บทที่ 156 ไม่กลัวเล่นเขาจนเสียหรืออย่างไร

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

ฉีโส่วหลิวอยากปฏิเสธ

แต่คนใหญ่น้อยเต็มห้องต่างมองเขาอยู่ หากแค่นี้เขายังไม่กล้าพนัน แล้วต่อไปเขาจะเป็นลูกพี่ได้อย่างไร?

อีกอย่างคืนนี้ก็แทบเสียพนันไปจนเงินที่เก็บเกือบหมด เขามีไฟสุมอยู่ในอก กัดฟันโพล่งออกไป “ได้! พนัน!”

“เจ้าจะพนันอะไร?”

“บ้านเดิมข้า กับบ้านพักข้า!”

“ได้! เจ้าแทงสูงหรือแทงต่ำ?” ฉีโส่วลั่วกลัวว่าเขาจะกลับคำ

ฉีโส่วหลิวซื้อบ้านพักหลังหนึ่งอยู่นอกพระนคร เป็นที่รู้กันทั่วในหมู่ฉีโส่ว ต่างพากันอิจฉาเขา

เขาก็อิจฉามากที่สุดเหมือนกัน

หากชนะได้บ้านพักมา เช่นนั้นได้กำไรก้อนโต

“เออ…แทงสูงแล้วกัน ไม่สิ! แทงต่ำ”

“จะแทงสูงหรือแทงต่ำกันแน่?”

“ต่ำ”

“สหายอี้ เช่นนั้นเราแทงอะไร?”

สีหน้าอี้เฉินเฟยยังสุภาพเรียบเหมือนเคย เขาหัวเราะเอ่ย “ในเมื่อเขาแทงต่ำ เช่นนั้นเราก็แทงสูงแล้วกัน”

“จะแทงสูงจริงหรือ? เจ้าต้องคิดให้ดีอีกสักหน่อยไหม?” ครั้งนี้เขาลงเงินจำนวนมาก จะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าแพ้จริง แม้แต่ทุนเดิมของเขาก็หมดไปด้วย

“ไม่เช่นนั้น ท่านแทง?” อี้เฉินเฟยถอยให้

ฉีโส่วลั่วปัดมือใหญ่ “เจ้าแทงดีกว่า”

เมื่อทั้งสองฝ่ายลงเสร็จ ลูกเต่าก็ถูกฉีโส่วหลิวเขย่า

ฉีโส่วหลิวมีเหงื่อกาฬผุด มือที่เขย่าลูกเต๋าสั่นไม่หยุด

เขาเขย่าอยู่นานก็ไม่วาง ฉีโส่วลั่วมองจนร้อนใจ

“เจ้ายังเขย่าไม่เสร็จอีกหรือ?”

“เร่งอะไรนักหนา!”

“เจ้าก็ไวหน่อยสิ”

ฉีโส่วหลิวเขย่าอีกนานแล้วถึงวางลง แต่กลับไม่กล้าเปิดฝาออกสักที

ครั้งนี้พนันหนักนัก

พวกเขาทั้งสอง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดที่แพ้ก็ต้องหมดตัว

สุดท้ายฉีโส่วลั่วก็กัดฟันเปิดฝาออก

เขานึกว่าอี้เฉินเฟยชนะมาทั้งคืน เขาต้องยังชนะได้อีกแน่

แต่กลับคิดไม่ถึง ตานี้กลับเป็นหนึ่งสองสาม ต่ำ…

“เป็นไปได้อย่างไร? ทำไมถึงเป็นต่ำไปได้?” สีหน้าฉีโส่วลั่วขาวซีดไปทันที ทำไมเขาไม่อาจยอมรับผลนี้?

ฉีโส่วหลิวและทุกคนในห้องต่างก็ตะลึงตาค้าง

ขยี้ดวงตาแล้วก็ยังเป็นหนึ่งสองสาม ต่ำ

ชะ…ชนะแล้ว…

เขาชนะแล้วหรือ?

“สวรรค์! เป็นหนึ่งสองสามต่ำจริง ข้าชนะแล้ว เงินพวกนี้เป็นของข้าทั้งหมด!”

“เจ้าแซ่หลิวเจ้าโกงใช่ไหม?” ฉีโส่วลั่วตะคอกขึ้นมา

ฉีโส่วหลิวหน้าขมึงตึงทันที “ตาเจ้าข้างไหนเห็นว่าข้าโกง? เจ้ามีหลักฐานหรือ?”

“เมื่อกี้เจ้าแพ้มาตลอด ทำไมมาชนะเอาตานี้ได้”

ฉีโส่วหลิวโมโหจนหัวเราะเย็นชา “ข้าชนะก็ว่าข้าโกง เช่นนั้นเมื่อกี้ข้าแพ้ตั้งหลายตา หรือข้าควรว่าพวกเจ้าโกงด้วย?”

“เหลวไหล เราจะโกงได้อย่างไร?”

“แล้วเจ้าเอาอะไรมาว่าข้าโกง?”

“เออ…”

ฉีโส่วลั่วมองทางอี้เฉินเฟย

อี้เฉินเฟยกางมือออก “เล่นลูกเต๋าเดิมก็มีแพ้มีชนะ เมื่อครู่ข้าก็บอกแล้ว ว่าข้าเพลียจะแพ้เอาง่ายๆ เป็นท่านที่จะพนันให้ได้”

สีหน้าฉีโส่วลั่วราวกับตับหมู เขารับไม่ได้ “ตานี้ไม่นับ! เมื่อกี้ยังไม่ได้เขย่าพวกเจ้าก็แทงแล้ว ไม่นับๆ เอาใหม่!”

ฉีโส่วลั่วไม่พูดยังพอว่า ครั้งพูดทุกคนก็พากันจ้องเขาอย่างไม่พอใจ

“จะไม่นับได้อย่างไร? เมื่อกี้ก็มีตั้งหลายตาที่แทงแล้วค่อยเขย่า หรือว่าไอ้พวกนั้นก็ไม่นับด้วย? เจ้าอย่ามาแพ้ไม่ลงสิ!”

“ตลก! ข้าหรือแพ้ไม่ลง? ข้าสงสัยว่าเจ้าจะโกงต่างหาก!”

ตอนแรกชนะได้เงินมากมายขนาดนั้น สรุปสุดท้ายไม่เพียงแค่เสียไปหมด แถมยังเอาเงินเก็บของตัวเองเสียไปหมดในตาเดียวด้วย แล้วจะให้เขายอมได้อย่างไร?

“เจ้าว่าข้าโกงครั้งแล้วครั้งเล่า วันนี้หากเจ้าเอาหลักฐานออกมาไม่ได้ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!”

ทันใดนั้นกู้ชูหน่วนก็แทรกขึ้น “อุ๊ย! พี่ชายทั้งสอง ที่แขนเสื้อพวกท่านมันเป็นอะไรน่ะ?”

ฉีโส่วหลิวยกแขนขึ้นอย่างฉงนใจ แล้วจู่ๆ ลูกเต๋าอันหนึ่งหล่นลงมาจากแขนเสื้อเขา กลิ้งอยู่บนโต๊ะหลายรอบไม่หยุด

ซี๊ด…

ทุกคนสูดลมเย็นเข้า อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าฉีโส่วหลิวจะโกงได้

ฉีโส่วลั่วตะคอก หมัดหนักต่อยเข้าไป “เจ้ายังว่าไม่โกงอีก ถ้าเจ้าไม่โกง แล้วลูกเต๋าในแขนเสื้อเจ้ามันหมายความว่าอะไร?”

ฉีโส่วหลิวก็งุนงงเหมือนกัน

เขาไม่ได้โกงจริงๆ

ใบหน้าที่ไม่ทันระวังถูกไปหนึ่งหมัด เจ็บจนสมองดังระงมไปหมด

“เจ้ากล้าต่อยข้า? กลับกันไปหมดแล้ว ใส่ความข้ายังพอว่า ยังถึงกับต่อยข้า พรรคพวก! อัดมันให้หนัก!”

“พรรคพวก! เจ้าแซ่หลิวไร้คุณธรรม ไม่เพียงเล่นโกง แล้วยังกล้าต่อยข้าอีก อัดมันให้หนัก!”

เมื่อกี้ทุกคนที่เพิ่งจะเล่น พูดคุยหัวเราะสนุกอยู่ด้วยกัน เวลานี้กลับหันมาตะลุมบอน เจ้าหมัดหนึ่ง ข้าหมัดหนึ่งแยกไม่ออก

กู้ชูหน่วนกับอี้เฉินเฟยถอยออกมา

อี้เฉินเฟยหัวเราะเอ่ย “คุณหนูสามไปถึงไหนก็ต้องยุ่งอินุงตุงนังเหมือนเดิมเลยนะ”

กู้ชูหน่วนจริงจังเอ่ย “พูดไปเรื่อย เป็นท่านนั่นแหละที่แกล้งพวกเขาเล่น ดูสิ ท่านทำเอาฉีโส่วลั่วโมโหเสียไม่มี ข้ากล้าพนันด้วยล่าเถียว(*ขนมชนิดหนึ่ง)หนึ่งซอยเลย ว่าฉีโส่วลั่วต้องนอนไม่หลับหลายวันหลายคืนแน่”

“ล่าเถียว?”

กู้ชูหน่วนหรี่ดวงตา หัวเราะคิกคักเอ่ย “พี่เฉินเฟย รบกวนท่านพาข้าไปที่ส่วนลึกของหอฉิวเฟิ่งด้วย”

“ส่วนลึกของหอฉิวเฟิ่งคุ้มกันแน่นหนา ข้าเข้าไปไม่ได้”

“ข้ามีวิธีเข้าไป แต่ต้องลำบากท่านสักหน่อย”

กู้ชูหน่วนยิ้มอย่างมีแผนการ อี้เฉินเฟยถอยไปสองสามก้าวอย่างไม่มีสาเหตุ “เจ้าคิดจะทำอะไรอีก?”

สายตากู้ชูหน่วนช้อนขึ้นแล้วพยายามเบนไปทางซ้าย

อี้เฉินเฟยเงยหน้าไปมอง แต่กลับเห็นฉีโส่วสองสามคนทางซ้ายที่อยู่ไม่ไกลกำลังกุมตัวชายงามจำนวนหนึ่งมา และกำลังเดินไปทางส่วนลึกของหอฉิวเฟิ่ง เขาขนลุกซู่ กรอกตาขาวเลียนแบบอารมณ์นาง ปฏิเสธพลันอย่างไม่ต้องคิด “ข้าขอคัดค้านอย่างเด็ดขาด!”

นังเด็กนี่ สมองคิดแต่อะไรอยู่กันนะ

ถึงกับจะให้เขาปลอมตัวเป็นทาสบำเรอ

อย่างไรเขาก็เป็นคุณชายสามแห่งสำนักหรูเจีย ถ้าถูกคนรู้เข้า จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

กู้ชูหน่วนดึงมือของเขา แกว่งอย่างออดอ้อน ใบหน้ายู่เป็นก้อนแบบน้อยใจ กะพริบตาน้อยปริบๆ

“พี่เฉินเฟย ท่านก็ช่วยข้าหน่อยสิ รับรอง ครั้งนี้เท่านั้น ต่อไปจะไม่ให้ท่านแต่งตัวเป็นทาสบำเรออีก”

“ไม่ได้!” น่าขายหน้าเกินไป

และที่ขายหน้ายิ่งกว่า ก็คือทาสบำเรอพวกนั้นใส่ชุดบางเผยผิวขนาดนั้น นี่มัน…

“พี่เฉินเฟย ท่านดีที่สุดเลย ท่านก็ช่วยข้าหน่อยเถอะ กว่าเราจะมาถึงยอดเขาลูกที่หก ท่านทนเห็นข้าใจสลายกลับไปได้หรือ?”

อี้เฉินเฟยไม่อยากรับปาก

แต่กู้ชูหน่วนก็ตื้อเหลือเกิน แกว่งแขนอ้อนเขาไม่หยุด

ที่สำคัญที่สุดคือ ทั้งที่เขารู้ว่านังเด็กกู้ชูหน่วนเสแสร้ง แต่แววตาน้อยใจนั้นยังทำจนเขาทนไม่ได้

อี้เฉินเฟยทนไม่ไหว จึงได้แต่ยิ้มเจื่อน “ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่มีครั้งหน้าอีก อีกอย่าง ห้ามแพร่งพรายออกไปด้วย!”

“ได้! ข้ารับปาก!” กู้ชูหน่วนยกยิ้มเป็นประกาย ไหนเลยยังมีความเสียใจน้อยใจอยู่บนใบหน้า

“…”

เขาว่าอยู่แล้วเชียว ถูกกู้ชูหน่วนหลอกอีกแล้ว!

นังเด็กนี่! หลอกคนอื่นยังแล้วไป ทำไมต้องเอาแต่หลอกเขาที่เป็นพี่ชายคนนี้ด้วย?

หรือว่าพี่ชายเกิดมาก็เพื่อให้นางเล่นหรือ?

ไม่กลัวเล่นเขาจนเสียหรืออย่างไร?