บทที่ 295
บทที่ 295

“ถูกต้อง” หยวนยู่ตอบกลับแล้วโยนหัวที่เก็บมาให้จางเฟิง “ลืมบอกไปนี่เป็นหัวของเทียนฟาน ข้านำมันติดมือมาด้วยพอดี”

จางเฟิงตะลึงแต่ก็รับมันมา และเมื่อเห็นหัวนั่นในมือ เขาก็พลันร้องสั่งให้ลูกน้องเอามันไปแขวนไว้บนกำแพงในทันที

“เหลียงฉีอยู่ไหน ?” หยวนยู่มองไปรอบ ๆ

“ท่านแม่ทัพใหญ่กำลังปราบพวกทหารที่ยังหลงเหลืออยู่ในเมือง”

หยวนยู่พยักหน้าให้ “ข้าจะไปหาเขา” พูดจบเขาก็ควบม้าเข้าไปในเมือง

การรตามหาตัวเหลียงฉีนั้นง่ายมาก เพียงแค่ถามพวกทหารที่อยู่ในเมืองก็รู้ตำแหน่งของอีกฝ่ายแล้ว

ชายเลือดร้อนควบม้าทะยานตรงไปหาเหลียงฉี และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังยืนล้อมคุยกับแม่ทัพคนอื่นอยู่ เขาก็พลันตะโกนออกไป “เหลียงฉี ไอ้สารเลว !”

เหลียงฉีดีใจที่เห็นว่าหยวนยู่ปลอดภัย แต่เมื่อเห็นท่าทีดุดันแบบนี้ของอีกฝ่าย จึงได้รีบวิ่งเข้าไปแล้วก้มหัวให้ “ยินดีต้อนรับกลับท่านแม่ทัพ ช่างเป็นชัยชนะที่เยี่ยมยอดไปเลย !”

“ว่าไงนะ ?”

“เพราะท่าน พวกเราก็เลยยึดครองประตูตงได้ !”

“เจ้าพูดอะไรออกมา ?”

“ข้าจะรายงานให้นายท่านทราบว่างานนี้สำเร็จได้เป็นเพราะท่านหยวนยู่ ส่วนข้าก็แค่ช่วยเหลือเล็กน้อยเท่านั้น” เหลียงฉีรีบชิงพูดก่อนจะไม่มีโอกาส

ได้ยินแบบนั้นหยวนยู่ก็ขมวดคิ้ว “จริงหรือ ?”

“แน่นอน !” เหลียงฉีรู้นิสัยของอีกฝ่ายดี จึงได้เตรียมบทแก้ตัวเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว และการเชิดชูอีกฝ่ายมันก็คือวิธีการการลดความเกรี้ยวกราดที่ได้ผลชะงัดนัก ! “ข้าบอกท่านแล้วไง ว่าข้าจะต้องตอบแทนอย่างงามแน่นอน”

คำพูดนี้ทำให้ความโกรธของหยวนยู่หายไปทันที เขายิ้มออกมาแล้วหัวเราะด้วยความเขินอาย “ที่ประตูตงเสียท่าให้เจ้าไม่ใช่เพราะข้าหรอก แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าข้าไม่ได้ล่อความสนใจพวกหนิง ป่านนี้เจ้าก็ยังคงยึดไม่ได้แน่”

“ถูกต้องแล้วขอรับ ข้าน้อยต้องขอบคุณท่านเป็นอย่างสูงจริง ๆ” เหลียงฉีก้มหัวจนแทบจะติดดินอยู่แล้ว

หยวนยู่เริ่มรู้สึกแปลก ๆ กับคำเยินยอที่มากเกินไปนี้ เขาจึงคว้าจับแขนของเหลียงฉีแล้วพูด “แม่ทัพเหลียงก็พูดเกินไปแล้ว”

ไป่หยงแอบหัวเราะในใจกับภาพที่เห็นตรงหน้า ด้วยถึงแม้ว่าหยวนยู่จะเก่งกาจแค่ไหน แต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยทันคนเลยสักครั้งหนึ่ง ส่วนเหลียงฉีเองก็ฉลาดล้ำนัก ทว่าเขาก็ไม่ได้เก่งเท่าครึ่งหนึ่งของหยวนยู่เลย ดังนั้นทั้งสองจึงถือว่าเป็นคู่ขากันได้ดี

และในอนาคต ถังหยินก็จะดึงความสามารถของพวกเขาออกมาจนถึงขีดสุด ทำให้หยวนยู่กลายเป็นสุดยอดแม่ทัพที่อาบเลือดต่างน้ำและฆ่าล้างคนไปทั่ว ส่วนเหลียงฉีก็จะเป็นมันสมองที่คอยสนับสนุนหยวนยู่อีกทีหนึ่ง

เหลียงฉีฉลาดที่เลือกใช้แผนการนี้ ทำให้เสี้ยวติงต้องออกจากกำแพง และเปิดช่องให้เขาใช้กำลังทหารเข้าตียึดประตูตงจนคว้าชัยชนะมาได้อย่างที่เห็น !

และเมื่อแม่ทัพใหญ่จากแคว้นหนิงได้ยินข่าว เขาก็เกือบเป็นลม ด้วยประตูตงไม่ได้เป็นแค่ทางส่งเสบียงเท่านั้น แต่มันเป็นถึงฐานที่ตั้งของพวกหนิงในแคว้นเฟิง และถ้าหากมันตกไปอยู่ในมือของศัตรู พวกเขาก็คงจะไม่มีทางสู้หน้าคนในบ้านเกิดได้แน่

เสี้ยวติงตะลึงอยู่นานก่อนจะได้สติ “เร็วเข้า ! จัดเตรียมกำลังพลเข้าตีประตูตงคืน…ไม่สิ เดี๋ยวนี้เลย !”

เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมีกองกำลังเสริมหรือไม่ แต่พวกเขาก็ต้องทำการโจมตีประตูตงเสียเดี๋ยวนี้เลย เพื่ออาศัยจังหวะที่สถานการณ์ยังไม่สงบแล้วชิงความได้เปรียบและพื้นที่คืนมา

แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังนึกภาพกองทัพของตัวเองสู้กับกองทัพชานชุยที่ประตูตงไม่ออกเลย

ด้วยถ้าหากเข้าไปตรง ๆ พวกเขาก็จะเจอเข้ากับการป้องกันที่หนาแน่น พร้อมทั้งยังจะเสี่ยงโดนหน้าไม้ทลายเมืองและหน้าไม้ทลายกำแพงยิงเข้าใส่จากด้านบน

กองทหารของเสี้ยวติงมี 2 หมื่นนาย และเมื่อรวมกับทหารหนิงที่เหลือ มันก็ยังไม่มากพอที่จะเข้าปะทะกับอีกฝ่าย ! แต่ไม่ว่ายังไง พวกเขาก็ต้องไป !

ว่าแล้วเสี้ยวติงก็พลันนำทหารทั้งหมดที่มีบุกเข้าไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังในทันที !!!

…แต่เมื่อเห็นว่าการป้องกันของศัตรูแข็งแกร่งมาก และถ้าฝืนต่อไปก็คงจะไม่ดี แม่ทัพนายหนึ่งก็พลันเข้ามาเสนอให้เสี้ยวติงล่าถอยออกมาตั้งหลักก่อน แต่ทว่าเสี้ยวติงก็ไม่คิดจะถอย ทั้งยังไม่คิดฟังเหตุผล และทำการฆ่าแม่ทัพคนที่แนะนำให้ถอยกลับในทันทีอีกด้วย !

ทำให้ในครั้งนี้ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งเขาแล้ว !

…พวกทหารหนิงได้แต่เตรียมใจที่จะบุกทะลวงอย่างบ้าคลั่งโดยมีชีวิตเป็นเดิมพันอีกครั้ง

แต่แล้วในวินาทีต่อมา ประตูตงก็พลันเปิดออก ก่อนเป็นหยวนยู่ที่พุ่งทะยานออกมาพร้อมกับอาวุธในมือของเขา ทำให้ทหารหนิงมากมายล้มตายลง และกลายเป็นการฝังความกลัวเข้าไปในหัวของพวกหนิงจนเผ่นกันป่าราบ

ซึ่งการที่อีกฝ่ายวิ่งหนีไปแบบนั้น มันก็ได้เปิดช่องให้ทหารชานชุยที่มีกำลังใจเหลือล้นไล่ตามพวกหนิงไปติด ๆ!

เสี้ยวติงยังคงออกคำสั่งให้บุกต่อไปอย่างไม่คิดชีวิต แต่เมื่อเขาเห็นหยวนยู่ที่กำลังวิ่งตรงมา ภาพในหัวของเขาตอนที่อยู่จูเฟิงก็ลอยมาเข้าทันที เขาจึงควบม้าวิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต

การหนีของเขาทำให้พวกทหารและแม่ทัพทั้งหลายถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้ววิ่งตามกลับไป

หยวนยู่นำพากองกำลังของตัวเองไล่ตามศัตรูไปหลายสิบลี้ จนกระทั่งเหลียงฉีเรียกให้หยุด จึงได้ล่าถอยกลับมา

เสี้ยวติงขี่ม้าหนีไปกับกองทัพของเขา และเมื่อมองกลับมาก็เห็นซากศพของกองทัพหนิงมากมายที่เกลื่อนไปหมด เขาก็พลันถอนหายใจออกมาอย่างสิ้นหวังแล้วกล่าว “หากสวรรค์ต้องการให้ข้าตาย ข้าก็ไม่ขัดขืน !”

จากนั้นเขาก็หยิบดาบขึ้นมาเตรียมจะบั่นคอตัวเอง

ซูจีที่เห็นแบบนั้นก็รีบลงจากม้าเข้ามาห้ามเอาไว้ “ท่านแม่ทัพอย่านะ !”

“ข้าเสียประตูตงไปแล้ว ข้าไม่มีหน้าไปพบฝ่าบาทอีกต่อไป !” น้ำตาของเสี้ยวติงเริ่มไหลออกมา

ซูจีและทหารรอบ ๆ ที่ได้ยินแบบนั้นก็เริ่มร้องไห้ตาม เช่นเดียวกับความคิดที่จะได้กลับไปยังแคว้นหนิงก็เป็นอันล่มสลายไปแล้ว เพราะว่าประตูตงถูกยึดเรียบร้อย จนตัดขาดพวกเขาให้โดดเดี่ยวในแคว้นเฟิงนี้ !

“พวกเราต้องคิดหาทางอื่นในการชิงประตูตงกลับมาให้ได้สิท่านแม่ทัพ !” ซูจีกล่าว

เสี้ยวติงส่ายหัว “กองทัพเรามีไม่กี่หมื่นนาย จะให้ทำยังไงกัน ?”

“ท่านแม่ทัพต้องไปที่เมืองหยาน ไปเรียกให้สองพี่น้องจ้านเข้ามาช่วย !”

“จริงด้วย… ข้าลืมไปเลยว่ายังมีจ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้อยู่ด้วย พวกเขามีกำลังทหารหลายแสน จะต้องช่วยพวกเรายึดประตูตงกลับมาได้แน่ !”

คิดได้แบบนั้นเขาก็เก็บดาบแล้วกล่าว “ซูจีนำกองทัพของเราไปยังเมืองหยานกันเถอะ !”

จากนั้นกองทัพของเสี้ยวติงก็พลันเคลื่อนกำลังพลไปยังเมืองหยาน

การต่อสู้ที่ประตูตงเกิดขึ้นเร็วมาก และการได้มันมาก็ถือเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของแคว้นเฟิง

เพราะเมื่อเสียประตูตงไปแล้ว กองทัพหนิงก็จะถูกตัดขาดจากแคว้น ทำให้การส่งเสบียงและยุทโธปกรณ์ลำบากขึ้นหลายเท่าตัว และจะมีเหลือก็แต่เพียงกองทัพจำนวน 2 แสนนายของสองพี่น้องจ้านในเมืองหยานเท่านั้นที่พอจะช่วยอะไรได้ !

ทว่ากองทัพ 2 แสนนายนี้ที่ว่า พวกเขาก็ไม่สามารถจัดการเสบียงต่าง ๆ ได้เลย ทำให้ต้องแย่งกับซ่งเทียนจนเกิดข้อพิพาทอยู่บ่อยครั้ง จนพาลให้ไม่ค่อยจะลงรอยกับพวกทหารเฟิงเสียเท่าไหร่ !

แต่ก็ต้องบอกตามตรงเลยว่า การศึกที่ประตูตงเล็ก ๆ แห่งนี้ มันสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ได้เลยทีเดียว !