ในจุดหนีหวานกงตรงสมองโคจรไปตามวงโคจรของวิชาก่อนกำเนิด หลังจากไหลเวียนไปตามแปดเส้นลมปราณพิเศษในร่างรอบหนึ่งจึงเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ เมื่อหลี่มู่มองดูข้างในก็เห็นว่าพลังบริสุทธิ์ที่แต่เดิมเป็นสีเทาอ่อนค่อยๆ บริสุทธิ์ขึ้น สุดท้ายแปรเปลี่ยนเป็นปราณแท้ที่โปร่งแสงไร้สีคล้ายเส้นผมกลุ่มหนึ่ง

ปราณแท้ฟ้าประทาน

หลี่มู่หยุดโคจรวิชา ลุกขึ้นยืนช้าๆ

ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงของวันที่สองแล้ว

……

“อะไรนะ? กำลังทหารไม่พอ?” ลู่หลีจื่อนายตรวจจากสำนักตรวจการที่มาจากเมืองหลวงฉินฟังรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาจบ ก็แค่นเสียงหัวเราะด้วยสีหน้าทั้งตกใจทั้งโมโห “หลี่กังปกครองเมืองฉางอันมานานขนาดนี้ แม้แต่ขั้นฟ้าประทานคนหนึ่งก็ไม่มีปัญญาจัดการ? นี่คิดจะปกป้องเจ้านักโทษหลี่มู่กระมัง?”

“คือว่า…ได้ยินว่าแปดปีก่อน เจ้าเมืองหลี่กังตบมือสามครั้งตัดความสัมพันธ์พ่อลูกกับหลี่มู่” ผู้ตรวจสอบชรารูปร่างผอมสูงเอ่ยอย่างลังเล เขาเป็นคนเก่าคนแก่ของสำนักตรวจการเมืองฉางอัน เป็นคนท้องถิ่นในเมืองฉางอัน

“หึ ก็แค่ตบตาคนเท่านั้น ความสัมพันธ์ทางสายเลือดใช่พูดว่าจะตัดก็ตัดได้เลย” ลู่หลีจื่อพูดกลั้วหัวเราะหยัน

ในแผ่นดินใหญ่เสินโจว ไม่ใช่แค่จักรวรรดิทั้งสาม แม้แต่ที่ราบทุ่งหญ้าและดินแดนร้อยชนเผ่าสุดแดนใต้ก็ล้วนก่อตั้งสำนักตรวจการขึ้นมา ตรวจสอบไปทุกที่ มีอำนาจมากล้น เพราะหน่วยนี้จัดตั้งโดยสำนักเทพทั้งเก้าเพื่อร่วมเสนอและคัดเลือกบุคคลโดดเด่นจากในสำนัก เปิดรับเหล่าวีรบุรุษทั่วหล้า จุดประสงค์ที่ก่อตั้งคือเพื่อรักษาความมั่นคงของยุทธจักร คอยตรวจสอบสำนักต่างๆ และสยบยอดฝีมือยุทธจักรที่จัดการยากของขั้วอำนาจขุนนางพวกนั้น

ส่วนสำนักตรวจการของฉินตะวันตก สาขาหลักตั้งอยู่ที่เมืองหลวงฉิน ผู้นำสำนักตรวจการคือผู้อาวุโสสูงสุดคนหนึ่งของ ‘ทุ่งปิดภูผา’ หนึ่งในเก้าสำนักเทพ สร้างผลงานมามากมาย คุณธรรมและบารมีสูงส่ง ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วยุทธจักรฉินตะวันตก ซ้ำเป็นบุคคลเยี่ยมยอดอันดับหนึ่ง

……………………………………………………

[1] เทียนหลิงไก้ คือบริเวณกะโหลกศีรษะส่วนบน

[2] จิง คือสารสำคัญในร่างมนุษย์ เช่นเลือด สารอาหาร ฮอร์โมนในร่างกายมนุษย์ ชี่คือพลังปราณ เสินคือจิตวิญญาณ สามแก่นสำคัญนี้คือหัวใจสำคัญของการเป็นมนุษย์ตามหลักของเต๋า หากมีไม่ครบองค์ประกอบก็จะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป