ภาคที่ 3 บทที่ 154.1 แสดงความภักดี (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 154 แสดงความภักดี (1)

ยอมแพ้ !

หลินเฟิงถังยอมจำนนแล้วในที่สุด

เขาไม่ทางอื่นนอกจากยอมจำนน คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา แล้วจะให้หลินเฟิงถังใช้ผู้ฝึกยุทธ์ทั้ง 200 ของอีกฝ่ายสังหารคนของเขาทั้งหมดก่อนยอมแพ้หรืออย่างไร ?

อย่างน้อยที่สุดการยอมแพ้ตอนนี้ มันก็ยังช่วยลดจำนวนคนที่ต้องตายไปให้น้อยลงได้

แล้วการต่อสู้ที่ดูไม่น่าสงสัยนี้ ก็จบลงทั้งอย่างนั้น

ผู้ฝึกยุทธ์เกือบครึ่งของตระกูลหลินล้วนได้รับบาดเจ็บและถูกสังหารไป ส่วนผู้เชี่ยวชาญแม้จะเจ็บบ้างแต่ก็ไม่มีใครเสียชีวิต สีหน้าการแสดงออกของพวกเขาดูเลวร้ายมาก เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ได้สร้างความตกใจให้ฝั่งผู้เชี่ยวชาญของตระกูลหลินเป็นอย่างมาก กลับกันทางฝั่งของซูเฉินไม่เพียงแค่ไม่มีใครเสียชีวิต ทั้งยังกำลังมากพอที่จะพูดคุยหัวเราะ ไม่เหมือนคนที่เพิ่งผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดไปเลยสักนิด

ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกยุทธ์ผู้ใช้โทเทมโลหิตสลายที่ซูเฉินพัฒนาขึ้นนั้น ทำให้ผู้คนที่ได้เห็นตกตะลึงอย่างแท้จริง

อันที่จริงแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ซูเฉินยังไม่ได้บอกแก่หลินเฟิงถัง นั่นคือวิธีการใช้พลังต้นกำเนิดครึ่งหนึ่งร่วมกับปราณโลหิตอีกครึ่งหนึ่งนั้นเป็นรูปแบบที่เหมาะสมสำหรับมนุษย์

มนุษย์ไม่ได้มีร่างกายที่อ่อนแอ หลังจากการฝึกฝนและการเสริมสร้างความเข้มแข็งอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลานาน พวกเขาก็ได้สะสมปราณโลหิตอยู่มากมาย แม้ว่ามันจะไม่ได้ทรงพลังเท่ากับเผ่าคนเถื่อน แต่มันก็มีเอกลักษณ์ของตัวเอง การลดปริมาณการใช้งานปราณโลหิตให้เหลือเพียงครึ่งเดียวนั้น ยังช่วยประหยัดพลังกายของผู้ฝึกยุทธ์ไปมากกว่าครึ่งอีกด้วย

มันก็เหมือนกับการวิ่งด้วยความเร็วเต็มที่เทียบกับการวิ่งด้วยความเร็วเพียงครึ่งหนึ่ง หากคนคนหนึ่งวิ่งด้วยความเร็วครึ่งเดียว ระยะทางที่วิ่งได้นั้นอาจจะนับเกือบ 10 เท่าของการวิ่งด้วยความเร็วเต็มที่เลย

การใช้ปราณโลหิตก็เป็นเช่นเดียวกัน

เมื่อการใช้โทเทมโลหิตสลายไม่ได้ทำให้ผู้ใช้ต้องบีบเค้นพลังกายออกมาใช้อีกต่อไปแล้ว แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ด่านหลอมกายาก็สามารถใช้งานทักษะนี้ได้มากขึ้น และด้วยการสนับสนุนของโทเทม พวกเขาก็แข็งแกร่งจะขึ้นอย่างมาก

หลังจากตระหนักถึงสิ่งนี้แล้ว ซูเฉินก็รู้ว่าความจำเป็นในการเปลี่ยนเงื่อนไขโทเทมโลหิตสลายทั้งหมดให้เป็นพลังต้นกำเนิดนั้นลดลงอย่างมาก ทำให้โทเทมโลหิตสลายในปัจจุบันมีประโยชน์มากเกินจะกล่าวแล้ว

หินพลังต้นกำเนิดเพียงก้อนเดียวก็สามารถทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ด่านหลอมกายาเหล่านี้ มีพลังเทียบเท่ากับผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณทั่วไป

นับเป็นการยกระดับครั้งใหญ่

มันง่ายมากที่จะจินตนาการถึงความตื่นตกใจที่จะเกิดขึ้น เมื่อยามที่คลื่นนักรบจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นในสนามรบพร้อมกับทักษะโทเทมโลหิตสลายนี้

ในความเป็นจริง หลินเฟิงถังคือบุคคลแรกที่ได้รับรู้ถึงความน่าตกใจนี้ หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เขาก็คงไม่มีทางที่จะยอมแพ้ง่าย ๆ ตราบใดที่ซูเฉินเต็มใจที่จะเอาโทเทมโลหิตสลายออกมา ตระกูลสายเลือดชั้นสูงในเมืองธารน้ำใสจะทำทุกอย่างที่เขาต้องการอย่างเพื่อให้ได้รับทักษะมาอย่างแน่นอน

แต่ซูเฉินก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ

เช่นเดียวกับที่เขาไม่ต้องการใช้มันเพื่อทำธุรกิจกับอารามนิรันดร์ หรือแลกเปลี่ยนเป็นหินพลังต้นกำเนิดนับพันล้านด้วยมือของเขาเอง สำหรับซูเฉินแล้วการกวาดล้างตระกูลสายเลือดเหล่านี้เป็นเรื่องที่ง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ เขาเพียงแค่ไม่ชอบวิธีเหล่านั้นและค่อนข้างสนุกกับวิธีการในตอนนี้มากกว่า

เมื่อหลินเฟิงถังประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ ทั่วทั้งคฤหาสน์หลินก็จมดิ่งลงสู่ความสิ้นหวัง

พวกเขาแพ้อย่างนั้นหรือ ?

พวกเขายอมจำนนเช่นนั้นหรือ ?

ตระกูลสายเลือดชั้นสูงที่สง่างามยอมที่จะก้มศีรษะลงงั้นหรือ ?

หลายคนไม่เต็มใจและไม่คิดที่จะยอมรับผลลัพธ์นี้

ซูเฉินรู้ถึงความคิดในใจของพวกเขา และพูดแบบไม่อ้อมค้อมว่า “ในเมื่อท่านหัวหน้าตระกูลหลินเต็มใจที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ มันคงจะไม่มีอะไรดีไปมากกว่านี้อีกแล้ว อย่างไรก็ตามท่านเองก็ควรจะเข้าใจดีว่า การยอมจำนนไม่ใช่สิ่งที่เพียงเอ่ยด้วยปากเปล่าแล้วจะจบเรื่องไป มันควรจะมีหลักฐานให้พอเหตุเป็นรูปธรรมด้วย”

“เจ้าต้องการอะไร ?”

“แสดงความภักดี” ซูเฉินกล่าวพร้อมยิ้มเล็กน้อย

แสดงความภักดี ?

หลินเฟิงถังสับสนไปเล็กน้อย “ตอนนี้ ? ข้าจะไปหาหลักฐานมาแสดงความภักดีให้เจ้าได้จากที่ไหนกัน ?”

“ท่านไม่จำเป็นต้องไปมองหาที่ไหนหรอก อีกเดี๋ยวใครบางคนก็จะมาส่งโอกาสให้ท่านถึงหน้าประตูเอง” ซูเฉินตอบ

โอกาส ? มาส่งให้ถึงหน้าประตู ?

จู่ ๆ ที่ด้านนอกก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น ราวกับว่าเป็นการตอบสนองต่อสิ่งที่ซูเฉินเพิ่งพูดไปก็มิปาน

“ซูเฉิน ! เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ?”

ทุกสายตาหันมองไปตามทิศของเสียง คนกลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งหน้ามาทางพวกเขาโดยมีเฉินเหวินฮุยนำอยู่ด้านหน้า

คนกลุ่มปรากฏตัวขึ้นมา ณ ตอนนี้ คือกรมวินิจฉัยคดีนั่นเอง

ซูเฉินตอบอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นเจ้ากรมเฉิน ดูเหมือนว่าวันนี้ท่านจะมีเวลาว่างอยู่พอสมควร ? แล้วเหตุใดท่านถึงได้มาทางฝั่งตะวันตกของเมืองกัน ?”

“ถ้าข้าไม่มาเจ้าก็คงจะล้างบางตระกูลหลินไปแล้วใช่ไหม ?” เฉินเหวินฮุยกล่าวอย่างมืดมน “ช่างกล้า ! ใครหน้าไหนมันให้อำนาจเจ้ารวมกลุ่มคนมาบุกโจมตีตระกูลสายเลือดชั้นสูงกัน ?”

“แล้วใครเป็นคนให้อำนาจตระกูลสายเลือดชั้นสูงมาโจมตีข้ากัน ?”

เฉินเหวินฮุยเงยหน้าขึ้น “คดีนั้นได้ข้อสรุปแล้ว”

“ข้อสรุปเช่นใด ?”

“ทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิด หัวหน้าตระกูลหวังเพียงแค่กำลังไล่ตามอาชญากร และทำร้ายเจ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ”

“แต่ชื่อที่หัวหน้าตระกูลหวังตะโกนเรียกในตอนนั้น มันคือชื่อของข้า”

“นั่นเพื่อบอกให้เจ้าหลบให้พ้นทาง เป็นเจ้าที่ได้ยินไม่ชัด หัวหน้าตระกูลหวังไม่ต้องการมีปัญหากับเจ้าเลย อย่างไรก็ตามเนื่องจากเบื้องบนได้ออกคำตัดสินมาแล้ว อย่าแม้แต่จะคิดที่จะรื้อคดี หรือใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างในการโจมตีตระกูลสายเลือด !”

“ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้าง ?” ซูเฉินเลิกคิ้ว “เจ้ากรมเฉิน ท่านกำลังเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า ? ข้าไม่ได้ใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างเพื่อโจมตีตระกูลหลิน”

“เจ้ากล้าพูดว่าไม่ใช่งั้นหรือ ?” เฉินเหวินฮุยชี้ไปจุดที่เคยสนามรบ ที่ยังคงมีร่างนับสิบของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์นอนตายอยู่ “งั้นนั้นคืออะไร ?”

“นั่นไม่ใช่ธุระของข้า” ซูเฉินตอบ “ข้าเป็นเพียงแค่ผู้ดูแลกรมพลังต้นกำเนิด ข้ารับรองได้ว่า ไม่มีผู้โจมตีคนใดเป็นของกรมข้า ส่วนคนอื่น ๆ พวกมันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับข้า”

เจ้ากรมเฉินผงะ หวังเหวินซิ่นกับกั่วหลงหัวเราะขึ้นพร้อมกัน “คนที่โจมตีเป็นคนของเรา เจ้ากรมเฉินมีข้อข้องใจหรือไม่ ?”

“พวกเจ้า ?” การแสดงออกของเฉินเหวินฮุยแย่ลง “เจ้ารู้ถึงผลของการทรยศต่อตระกูลสายเลือดชั้นสูงหรือไม่ ?”

หวังเหวินซิ่นกับกั่วหลงขมวดคิ้วพร้อมกัน และเลิกสนใจอีกฝ่าย

ซูเฉินกล่าวว่า “เห็นไหม ข้าผิดหรือ ? คนเหล่านี้ไม่ใช่คนของข้า และสิ่งที่เกิดขึ้นก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าด้วยเช่นกัน”

“แล้วเจ้ามาทำอะไรที่นี่ ?” เฉินเหวินฮุยถาม

“ถ้าว่ากันตามปกติแล้ว ข้าก็กำลังปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเจ้ากรมพลังต้นกำเนิด การจัดการปัญหาเรื่องการต่อสู้ระหว่างผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทั้งหมดอยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจของข้า ถ้าพวกมันไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ เช่นนั้นมันก็ไม่ใช่ธุระของข้า” ซูเฉินตอบ

เจ้ากรมเฉินตะลึง เขามองไปที่ซากศพอีกครั้ง แล้วก็พบว่าศพทั้งหมดเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ ไม่มีผู้เชี่ยวชาญแม้แต่คนเดียวที่ถูกสังหาร

เขาตะลึง

เฉินเหวินฮุยพูดไม่ออก จิตสังหารในดวงตาของเขาเริ่มเข้มข้นขึ้น

“ซูเฉิน !” เขาคำราม

“ในที่สุดก็หยุดหาข้ออ้างแล้ว ?” ซูเฉินยิ้ม “ใช่แล้ว หากจะสู้ก็มาสู้ จำเป็นจะต้องมานั่งหาข้ออ้าง หน้าไหว้หลังหลอกมากมายเช่นนี้ด้วยหรือ ?”

ขณะที่ซูเฉินพูด เขาก็ยกมือสั่งให้คนของตนจัดขบวน

“เจ้าพูดถูก หากจะสู้ก็เพียงแค่สู้ จะมีข้ออ้างมากมายไปทำไม ?” เฉินเหวินฮุยหัวเราะ “แต่เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเจ้าจะชนะ ?”

“ไม่ว่าข้าจะชนะหรือไม่ ก็ต้องสู้ดูก่อนถึงจะรู้ได้” ซูเฉินโบกมือให้สัญญาณ คนกลุ่มใหญ่ก็พุ่งออกไปข้างหน้าในทันที

ผู้ฝึกยุทธ์ทั้ง 200 ยังคงเป็นผู้ที่อยู่แนวหน้า แต่คราวนี้ผู้เชี่ยวชาญของกลุ่มอันธพาลทั้ง 2 เองก็ลงมือโจมตีเช่นกัน มีเพียงคนจากกรมพลังต้นกำเนิดเท่านั้นที่ยังคงยืนนิ่งอยู่ ราวกับว่าพวกเขามาที่นี่แค่เพื่อทำธุระอย่างที่ซูเฉินพูด อย่างไรก็ตามการปฏิบัติหน้าที่ครั้งนี้ออกจะผิดปกติมากเกินไปเสียหน่อย และตอนนี้เมื่อมีคนเข้าปะทะกันจำนวนมาก พวกเขาจึงไม่อาจละเลยได้อีก

เฉินเหวินฮุยกล่าวอย่างดุร้าย “แค่กลุ่มขยะต่ำต้อย คิดจะมาต่อกรกับข้า ?”

เฉินเหวินฮุยสั่นสะท้าน เถาวัลย์จำนวนนับไม่ถ้วนโผล่ออกมาจากทั่วร่างของเขา ระยางแต่ละเส้นขยับว่องไวราวกับงูที่เลื้อยไปทุกทิศทุกทาง

ต่างจากก่อนหน้านี้ ฝั่งตรงข้ามไม่ใช่ปีศาจดังนั้นเฉินเหวินฮุยจึงไม่ได้ใช้บัววิมลฟ้าของเขา แต่เลือกที่จะใช้สายเลือดปีศาจนางไม้ควบคุมเถาวัลย์ให้พุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ของเขาแทน

เถาวัลย์เหล่านี้ทำตัวประหนึ่งงูเหลือมขนาดใหญ่พันตัวรอบศัตรูและบีบรัดพวกเขาจนตาย

แม้แต่เกราะหินผาก็แทบจะทนต่อการโจมตีเหล่านี้ไม่ได้ เถาวัลย์เริ่มใช้แรงบีบของมันฉีกเกราะออกเป็นชิ้น ๆ

จากนั้นผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ ได้ลงมือเคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน มีดลมและดาบน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนตรงเข้าหาเจ้ากรมเฉิน ทันใดนั้นแสงสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นที่กึ่งกลางหน้าผากของเขา “ตื่นขึ้น !”

บัววิมลฟ้าปรากฏขึ้นอีกครั้งเพื่อป้องกันการโจมตีส่วนใหญ่เอาไว้ ในขณะเดียวกันเถาวัลย์ก็หดกลับไปอย่างรวดเร็ว

พร้อมกับเสียงแหวกผ่านอากาศ ชีวิตของผู้ฝึกยุทธ์โทเทมโลหิตสลาย 7 ถึง 8 ชีวิตก็ดับลง

“เจ้าควรจะอับอายในไร้ค่าของพวกเจ้า !” เฉินเหวินฮุ่ยตะโกนโห่ร้อง ขณะที่เขาฟาดฝ่ามือออกไป บังคับให้ผู้เชี่ยวชาญอีก 2-3 คนต้องถอยกลับมา การโจมตีนี้เผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของระดับสูงสุดของขั้นปลายด่านทะลวงลมปราณ กับสายเลือดระดับสูง

ดวงตาของซูเฉินทอประกายเล็กน้อย “ช่างเป็นทักษะที่ดี ท่านหัวหน้าตระกูลหลิน ท่านไม่คิดเช่นนั้นหรือ ?”