แกรก…

บอลสีดำปริแตกได้สม่ำเสมออย่างยิ่ง พื้นผิวเรียบเนียนมันขลับถูกรอยแตกปกคลุมอย่างเสมอกันในพริบตา

เปลือกนอกแตกละเอียด ของที่อยู่ข้างในทำให้ทุกคนตะลึงงัน

เห็นเพียงโสมที่เป็นสีเหลืองทอง มีดอกไม้ประดับบนหัว ขนาดครึ่งตัวมนุษย์ ตกลงบนพื้นดังตุบ สะลึมสะลือลืมตาขึ้นมา

“นี่มัน…” อันหลินสูดหายใจเข้าลึก “โสมวัฏจักรหรือ”

คนอื่นก็แสดงท่าทางไม่อยากจะเชื่อเช่นเดียวกัน สมุนไพรเซียนขั้นหนึ่งไม่ใช่หรือ เจ้านี่กลายเป็นภูตได้ด้วยหรือ

โสมทองคำลุกขึ้นมา ดวงตากลมมนจดจ้องเบื้องหน้า

“ป๊ะป๋า!” มันกอดขาของกันดั้มตัวหนึ่งไว้หมับ

กันดั้มตัวนั้น “…”

“หม่าม้า!” มันวิ่งเตาะแตะไปกอดขาของกันดั้มอีกตัวไว้

กันดั้มตัวนั้น “…”

อันหลินสูดหายใจดังเฮือกอีกครั้งเมื่อเห็นฉากนี้ “มันพูดได้ด้วยหรือ!”

มุมปากของหยินอวี่กระตุกน้อยๆ “มันใช่ประเด็นสำคัญหรือ สำคัญที่ว่ามันวิ่งได้ตั้งแต่กำเนิดต่างหาก ประหยัดเตียงทารกไปแล้วไม่ใช่หรือไง!”

ต้าไป๋ชักสีหน้า พูดดังลั่นว่า “จุดสนใจของพวกเจ้ามีปัญหาหรือ! จะว่าไปจุดสนใจควรจะเป็น ทำไมโสมนี่ถึงได้แยกต๋าอีกับต๋าเอ้อร์ออกว่า ตัวไหนเป็นตัวผู้ตัวไหนเป็นตัวเมียไม่ใช่หรือไง โฮ่ง!”

เจ้าอัปลักษณ์มองฟ้า “พวกเจ้าค่อยๆ คุยกัน”

ในตอนนั้นเอง จู่ๆ พื้นดินก็สั่นสะเทือนขึ้นมา

ต่อมาภูตผีก็ร้องไห้โหยหวน

ภูตผีนับไม่ถ้วนที่ลอยล่องรอบตัวก็จับจ้องมาที่พวกอันหลินกันอย่างพร้อมเพรียง

ในรอยแยก มีโครงกระดูกเป็นกองทัพปีนขึ้นมา บ้างก็เหาะออกมา มืดฟ้ามัวดินปานตั๊กแตน เบ้าตากลวงโบ๋ดำทะมึน จ้องทุกคนอย่างเย็นเยือก

“ข้าสังหรณ์ใจไม่ค่อยดี…” อันหลินกวาดสายตามองรอบข้างแล้วใจก็พลันเย็นวาบ

“โฮ!” โสมทองคำเริ่มร้องไห้ “นม…ข้าจะกินนม…”

มันพูดแล้วกอดขากันดั้มตัวหนึ่งแล้วพร่ำรำพันว่า “หม่าม้า ข้าจะกินนม…”

กันดั้มตัวนั้น “…”

ทุกคน “…”

ในตอนนั้นเอง ภูตผีกับโครงกระดูกรอบตัวก็เหมือนกับถูกอะไรบางอย่างกระตุ้น พุ่งใส่พวกอันหลินอย่างมืดฟ้ามัวดินและทรงพลัง มีสามตนเป็นโครงกระดูกมังกรระดับแปลงจิต

“หนีเร็ว!” อันหลินตะโกนลั่น คว้าโสมทองคำขี่ก้อนอิฐหนีทันใด

ทุกคนเริ่มหนีกันจ้าละหวั่นอย่างไม่ลังเล

เมื่อภูตผีเห็นพวกอันหลินหนีหัวซุกหัวซุน ก็ไล่ล่าอย่างบ้าคลั่ง

อันหลินลองเก็บโสมทองคำใส่แหวนมิติ ไม่คิดว่าจะสำเร็จ

หรือโสมนี่ยังไม่เป็นภูต แหวนมิติไม่สามารถบรรจุสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา ไม่คิดว่าจะสามารถเก็บโสมทองคำไว้ในแหวนมิติได้ด้วย เท่ากับว่ามันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาไม่ใช่หรือ

แล้วที่มันพูดได้มันเพราะอะไรกัน แถมยังอยากกินนมด้วย…

จู่ๆ ก็มีภูตผีอีกกลุ่มโถมเข้ามา

อันหลินไม่มีเวลาให้คิดมากความ จึงเข้าสู่สภาวะพร้อมรบ

ภูตผีทั่วทุกสารทิศกรูกันไปหาอันหลินอย่างบ้าคลั่งประหนึ่งถูกอะไรบางอย่างกระตุ้น

พวกมันไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยสักนิด พุ่งมาจากทุกหนแห่ง และมากขึ้นเรื่อยๆ

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ถ้าเหล่าผีรู้จะก่อตัวเป็นกองทัพภูตผีขนาดไหนกัน

“ตอนนี้พวกเราจะหนีไปที่ไหน!” หยินอวี่ตะโกนอย่างร้อนรน

ภูตผีด้านหลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นางขนลุกชูชัน หากความเร็วในการหนีช้าลงนิดเดียว ถูกตามทันละก็ ต้องตายแน่ๆ

“หนีไปที่ทางออก! ดูสิว่าอุโมงค์มิติเปิดหรือยัง!”

ตอนนี้อันหลินรวบรวมสมบัติได้พอสมควรแล้ว โสมทองคำก็คงจะเป็นโสมวัฏจักรนั่นแหละ ที่นี่ไม่มีอะไรน่าอยู่อีกแล้ว

อุโมงค์มิติของม่านแบ่งแดน

รอยแยกสีขาวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แทบจะกลับมามีขนาดเท่าเดิมแล้ว

ชายผมแดงทอดมองอุโมงค์อันไกลโพ้นด้วยนัยน์ตาวาวโรจน์

ตอนนี้ได้เวลาหนีออกจากที่บ้าๆ นี่แล้ว

เพียงแต่ว่าฝูงโครงกระดูกนอกมิติก็เป็นปัญหาใหญ่อยู่ดี แค่ความสามารถของเขาคนเดียว ไม่มีตัวรับกระสุนคอยเป็นตัวล่อ ทลายแนวป้องกันของโครงกระดูกโต้งๆ แบบนี้ อาจมีอันตรายถึงชีวิตก็ได้

ครืน…

เอ๊ะ เสียงอะไรน่ะ

ชื่ออูหันมองข้างหลัง เหมือนผืนฟ้าที่ไกลโพ้นมืดสลัวลง ดำทะมึนทึนทึบ

เมื่อเพ่งมอง ให้ตายสิ! ชื่ออูฉี่เล็ด แข้งขาก็เริ่มสั่นระริก นี่มันภูตผีกับโครงกระดูกทั้งนั้นเลย!

นี่มันมีกี่ตัวกันแน่ สามหมื่นตัว ห้าหมื่นตัว หรือแสนตัว

ชื่ออูเบิกตากว้าง จ้องฝูงภูตผีที่โหมกระหน่ำมาแต่ไกลอย่างตกตะลึง

พวกมันวิ่งมาทำไม คงไม่ได้มาจัดการเขาหรอกใช่ไหม

ทั้งๆ ที่เขาเป็นแค่ตัวประกอบเท่านั้น ภูตผีออกมากันมากมายปานนี้ต้องเคียดแค้นปานไหนกัน

เอ๊ะ…ไม่สิ!

เมื่อองค์ชายชื่ออูเพ่งสายตาดู มีคนอยู่ทางนั้น!

จากนั้นเขาก็เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย มนุษย์คนนั้น สุนัขกับวานร

พวกเขานั่นเอง!

สีหน้าขององค์ชายชื่ออูเรียบเฉย เรื่องที่อันหลินหักหลังเขา เขายังไม่ลืม

ถึงเขาจะหักหลังพวกของเขาด้วยเช่นกัน แต่นั่นเป็นองครักษ์ของเขา เขาทำได้ คนพวกนี้มีสิทธิ์อะไรมาหักหลังเขา เขาเสียใจมากนะ!

จากนั้นใจเขาก็กระตุกวูบ เพราะเขาได้เจอร่างที่คุ้นเคยทั้งสามอีกครั้ง

“น้องสิบสาม! นางยังมีชีวิตอยู่”

“ดีเหลือเกิน! กำลังกังวลอยู่เลยว่าจะอธิบายเรื่องนี้กับเสด็จพ่ออย่างไร คราวนี้เยี่ยมเลย คนพวกนั้นช่วยนางไว้หรือ”

องค์ชายชื่ออูไม่คิดว่าองค์หญิงสิบสามจะอาศัยความสามารถของตัวเองหนีออกจากแดนหมื่นผีแห่งนั้นได้ ต้องมีคนช่วยเหลือแน่นอน เพียงแต่ว่าเช่นนี้ ท่าทีที่เขามีต่ออันหลินต้องดีกว่าเดิมหน่อยแล้ว

เขารู้ว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายในการหนีออกจากแดนแห่งนี้แล้ว ภูตผีที่อยู่ข้างหลังไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

เห็นทุกคนใกล้จะเหาะมาถึงที่นี่ เขาก็กลายเป็นลำแสงสีแดงแล้วพุ่งออกไปทันที

“น้องสิบสาม เจ้าไม่เป็นไรช่างดีเหลือเกิน!”

องค์ชายชื่ออูตาแดงก่ำ เหาะไปหาองค์หญิงหยินอวี่

หยินอวี่เห็นผู้มาเยือนก็ชะงักไป จากนั้นเบือนหน้าหนีแล้วแสยะยิ้ม “ยังมีหน้าโผล่มาหาข้าอีกหรือ”

องค์ชายชื่ออูทำหน้าละอายใจ ดวงตาแดงก่ำ น้ำตาล้นทะลัก “ใช่…พี่มันไร้ประโยชน์ โทษที่พี่ไม่มีปัญญาช่วยเจ้าออกจากแดนหมื่นผี…แต่เจ้าปลอดภัยมันช่างดีเหลือเกิน…”

หยินอวี่เห็นท่าทางของชื่ออู แต่ยังคงตีหน้านิ่งไม่พูดไม่จา

อันหลินเห็นดังนั้นก็ตกใจยิ่งนัก ท่าทางจริงจังจริงใจขององค์ชายชื่ออู หากเป็นโลกมนุษย์ มันพระเอกยอดเยี่ยมของออสการ์ชัดๆ! ราชาปีศาจปัญญาชิดซ้ายแน่นอน

ชื่ออูหันหน้ามองอันหลินแล้วพูดอย่างซาบซึ้งใจว่า “สหาย ต้องขอบคุณเจ้าเป็นอย่างยิ่งที่ช่วยน้องสาวข้าไว้ นับจากนี้ไปเจ้าจะเป็นเพื่อนของข้าชื่ออูคนนี้ เป็นสหายของวังมังกรตลอดไป!”

อันหลินโบกมือปัดๆ เมื่อเห็นท่าทีเป็นมิตรของชื่ออู พูดอย่างเถรตรงว่า “ไม่ต้องขอบคุณหรอก ยินดี ข้ายินดี ปัญหาแก้ได้ด้วยเงิน…”

“ปัญหาแก้ได้ด้วยเงินหรือ” ชื่ออูกะพริบตาปริบๆ

“ข้ามอบแผนที่หนังแกะให้สหายอันหลินแล้ว” หยินอวี่เอ่ยเสียงเย็น

เปรี้ยง! ข่าวนี้เป็นเหมือนฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ทำเอาชื่ออูกรอบนอกนุ่มใน

อันหลินยื่นม้วนหนังแกะให้ชื่ออูอย่างไม่สะทกสะท้าน “แผนที่นี้ไม่ค่อยแม่นยำนัก สิบแห่งมีแค่แปดแห่งที่มีขุมทรัพย์ อ่ะ คืนเจ้า!”

ชื่ออูกำแผนที่ไว้ มุมปากกระตุกยิกๆ

คืนข้างั้นหรือ ได้ขุมทรัพย์ไปแล้ว แผนที่นี่ให้ข้าแล้วจะมีประโยชน์อะไรอีก!

ชื่ออูยิ้มน้อยๆ ยิ้มน่าเกลียดกว่าร้องไห้เสียอีก

เขายังคิดอยู่เลยว่าจะกลับไปหาสมุนแล้วกลับมาที่สนามรบบรรพกาลอีกครั้ง

คราวนี้เสร็จกัน ไม่มีอะไรเหลือแล้ว…

ตูม!

ต๋าอีกับต๋าเอ้อร์ใช้ระเบิดแสงอาทิตย์ กระแทกโครงกระดูกหมอกดำที่เฝ้าประตูม่านแบ่งแดนสองตัวจนกระเด็น

เมื่อทุกคนเผชิญหน้ากับโครงกระดูกที่อยู่ข้างหน้า ก็เริ่มสู้สุดชีวิตอีกครั้งจนเจอทางออกแล้วพุ่งออกไป…