ภาคที่ 3 บทที่ 155.2 แสดงความภักดี (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 155 แสดงความภักดี (2)

เมื่อหลินเฟิงถังได้ยินเช่นนั้น เขาก็รู้ว่ามันถึงเวลาที่ตนจะต้องเคลื่อนไหวแล้ว

อันที่จริงตั้งแต่ที่เฉินเหวินฮุยปรากฏตัว เขาก็เข้าใจในทันทีว่าผู้ที่จะพาโอกาสแสดงความภักดีมาให้ที่ซูเฉินกล่าวถึงคือใคร

เฉินเหวินฮุยเป็นหลานชายของหวังเผยหยวน แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีสายเลือดของตระกูลหวัง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ค่อนข้างลึกซึ้ง ดังนั้นการลงไม้ลงมือกับเฉินเหวินฮุยก็เท่ากับเป็นการหยามหน้าตระกูลหวัง

คำขอของซูเฉินให้แสดงความภักดีนี้ แทบจะไม่ต่างอะไรกับการบีบบังคับให้หลินเฟิงถังเดินเข้าสู่ทางตัน เขาจะไม่โอนอ่อนข้อให้เพียงเพราะแค่ประโยคบอกยอมแพ้ประโยคเดียว และจะผลักดันจนกว่าอีกฝ่ายจะไร้ซึ่งหนทางอื่นให้เลือกเดิน

คนจากกรมพลังต้นกำเนิดอยู่ที่นี่ก็เพื่อคอยกดดันให้ตระกูลหลินลงมือ

เห็นได้ชัดว่าหากหลินเฟิงถังไม่ยอมให้ความร่วมมือกับอีกฝ่าย กลุ่มต่อไปที่จะถูกกรมพลังต้นกำเนิดกวาดล้างก็คงจะเป็นพวกเขา

หากสมาชิกของกลุ่มอันธพาลฉางชิงกับพยัคฆ์ร้ายทุกคนมีโทเทมโลหิตสลาย ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกยุทธ์ของกรมพลังต้นกำเนิดก็อาจมีมันทุกคนเช่นกัน และอาจจะเป็นรุ่นที่ปรับปรุงให้ดีกว่าเดิมแล้วด้วย

แต่จะให้เขาเปลี่ยนข้างเร็วขนาดนี้เลย ?

หลินเฟิงถังลังเลเล็กน้อยที่จะทำเช่นนั้น

เขามองไปที่ซูเฉิน และพบว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองมาที่เขาอยู่เหมือนกัน

แม้รอยยิ้มจะยังคงประดับอยู่บนใบหน้าของซูเฉิน แต่ดวงตาของเขากลับเปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร พลังต้นกำเนิดรวมตัวกันเต้นเร่าวนไปวนมาอยู่รอบ ๆ ปลายนิ้ว

หลินเฟิงถังรู้ดีว่าการเล่นบทคนโง่ในยามนี้คงจะดูไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก เขาจึงทำได้แค่พูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก “เฉินเหวินฮุยมาที่นี่เพื่อช่วยข้า หากข้าโจมตีไปมันก็ออกจะเกินไป … ”

“อีกฝ่ายไม่ได้มาเพื่อช่วยท่านอย่างจริงใจหรอก แต่เพื่อพันธมิตรที่กำลังจะพังลงต่างหาก ตระกูลเว่ยกับตระกูลเซินแยกตัวออกไป ตระกูลหลงยอมจำนน เหอหวูเชียนตายไปแล้ว ฉวงเทียนเยว่เองก็เช่นกัน ถ้าพวกเขาไม่ช่วยท่าน พันธมิตรนี้ก็คงจะได้แตกสลายจริง ๆ ”

“เจ้าว่าอะไรนะ ? ฉวงเทียนเยว่ตายแล้ว ? ตระกูลหลงยอมจำนน ?” หลินเฟิงถังชะงัก

หลังจากที่สังหารฉวงเทียนเยว่แล้ว ซูเฉินก็มุ่งตรงมาที่ตระกูลหลินในทันที ในตอนนี้ตระกูลอื่น ๆ อาจจะได้รับข่าวแล้วแต่ไม่ใช่กับตระกูลหลิน เพราะพวกเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกปิดล้อมเอาไว้ เมื่อรวมกับข่าวการยอมจำนนของตระกูลหลง มันจึงส่งผลกระทบต่อจิตใจแก่หัวหน้าตระกูลหลินผู้นี้อย่างมาก

แต่ราวกับว่าแรงกดดันนี้ยังไม่เพียงพอ ร่างของคนผู้หนึ่งเผยตัวออกมาทางด้านหลัง ณ จุดที่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากซูเฉินมากนัก เป็นหลงชิงเจียง ! เขาได้ซ่อนตัวเนียนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน หากไม่สังเกตให้ดี ๆ ก็แทบจะไม่มีทางมองเห็นเขา

แรงกระทบที่ส่งผลต่อจิตใจหลินเฟิงถังมากเกินกว่าที่เขาจะรับได้แล้ว ซูเฉินกล่าวต่อ “ดูสิ ข้าจะไม่บังคับให้ท่านทำเรื่องแบบนี้ก็ได้ อย่างไรซะที่ด้านหลังของท่านก็ยังมีคนมากมายรอที่จะทำแทนท่านอยู่ หัวหน้าตระกูลหลินท่านไม่ใช่คนแรกที่ยอมจำนน และหากแม้แต่โอกาสในการแสดงความภักดีคนแรกก็เป็นตระกูลหลงด้วย นั่นคงจะไม่ดีเสียเท่าไหร่ ดังนั้นข้าจึงเสนอโอกาสนี้ให้ท่าน ทว่าหากท่านไม่ต้องการ… เมื่อยามที่สุนัขไม่สามารถหาอาหารได้ ท่านรู้ไหมว่าพวกมันจะกินสิ่งใดแทน ?”

ซูเฉินโน้มตัวเข้าหาอีกฝ่าย แล้วกล่าวต่อที่ข้างหูของหลินเฟิงถังอย่างช้า ๆ “มันจะกินอาจมหรือไม่ก็ตายไปเลย !”

คำพูดนี้ทิ่มแทงหัวใจของหลินเฟิงถังอย่างสุดซึ้ง

เขาต้องการที่จะระเบิดความโกรธ ต้องการที่จะระบายความไม่พอใจออกมา อย่างเช่นคนบ้าเลือดผู้หนึ่งและด่าทออีกฝ่ายที่กล้ากล่าวว่าเขา

ทว่ามนุษย์ยังคงเป็นมนุษย์ หากแม้แต่มดก็พยายามดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด แล้วจะนับประสาอะไรกับมนุษย์เรา ?

ทันทีมองไปที่ซูเฉิน หลินเฟิงถังก็พบว่าตัวเองไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้เลย

ประโยคที่คล้ายบอกเป็นนัยว่า ‘ข้าไม่สนใจว่าเจ้าทั้งหมดจะตายหรือไม่’ ของอีกฝ่ายได้ล้มล้างความตั้งใจนั้นของเขาไปจนสิ้น

หัวหน้าตระกูลหลินพยักหน้าอย่างหมดทางเลือก

“งั้นก็ลงมือเถอะ” ซูเฉินกล่าว “อย่ามัวเสียเวลาอีกเลย”

หลินเฟิงถังถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาหลับตาแล้วพูดว่า “ตระกูลหลินตามข้ามา ! ฆ่า !”

เฉินเหวินฮุยยังคงรับมือพัวพันอยู่กับหวังเหวินซิ่นและกั่วหลง ถึงจะเป็นการสู้แบบ 1 ต่อ 2 แต่เขาก็ยังถือครองความเหนือกว่าเอาไว้ได้ ทุกท่วงท่าต่างเต็มไปด้วยพลังที่สามารถบังคับให้คู่ต่อสู้ทั้ง 2 ต้องถอยร่นไปครั้งแล้วครั้งเล่า

เมื่อเห็นคนจากตระกูลหลินพุ่งเข้ามา เฉินเหวินฮุยก็เข้าใจไปว่าอีกฝั่งพยายามที่จะเข้ามาช่วยตน จึงตะโกนไปว่า “ไม่ต้องเข้ามาทางนี้ กันไม่ให้ซูเฉินลงมือโจมตีได้เอาไว้ !”

อย่างไรก็ตามคำตอบเดียวที่เขาได้รับกลับเป็นการโจมตีอย่างรุนแรงจากสมาชิกของตระกูลหลิน

ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนที่ดังขึ้น จนเฉินเหวินฮุ่ยแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่สายตาของเขาเห็น

เกิดอะไรขึ้น ?

เป็นไปได้อย่างไร ?

“หลินเฟิงถัง เจ้ากำลังทำบ้าอะไรอยู่ ?!” เฉินเหวินฮุ่ยไม่สามารถหยุดตัวเองไม่ให้ตะโกนใส่อีกฝ่ายได้

“ข้า … ” หลินเฟิงถังอยากจะขอโทษ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็ยังคงเป็นหัวหน้าตระกูล

สิ่งที่สำคัญที่สุดในฐานะผู้นำ ไม่ใช่การมีกลยุทธ์หรือแผนการมากมาย แต่เป็นความแน่วแน่ในการเลือกตัดสินใจในช่วงเวลาที่สำคัญ

เมื่อได้ตัดสินใจไปแล้ว ก็ไม่ควรเสียใจและคิดมากกับการตัดสินใจนี้ มิฉะนั้นมีแต่จะทำให้ขวัญกำลังใจของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาสั่นคลอน และก่อให้เกิดความไม่พอใจในตัวผู้นำขึ้นมา จนนำไปสู่ความแตกแยกที่จะทำให้ประสิทธิภาพในการลงมือทำสิ่งต่าง ๆ ลดลง ดังนั้นความเด็ดขาดจึงเป็นสิ่งที่หัวหน้าจะเป็นต้องมี

นี่คือเหตุผลที่หลินเฟิงถังกล่าวออกมาได้เพียงคำเดียว ก่อนที่จะเปลี่ยนโทนเสียงของเขาไป

…และตอบว่า “ไม่มีอะไร ข้าแค่จะยืมหัวของเจ้าเพื่อมาสร้างรากฐานสำหรับตระกูลหลินของข้า !”

ทันทีที่กล่าวจบ ร่างของหลินเฟิงถังก็พุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า

สายเลือดเหยี่ยวแสงจันทร์สีเงินถูกเปิดใช้ ทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก

มือที่สั่นเทาของเขายิงกระสุนแสงจันทร์เข้าใส่เฉินเหวินฮุ่ย

เฉินเหวินฮุ่ยไม่มีเวลาแม้แต่จะตะโกนสาปแช่ง เขารีบบินถอยกลับเพื่อที่จะหลบออกไป แต่หวังเหวินซิ่นและกั่วหลงไม่คิดจะให้ให้โอกาสนั้นแก่เขา ทั้ง 2 ขว้างอีกฝ่ายไว้และระดมโจมตีเข้าไปอย่างต่อเนื่อง

“ไอ้สารเลว !” เฉินเหวินฮุ่ยรู้สึกโกรธมาก เถาวัลย์สีเขียวพากันงอกออกมาจากร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าเขาเป็นลำต้นของต้นไม้ใหญ่ที่แตกกิ่งก้านไปทั่วทุกทาง

อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะยกระดับความแข็งแกร่งของตัวเองขึ้นมาได้ แต่คู่ต่อสู้เองก็ทำได้เช่นกัน

หวังเหวินซิ่นโบกมือและตะโกน “ลงมือ !”

ผู้ฝึกยุทธ์ทั้ง 200 สร้างลูกไฟที่เผาไหม้อย่างร้อนแรงขึ้นมาอีกครั้ง

ไม่ว่าเถาวัลย์ของสายเลือดปีศาจนางไม้จะทรงพลังมากเพียงใด ทว่าเมื่อต้องเผชิญกับลูกไฟทั้ง 200 ลูก มันก็ไม่อาจต้านทานหรือหลบหนีจากการถูกเผาได้อยู่ดี เสียงร้องของเฉินเหวินฮุยดังขึ้นพร้อมกับเศษเถาที่ไหม้ปลิวไปทั่ว เขารั้งเถาวัลย์กลับไป โชคดีที่ในพริบตานั้นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งของกรมวินิจฉัยคดีพุ่งมาตั้งรับการโจมตีจากหวังเหวินซิ่นและคนอื่น ๆ ไว้แทนเจ้ากรมได้ทัน

“ใต้เท้าตระกูลหลินทรยศพวกเรา ! รีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ !” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตะโกน

เมื่อเจ้ากรมเฉินกวาดตามองไปรอบ ๆ เขาก็เห็นว่า กลุ่มอันธพาลฉางชิงกับตระกูลหลินนั้นได้เปรียบกว่า ส่วนผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็กำลังถูกสังหารไปเรื่อย ๆ

ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาในใจของเขา แต่เฉินเหวินฮุ่ยก็ทำได้เพียงแค่ตะโกนว่า “ถอย !”

“อยากจะถอย ? ใครอนุญาตให้ทำเช่นนั้นกัน ?” ซูเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน

เขาตั้งใจชักนำเฉินเหวินฮุ่ยมาที่นี่เพื่อที่จะกำจัดอีกฝ่ายซะ แล้วเขาจะยอมปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปได้อย่างไร ?

เสาเพลิงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยการสะบัดนิ้วของซูเฉิน

เจ้ากรมเฉินเฝ้าดูเปลวไฟพวยพุ่งขึ้นสู่อากาศอย่างตกตะลึง และในขณะที่เขากำลังสงสัยว่ามันคืออะไรกันแน่ จู่ ๆ เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หลัง

“อ้าก !” เขาร้องโหยหวนและผลักฝ่ามือสวนไปด้านหลัง ผู้ซุ่มโจมตีหลบการสวนกลับแล้วพลิกตัวกลับเข้าไปในฝูงชน

เฉินเหวินฮุ่ยเห็นหน้าคนที่โจมตีเขาอย่างชัดเจน “เผิงบิน นี่เจ้า !”

คนที่ซุ่มโจมตีเขาคือหนึ่งในเจ้าหน้าที่ผู้ที่เขาไว้ใจมากที่สุด

เผิงบินกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “เจ้าเมืองอันฝากความนับถือมาให้แก่ท่าน… ยังไม่ลงมืออีก !?”

เมื่อเสียงตะโกนสิ้นสุดลง พริบตาต่อมาเสียงกรีดร้องที่น่าสลดก็ดังขึ้นมาแทนที่

ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่นับสิบของกรมวินิจฉัยคดีก็เข้าร่วมกับฝ่ายศัตรู และเริ่มโจมตีผู้ที่อยู่ข้างตัวของพวกเขาเอง

กรมวินิจฉัยคดีอยู่ในสถานการณ์ลำบากยิ่งกว่าเดิม การทรยศที่โหดร้ายนี้ทำให้พวกเขาไม่สามารถรวมกลุ่มต่อต้านการโจมตีได้อีกต่อไป รูปแบบขบวนป้องกันของพวกเขาได้พังทลายลงไปในทันที

เฉินเหวินฮุ่ยมองดูฉากตรงหน้าด้วยความตกใจและความโกรธ จนกระอักเลือดออกมาเต็มปาก

ตอนที่พวกเขาล้อมโจมตีเผ่าวิญญาณ กลุ่มของเจ้ากรมเฉินได้รับความสูญเสียค่อนข้างมาก อันซื่อหยวนกับซูเฉินจึงใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ ผสมเม็ดทรายเข้าไปในกรมวินิจฉัยคดี และวางตัวหมากของพวกเขาเอาไว้

แม้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเฉินเหวินฮุ่ยจะพยายามอย่างหนัก เพื่อกำจัดคนพวกนั้นออกไปหลายคนแต่ก็ยังคงมีเหลืออยู่อีกหลายคน

เฉินเหวินฮุ่ยรู้ด้วยว่าลูกน้องของเขาหลายคนไม่น่าไว้วางใจ ดังนั้นเขาจึงระมัดระวังเป็นพิเศษ ที่จะไม่พาใครก็ตามที่ดูไม่ไว้ใจไปไหนด้วย แต่เจ้ากรมเฉินไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะมีผู้ทรยศแฝงอยู่มากมายเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเผิงบิน

ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าเป้าหมายของซูเฉินครั้งนี้ ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ตระกูลหลินแต่เป็นตัวเขาเอง

รอยแผลจากคมมีดที่ด้านหลังเฉือนลึกเกือบจะทะลุเข้าไปถึงกระดูก แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือใบมีดนั้นมีพิษเคลือบเอาไว้ มันโจมตีหัวใจของเขาและค่อย ๆ กัดกินร่างกายของเขาไปเรื่อย ๆ

ศัตรูล้อมรอบอยู่ทุกทิศทุกทาง ไม่มีทางออกให้เหลือเฉินเหวินฮุ่ยเลย

อย่างไรก็ตามถึงจะอยู่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ยังคงมีกลิ่นอายของผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งควรจะมี

เขาแสยะยิ้มและหัวเราะอย่างดุร้าย “อยากจะฆ่าข้า ? เช่นนั้นเจ้าก็ต้องจ่ายแพงหน่อยนะ !”

เฉินเหวินฮุ่ยเงยหน้าขึ้นฟ้ากู่ร้องตะโกนเสียงดัง เถาวัลย์สีเขียวพุ่งออกจากร่างของเขาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง อย่างไรก็ตามคราวนี้เถาวัลย์เหล่านี้ดูราวกับสร้างขึ้นมาจากเลือดเนื้อ ประหนึ่งมันคือเส้นเอ็นกับเส้นเลือดในร่างทั้งหมด มันดีดดิ้นเลื้อยไปมาเหมือนงูจำนวนนับไม่ถ้วนกลืนกินทุกสิ่งที่ขวางหน้า

คลื่นเถาวัลย์สีเลือดแน่นขนัด ทำให้ไม่มีใครก้าวต่อไปข้างหน้าได้อีก ทั้งผู้เชี่ยวชาญและผู้ฝึกยุทธ์บางคนหลบออกมาไม่ทันเวลา ได้ถูกเถาวัลย์จับและฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที

เฉินเหวินฮุ่ยปลดปล่อยพลังทั้งหมด เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งที่น่าหวาดกลัวของเขา ผู้เชี่ยวชาญและผู้ฝึกยุทธ์หลาย 10 คนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขาเลย

แม้แต่ซู่เฉินก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ช่างกล้าหาญเสียจริง”

แต่ไม่ว่าคนคนหนึ่งจะกล้าหาญมากเพียงใด พวกเขาก็ยังมีจุดจบของพวกเขา

แสงสีเงินบินทะลุแนวป้องกันทั้งหมด ก่อนจะกระแทกเข้ากับร่างกายของเจ้ากรมเฉิน

“อุก !”

เฉินเหวินฮุ่ยกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ทันใดนั้นกลิ่นอายทั้งหมดของเขาก็หายไป

เขาจ้องไปที่หลินเฟิงถังและพึมพำ “เจ้า… “

หลินเฟิงถังก้มหน้าและไม่พูดอะไร

ในที่สุดเขาก็แสดงความภักดีได้สำเร็จ