Ep.571 – การเรียกขานของวิหคหนาม

 

แสงทองเรืองรองบนท้องฟ้า ส่องสว่างลงมาครอบคลุมทั่วผืนดิน

 

ภายใต้แสงสว่างสุกสกาวของกำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพ ผีแห่งความอลหม่านนับอนันต์กำลังร่วงตกลง

 

เมื่อหลุดเข้ามาได้ พริบตาเดียวพวกมันก็แพร่กระจายไปตลอดทั้งผืนฟ้า

 

ในขณะเดียวกัน ม้าทมิฬก็กำลังวิ่งตัดผ่านผืนป่า

 

แต่ด้วยความว่องไวของมัน ทำให้เพียงไม่กี่นาทีก็สามารถออกมาจากป่าและเข้าสู่พื้นที่ราบลุ่มได้

 

ไกลออกไปสุดสายตา ปรากฏให้เห็นถึงภูเขาสูงตระหง่านตั้งอยู่ปลายสุดของพื้นราบลุ่ม 

 

ทว่าบริเวณตีนเขา เวลานี้ดันถูกปิดล้อมโดยสัตว์ประหลาดผีนับไม่ถ้วน พวกมันเริ่มก่อขบวนโอบล้อมกันอย่างช้าๆ

 

เมืองไห่เช่าน่ะอยู่บนภูเขา ดังนั้นการกรีฑาทัพของกองทัพผีจึงเคลื่อนไปอย่างเชื่องช้า

 

“พวกกองทัพผีมีมากเกินไป ข้าไม่อาจวิ่งฝ่าไปได้ สมควรจะทำเช่นไรต่อไปดี?”

 

ม้าทมิฬเอ่ยถามขณะวิ่ง

 

“วิ่งต่อไป ขอข้าทดลองอะไรบางอย่างดูก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

เขากวักมือเรียกดาบพิภพ และมันก็ควงอากาศกลับมาตกลงในมือของเขา

 

กู่ฉิงซานชูดาบขึ้น ชี้ปลายแหลมของมันไปบนท้องฟ้า

 

สายฟ้าเริ่มส่องประกายเปรี๊ยะๆบนดาบของเขา

 

นอกเหนือไปจากแสงสีทองที่สาดลงมาจากท้องฟ้าแล้ว ก็ยังมีแสงสีน้ำเงินขาวสว่างไสวปรากฏขึ้นอีกหนึ่งบนผืนดิน

 

ซึ่งหากมองจากระยะไกล สายฟ้ากลุ่มนี้เป็นสัญญาณไฟที่เด่นสะดุดตาอย่างชัดเจน

 

“ไม่มีการตอบสนอง! เมืองไห่เช่าไม่ตอบสนองพวกเราเลย!” เหลาเจียวตะโกน

 

‘นี่พวกเขาไม่เห็นมันอย่างงั้นหรือ?’

 

กู่ฉิงซานพึมพำ และเริ่มกระตุ้นธาตุสายฟ้า ปลดปล่อยมันออกมาอย่างรุนแรง

 

ซี่ ซี่ ซี่ ซี่ ซี่ ซี่ ซี่ ซี่

 

กลุ่มก้อนสายฟ้าระเบิดเสียงแสบแก้วหู พวยพุ่งขึ้นเป็นเสาแสงสีน้ำเงินขาวทะลวงขึ้นสู่เมฆเบื้องบนโดยตรง

 

คราวนี้ แม้แต่คนตาบอดก็ยังสามารถสัมผัสได้พลังของสายฟ้าในชั้นอากาศ

 

และแล้วเมืองไห่เช่าที่ตั้งอยู่บนภูเขา ในที่สุดก็เริ่มเคลื่อนไหว

 

กู่ฉิงซานเห็นร่างๆหนึ่งที่สวมชุดเกราะสีมรกต ทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า

 

“นั่นอีเลียนี่! เป็นเธอ!” ลอร่าลอร่าอุทานด้วยความสุข

 

“ในที่สุดเธอก็เห็นพวกเรา” กู่ฉิงซานเองก็โล่งใจเช่นกัน

 

ร่างที่เปล่งประกายชั้นแสงมรกตจางๆ อ้าปากเปล่งคาถา สั่นสะเทือนไปทั้งสี่ทิศ

 

“ตัวข้า เหมันต์ยามค่ำอีเลีย ขอทำการเรียกขานพวกเจ้า ด้วยเทคนิคมนตราแห่งสายเลือดของกษัตริย์แห่งหนาม”

 

“รุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แห่งหนามผู้ยิ่งใหญ่เอ๋ย จงสดับฟังเสียงเรียกขาน และนำพาคนของข้ามายังที่แห่งนี้!”

 

“เป้าหมายก็คือ – อั๊ก!”

 

ร่างมรกตชะงักไปอย่างกระทันหัน และกระอักเลือดออกมา

 

กายเธอสั่นสะท้าน โซเซไปในอากาศ

 

ดูเหมือนว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บสาหัส

 

“อีเลีย!!”

 

ลอร่ากรีดร้อง

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานค่อยๆหม่นทะมึนลง

 

แต่ในท้ายที่สุด ร่างมรกตก็ชี้ไปยังตำแหน่งของม้าทมิฬ และพยายามตะโกนต่อว่า

 

“จงไปซะ ไปปกป้องสายเลือดกษัตริย์คนสุดท้ายของพวกเรา!”

 

สิ้นคำร่ายมนต์คาถา ร่างมรกตก็บินกลับเข้าไปในเมืองไห่เช่า

 

ขณะเดียวกัน เบื้องบนท้องฟ้าก็พลันเกิดปรากฏการณ์บางอย่างขึ้น

 

ท่ามกลางมวลหมอกหนาภายใต้ร่มเงาของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ บังเกิด 7-8 จุดแสงไสวบรรจบเข้าด้วยกัน

 

จุดแสงเหล่านี้รวมตัวกันกลายเป็นดาวตก พุ่งตัดผ่านมิติและเวลา ร่วงลงมายังทิศทางของพื้นที่ราบลุ่ม

 

เมื่อถึงจุดหนึ่ง ดาวตกก็สาดแสงสดใส บังเกิดเสียง ‘ปัง!’ และความเร็วของมันก็เร่งขึ้นอย่างกระทันหัน

 

พร้อมกันกับเสียง ‘ปัง!’ ดาวตกที่ร่วงหล่นก็เริ่มปริแตก

 

กระทั่งกำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพก็ยังแยกออก และปล่อยให้ดาวตกลูกนี้หล่นลงมาในโลก

 

“กำแพงอุปสรรคของเหล่าทวยเทพไม่ได้ขวางกั้นมัน … เหตุผลก็คงจะเป็นเพราะ นี่คือการอัญเชิญจากในโลกใบนี้ใช่ไหม?” กู่ฉิงซานพึมพำ

 

“ใช่ นี่แหละคือการเรียกขานของวิหคหนามล่ะ” ลอร่ากล่าวด้วยสีหน้ากังวล

 

ป้อมปราการที่ตั้งอยู่บนเนินเขา ถูกปิดล้อมไปด้วยสัตว์ประหลาดผี เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ช่างล่อแหลมยิ่ง ไม่รู้เหมือนกันว่าอีเลียจะทนต่อไปได้หรือไม่

“ว่าไงนะ? นี่คือการเรียกขานของวิหคหนามอย่างงั้นหรอ?” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างคาดไม่ถึง

 

“ก็อย่างที่เจ้าทราบ วิหคหนามสามารถเรียกผู้คนจากทั่วทุกชั้นโลก เพื่อให้มาจัดการปัญหาบางอย่างของตัวเองได้ ซึ่งนั่นก็เป็นการเรียกขานผู้คนจากภายนอกเช่นกัน”

 

ลอร่ายังคงอธิบายต่อว่า “การเรียกขานของวิหคหนาม แท้จริงแล้วเป็นเทคนิคมนตราอัญเชิญนั่นเอง”

 

“เทคนิคมนตรางั้นหรือ?”

 

“ใช่ การเรียกขานของวิหคหนาม แท้จริงแล้วเป็นเทคนิคมนตราของสายเลือดราชวงศ์หนาม ที่จะถูกปลุกขึ้น เมื่อก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่”

 

“และเทคนิคมนตราของสมาชิกราชวงศ์แต่ละคน ที่ถูกปลุกขึ้นมาจะแตกต่างกันออกไป แต่โดยรวมแล้วจะถูกเรียกกันว่า ‘การเรียกขานของวิหคหนาม’ ”

 

“ส่วนอีเลีย เธอได้รับสิทธิ์จากท่านพ่อของเรา ให้สามารถใช้งานเทคนิคมนตราเรียกขานของท่านพ่อได้”

 

“ราชวงศ์หนาม … ถ้าพูดแบบนี้ แสดงว่าฝ่าบาทก็สามารถสำแดงเทคนิคมนตราสายเลือดที่คล้ายกันได้เช่นกัน ใช่หรือไม่?”

 

“ไม่ เราทำไม่ได่”

 

“ทำไมถึงเป็นแบบนั้น?”

 

“เพราะรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์มันสูงเกินไป เราเลยไม่กล้าที่จะทำพิธีเข้าสู่วัยผู้ใหญ่กับมัน” ลอร่ายกมือขึ้นกุมใบหน้าของเธอ “และมีเพียงการเสร็จสิ้นพิธีกรรมจากรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ถึงจะสามารถปลุกเทคนิคสายเลือด การเรียกขานของวิหคหนาม ได้”

 

กู่ฉิงซานลูบหัวเธอ และไม่เอ่ยถามอีกต่อไป

 

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า

 

ดาวตกตัดผ่านมวลเมฆ และหล่นลงบนเส้นทางเบื้องหน้าม้าทมิฬ

 

“หยุด!” กู่ฉิงซานดึงสายบังเหียน

 

ม้าทมิฬเร่งยั้งฝีเท้า เบรคอย่างรุนแรง

 

– ตูม!

 

ฝุ่นผงกระพือว่อน

 

พร้อมด้วยสิบทหารติดอาวุธ และหญิงหกคนที่สวมใส่ชุดสีเขียวพร้อมกุมไม้เท้ามนตราในมือปรากฏตัวขึ้น

 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานบังเกิดความตระหนักชัด

 

สามารถอัญเชิญพันธมิตรจากมิติและเวลาอันห่างไกลมายังมิติพิเศษของตนเองได้ นี่สินะที่เรียกกันว่า การเรียกขานของวิหคหนาม

 

เทคนิคอัญเชิญดังกล่าวนี้ จริงๆแล้วเป็นเทคนิคสายเลือดของกษัตริย์แห่งหนาม

 

ซึ่งแม้อีเลียจะได้รับสิทธิ์ให้ใช้มัน แต่เธอก็สามารถเรียกทหารมาได้แค่ 16 คนเท่านั้น

 

ทว่าหากเป็นกษัตริย์แห่งหนามที่ใช้ ‘การเรียกขานของวิหคหนาม’ ด้วยตนเอง เขาจะสามารถอัญเชิญกองทัพของตลอดทั้งอาณาจักรมาได้เลยในคราวเดียว!

 

แต่น่าเสียดาย ที่กษัตริย์ถูกลอบสังหารไปแล้ว

 

และตัวลอร่าเอง ก็ยังไม่ได้ปลุกสายเลือดราชวงศ์ให้ตื่นขึ้น

 

—แต่ต่อให้เธอปลุกสายเลือดขึ้นมาได้ มันก็ไม่แน่ซะหน่อย ว่าจะบังเอิญไปปลุกเทคนิคสายเลือดเดียวกันกับของพ่อเธอ จริงไหม?

 

เทคนิคมนตราที่เธอปลุกขึ้นมา มันอาจจะแตกต่างกันออกไปก็ได้

 

“มีแค่นี้เองงั้นหรอ พอจะเรียกกำลังเสริมมาอีกจะได้ไหม?” กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

 

“ไม่ได้หรอก เพราะอีเลียไม่ใช่ราชวงศ์ และด้วยอำนาจที่ท่านพ่อของเรามอบให้ เธอสามารถทำได้เพียงเท่านี้” ลอร่ากล่าว

 

กู่ฉิงซานมองไปยังเหล่าวิหคที่พึ่งปรากฏกายขึ้น

 

ในกลุ่มนั้น มีทหารชายหญิงสิบนาย เขาและเธอสวมเครื่องแบบเป็นเกราะรบสีเงินและอาวุธ ในมือถืออาวุธชั้นยอด และทันทีที่ปรากฏตัว ทั้งหมดก็กระจายไปรอบๆ ตีวงล้อม หันหลังให้แก่พวกกู่ฉิงซาน รับหน้าที่คอยปกป้อง

 

เหล่าทหารจัดกระบวนทัพ เข้าสู่สภาวะพร้อมต่อสู้

 

—ขณะเดียวกัน กองทัพผีที่กำลังบุกขึ้นไปในเมืองก็สังเกตเห็นถึงเหตุการณ์ที่ว่านี้เช่นกัน

 

วิหคหญิงอีกหกคนในชุดคลุมยาวเดินมาหยุดเบื้องหน้าลอร่า โค้งกายลงคารวะพร้อมเพรียง

 

“องค์หญิงลอร่า เราได้ทำการสื่อสารกับรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์แล้ว และมันก็ตกลงที่จะตระเตรียมการเคลื่อนย้ายมิติและเวลาจากระยะไกล เพื่อท่านโดยเฉพาะ” วิหคหญิงคนหนึ่งกล่าว

 

อีกห้าคนพยักหน้าให้กัน และเริ่มร่ายมนคาถา

 

พร้อมกันกับการเปล่งมนตราของพวกเธอ ม่านรังสีแสงก็ค่อยๆปรากฏขึ้น

 

มองลอดผ่านม่านแสงไป คุณจะสามารถเห็นได้ถึงกิ่งก้านไม้ที่ปกคลุมไปด้วยใบเขียวขจีจากอีกฝั่ง

 

จากม่านแสงนี้ สามารถมองเห็นได้เพียงกิ่งก้านขนาดใหญ่เท่านั้น ซึ่งนี่เป็นเพียงหนึ่งในร้อยของรุกขชาติศักดิ์สิทธิ์ มิใช่ทั้งลำต้นของมัน

 

ลอร่ามองไปยังต้นไม้ใหญ่ ปากเอ่ยพึมพำ “กลับบ้านงั้นหรอ .. ”

 

วิหคหญิงชุดคลุมยาวกระตุ้นเตือน “ฝ่าบาท ได้โปรดกลับไปเถิด สถานที่แห่งนี้กำลังจะเข้าสู่สภาวะสงครามแล้ว”

 

ลอร่ามองไปยังบ้านเกิดของตนเองในม่านแสง และหันไปมองรอบๆอีกครั้ง

 

เห็นแค่เพียงกองทัพผีที่กำลังเคลื่อนพล เร่งตรงมายังทิศทางที่เธอยืนอยู่ด้วยความเกรี้ยวกราด

 

กองทัพผีเบียดเสียดกันดั่งคลื่นสึนามิ ที่โถมทับลงบนจุดใด พื้นที่ราบตรงจุดนั้นก็จะถูกทำลายล้าง คละคลุ้งไปด้วยฝุ่นผง

 

พวกมันเคลื่อนตัวใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

ลอร่าก้าวมาหยุดอยู่หน้าม่านแสง ก่อนจะหันกลับมาทันทีและกล่าว “กู่ฉิงซาน เจ้ามากับเราสิ”

 

วิสัยทัศน์ของหกผู้ใช้มนตราหันมามองกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว

 

“กระหม่อมไปไม่ได้” กู่ฉิงซานกล่าว

 

“เพราะเหตุใด?”

 

“เพราะกระหม่อมจะต้องสู้”

 

ลอร่าพอได้ฟังก็แข็งค้าง

 

กระทั่งในสถานการณ์แบบนี้ -ทั้งๆที่สามารถเอาตัวรอดได้ แต่ชายคนนี้กลับ ..

 

เลือกที่จะสู้ …

 

นั่นสินะ ขนาดมันไม่ใช่เรื่องของเขา เขายังสู้เลย แล้วทำไมเธอถึงไม่สู้บ้างล่ะ?

 

ลอร่าพยักหน้าอย่างช้าๆ และค่อยๆชักฝีเท้ากลับ “งั้นเราก็ไม่กลับแล้ว”

 

วิหคหญิงชุดคลุมยาวกล่าว “องค์หญิง ที่นี่มันอันตรายเกินไป ท่านไม่อาจเสี่ยงได้ เพราะในราชวงศ์วิหคหนาม ท่านน่ะเป็น -”

 

“สายเลือดคนสุดท้าย”

 

ลอร่าชิงพูดตัดหน้าอีกฝ่าย “ใช่ เรารู้เรื่องนั้นดี ดังนั้นเราจึงไม่สามารถจากไปได้อย่างไรล่ะ”

 

วิหคหญิงชุดคลุมยาวสูญสิ้นเสียงของเธอ “เพราะ … เหตุใด?”

 

“เพราะคนที่สังหารท่านพ่อท่านแม่ของเรา ปัจจุบันเธอต้องการยึดครองโลกโบราณใบนี้ และหากทำได้ แผนทุกอย่างของเธอก็จะประสบผลสำเร็จ”

 

“หากเราหนีห่างจากอันตรายกลับไป เลือกที่จะหดหัวอยู่ในดินแดนอัศจรรย์ แล้วเกียรติยศ ศักดิ์ศรีของการเป็นเจ้าหญิงจะไปทิ้งไว้ที่ไหน แล้วเราจะเป็นผู้เหมาะสมที่ครอบครองสายเลือดราชวงศ์หนามได้อย่างไร!”

 

ลอร่ากำมือน้อยๆของเธอแน่นแล้วพูดว่า “เราก็ต้องการที่จะสู้เหมือนกัน”

 

วิหคหญิงชุดคลุมยาวหลายคนเผยถึงความกังวล ทั้งหมดคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกัน “แต่มันอันตรายเกินไปนะฝ่าบาท และทางตระกูลวิหคหนามก็ไม่อาจสูญเสียไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว”

 

ลอร่าพยักหน้า และกล่าวอย่างสงบ “ราชวงศ์ถูกสังหาร , ชีวิตและความตายของนายพลอีเลียก็ยังไม่แน่ไม่นอน ขณะที่ฆาตกรกำลังจะได้ทุกอย่างไปในครอบครองในไม่ช้า ช่วงเวลานี้เราจึงถอยไม่ได้ เพราะเราเป็นตัวแทนของราชวงศ์หนาม”

 

แม้น้ำเสียงจะเริ่มสั่น แต่เจ้าตัวก็ยังยืนยันหนักแน่น “ท่านแม่เคยกล่าวว่าจ้าวนครที่ดี ควรจะตระหนักได้ว่ายามใดสมควรถอย และยามใดสมควรสู้ตายอย่างไม่ยินยอมอ่อนข้อ!”

 

“เราในฐานะบุตรีของกษัตริย์ จะไม่มีทางถอยแก่ศัตรู”

 

“เราจะต้องให้ทริสเต้ ชำระหนี้เลือดในครั้งนี้ด้วยเลือดจากตัวเธอเอง!”

 

วิหคหญิงทั้งหลายลดศีรษะลง ไม่กล้าเอ่ยคำใดออกมาสักพักหนึ่ง

 

แต่สุดท้ายวิหคหญิงชุดคลุมยาวก็ร้อนรนทนไม่ไหว จำต้องเปล่งเสียงออกมา “แต่กองทัพอสูรกายกำลังมารวมตัวกันที่นี่ และสิ่งเดียวที่พวกเราสามารถทำได้คือการพาฝ่าบาทกลับไป แม้กระทั่งนายพลอีเลียก็ยังไม่สามารถช่วยท่านได้”

 

ลอร่าหันไปมองกู่ฉิงซาน และเห็นแค่เพียงรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนของอีกฝ่ายสวนกลับมา

 

“กู่ฉิงซาน … ”

 

ในแววตาของลอร่าเผยให้เห็นร่องรอยของการวิงวอน

 

“เอาล่ะๆ กระหม่อมขอกล่าวอะไรสักเล็กน้อยก็แล้วกัน ว่าตอนนี้ ภายนอกน่ะมีบางสิ่งบางอย่างกำลังเกิดขึ้น” เขาพูดออกมา

 

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”

 

“มนุษย์ พูดเรื่องอะไรของเจ้า?”

 

ลอร่ากับวิหคหญิงชุดคลุมยาวเอ่ยถามพร้อมกัน

 

“จำได้ไหม ฝ่าบาทเคยบอกกับกระหม่อมว่า หากวิหคหนามแปลกหน้าเข้ามาเยือนโลกของวิหคหนามตนอื่นๆ แล้วเผลอพลั้งมือออกไป เจ้าของโลกก็จะตระหนักถึงอีกฝ่ายได้ในทันที”

 

กู่ฉิงซานมองไปยังกองทัพผีที่กำลังใกล้เข้ามาและกล่าว “แต่เวลานี้ ซึ่งกระหม่อมคิดว่าอีเลียคงไม่ต้องการปกปิดตัวตนอีกต่อไปแล้ว เธอต้องการที่จะช่วยท่านให้หลบหนีออกไปจากที่นี่ในทันที จึงใช้ออกด้วยมนตราอัญเชิญ ‘การเรียกขานของวิหคหนาม’ ”

 

“ซึ่งทริสเต้ย่อมต้องตระหนักถึงเทคนิคมนตราของอีเลียอย่างแน่นอน และด้วยความแข็งแกร่งของเธอ  ทริสเต้ก็สมควรที่จะกลับเข้ามาในโลกใบนี้ และทำการเปิดมัน เพื่อเริ่มแพร่กระจายต้นกำเนิดไปแล้วโดยสมบูรณ์”

 

“อย่างไรก็ตาม จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ แม้เวลาจะล่วงเลยไปสักพักหนึ่ง ชนิดที่ว่ากองทัพผีวิ่งข้ามผ่านมาครึ่งทุ่งราบลุ่มนี้แล้วก็ตาม แต่ทริสเต้กลับยังไม่ลงมือเสียที”

 

“ดังนั้น นี่พอจะสรุปได้ว่า นอกโลกใบนี้จะต้องเกิดเรื่องสำคัญบางอย่างขึ้น หรือไม่ก็มีบางคนกำลังขัดขวางทริสเต้ จนเธอไม่กล้าลงมือเป็นแน่”

 

“อ้างอิงตามสถานการณ์นี้ กระหม่อมคาดว่าสิ่งแวดล้อมจากภายนอกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางของฝั่งเรา”

 

เขาขบคิดและกล่าว “ทำให้โอกาสที่พวกเราจะสู้ .. ไม่สิ้นหวังซะทีเดียว”

 

วิหคหญิงชุดคลุมยาวทั้งหก และทหารเกราะเงินทั้งสิบมองมายังเขาด้วยความโง่งม

 

ก่อนจะเบนสายตาไปมองกองทัพผีที่ทรงพลังและยิ่งใหญ่บนพื้นดิน และแหงนมองผีแห่งความอลหม่านเหลือคณาที่กำลังร่วงตกลงมาจากท้องฟ้า สุดท้ายก็สลับมามองกู่ฉิงซานอีกครั้ง

 

สถานการณ์แบบนี้ … ยังมีหวังที่จะสู้ได้จริงๆน่ะหรือ?

 

แค่พวกเราไม่กี่คน แต่ต้องรับมือกับกองทัพมอนสเตอร์นับล้านเนี่ยนะ?

 

ลอร่าเดินเข้ามาหากู่ฉิงซานและบีบมือเขาเบาๆ

 

เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา

 

“กู่ฉิงซาน ตอนนี้เราคือเชื้อพระวงศ์แห่งตระกูลหนาม เป็นสายเลือดราชวงศ์คนสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ และในอนาคตจะได้ขึ้นเป็นกษัตรีย์ เราอยากจะขอร้องเจ้า ให้ช่วยพาเรา ร่วมต่อสู้ไปด้วยกันจะได้หรือไม่”

 

กู่ฉิงซานก้มลงมองเธอ แต่ไม่ได้พูดอะไรสักคำ

 

ลอร่ากัดริมฝีปาก และพยายามที่จะระงับน้ำเสียงของเธอให้สั่นไหวน้อยลง

 

“กู่ฉิงซาน พวกเราเดินทางร่วมกันมานาน และเจ้าก็ดูแลเราดีไม่ต่างไปจากท่านแม่ของเราเลย ฉะนั้นเราจึงเข้าใจในตัวเจ้าดี”

 

“เรารู้ว่าไหล่ของเจ้าต้องแบกรับสิ่งต่างๆมากมาย ไม่สนใจกระทั่งชีวิตและความตายของตนเอง กระทั่งในช่วงเวลาที่โลกกำลังจะพินาศ เจ้าก็ยังเลือกที่จะต่อสู้กับศัตรู”

 

“กู่ฉิงซาน เจ้ากับเราน่ะอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน นั่นคือมีศัตรูที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องเอาชนะให้จงได้ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความโศกเศร้าและเจ็บปวดก็ตามที”

 

“กู่ฉิงซาน .. เจ้าจะสามารถพาเรา เอาชนะพวกมันไปด้วยกันจะได้ไหม?”

 

“หากตราบใดที่เจ้านำพาเราไปต่อสู้ร่วมกัน แม้ว่าในท้ายที่สุดจะต้องตาย เราก็จะไม่บ่นอะไรแม้เพียงครึ่งคำ”

 

ลอร่าพูดจบ เธอก็เฝ้ารอสักพัก แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ

 

หัวใจของเธอค่อยๆร่วงหล่นลงสู่หุบเหวลึก

 

ลอร่าก้มหน้าลงด้วยความหดหู่ น้ำเสียงของเธอสะอื้นไห้ “ช่วยพาเรา ไปต่อสู้ด้วยกันกับเจ้า ไม่ได้หรื-”

 

จู่ๆชายตรงข้ามเธอก็เคลื่อนไหวอย่างกระทันหัน

 

ลอร่าเงยหน้าขึ้นทันที

 

เห็นแค่เพียงกู่ฉิงซานที่เอนตัวลง คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นดิน

 

เขายิ้มให้เธอ ปากเปล่งเสียงกระซิบเบาๆ “น้อมรับบัญชา องค์กษัตรีย์”