ภาคที่ 3 บทที่ 153..2 การเดิมพัน (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 153 การเดิมพัน (2)

“ฆ่า !”

คมดาบและประกายของดาบปรากฏขึ้นอยู่ทั่วสนามรบ

การต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกยุทธ์ มักจะไม่ฉูดฉาดเท่ากับการต่อสู้ระหว่างผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด การเผชิญหน้ากันของพวกเขามีเพียงการนองเลือดและตรงไปตรงมา สิ่งที่กำหนดผลลัพธ์ของการต่อสู้คือพลังและความกล้าหาญ

ด้วยการสนับสนุนของเลือดนักรบ กลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ของซูเฉินจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญ ทันทีที่การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น ก็มีเลือดกระจายไปทั่วอากาศแล้ว

การบุกเข้าจู่โจมเพียงครั้งเดียว ผู้ฝึกยุทธ์ของตระกูลหลินก็ถูกบังคับให้ต้องถอยร่นกลับไป หลินเฟิงถังรู้สึกอึดอัดราวกับว่าหัวใจของเขากำลังถูกบีบรัด

เขาพยายามปลอบใจตัวเองอย่างสิ้นหวัง ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด ! เรายังคงมีผู้เชี่ยวชาญอยู่ !

ใช่ เมื่อเทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ด่านหลอมกายาแล้ว ผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณทั้ง 20 คนต่างหากคือความหวังที่แท้จริงของเขา

ผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณทั้ง 20 นี้เขาคัดเลือกมาเป็นพิเศษด้วยตัวเอง พวกเขาเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของผู้อยู่ในด่านก่อเกิดลมปราณของตระกูลหลิน ในหมู่พวกเขามีแม้กระทั่งชนชั้นสูงที่ได้รับการปลุกสายเลือดรวมอยู่ด้วย

เวลานั้นเอง ในที่สุดผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดเหล่านั้นก็เริ่มลงมือ

ทันทีที่ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 20 คนลงมือโจมตี ก่อให้เกิดแรงกดดันที่รุนแรงและเย็นเฉียบของคลื่นดาบปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าในบริเวณนั้นทันที แม้กระทั่งภาพลวงตาของสัตว์ร้ายอย่างพยัคฆ์ที่กำลังขู่คำราม หรือเหยี่ยวที่กำลังหวีดร้องก็ได้ปรากฏขึ้น ถึงจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเพียงแค่ 20 คน แต่คลื่นพลังต้นกำเนิดที่พวกเขาปลดปล่อยออกมานั้น แข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั้ง 180 คนอย่างเห็นได้ชัด

จนแม้แต่หลินเฟิงถังก็ยังรู้สึกแอบภูมิใจอย่างเงียบ ๆ พลังต่อสู้ของเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาที่เขาเลือกออกมา ไม่ทำให้เขาผิดหวังเลยจริง ๆ

อย่างไรก็ตาม พริบตาต่อมา จู่ ๆ ก็ได้มีเปลือกหินปรากฏขึ้นรอบ ๆ ตัวผู้ฝึกยุทธ์ของอีกฝ่าย

การโจมตีของผู้เชี่ยวชาญได้ปะทะเข้ากับเปลือกหินพวกนั้นและระเบิดพวกมันออกเป็นเศษหิน แต่กลับไม่สามารถทำร้ายคู่ต่อสู้ได้เลยสักนิด ในทางกลับกัน ผู้ฝึกยุทธ์ของอีกฝ่ายก็ยังคงเหวี่ยงดาบของพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง โล่ป้องกันของเหล่าผู้เชี่ยวชาญไม่อาจทนรับการโจมตีด้วยความโกรธเกรี้ยวนี้ได้ และถูกบังคับให้ต้องล่าถอยอีกครั้ง

ใบหน้าของหลินเฟิงถังมืดลง เขาหันกลับมาและถามซูเฉินว่า “นั่นมันอะไรกัน ?”

“เกราะหินผา” ซูเฉินตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ท่านคิดว่าไงบ้าง ? ไม่เลวเลยใช่ไหม ?”

หลินเฟิงถังร้องเหอะ “ไม่เลว แต่หากต้องการที่จะกำจัดผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดก็นับว่ายังไม่เพียงพอ”

ในขณะที่ทั้ง 2 กำลังพูดคุย ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นก็ได้ยกมือขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อม ๆ กัน แล้วส่งเปลวเพลิงขนาดใหญ่กวาดพุ่งออกไป

แม้ว่าเกราะหินผาจะสามารถต้านทานการโจมตีทางกายภาพจากอาวุธทั่วไปได้ ทว่ามันกลับมีประสิทธิภาพในการต้านทานการโจมตีจากพลังพิเศษได้ไม่ดีนัก เมื่อเผชิญหน้ากับเปลวไฟที่กำลังโหมกระหน่ำเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ไม่กล้าผลีผลามที่จะเร่งบุกต่อเข้าไป คลื่นการจู่โจมของคนจากฝ่ายซูเฉินจึงได้หยุดชะงักลง

หลินเฟิงถังที่เห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และแอบคิดกับตัวเองว่า ‘ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดยังไงก็ยังคงเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด แค่ผู้ฝึกยุทธ์จะมีจำนวนมากกับทักษะต้นกำเนิดน้อยนิดในมือ จะมาเอาชนะพวกเขาได้อย่างไร ?’

เพียงแต่ชั่วครู่ต่อมาสถานการณ์ในสนามรบก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับเหล่าผู้ฝึกยุทธ์เช่นเคย ครานี้เป็นน้ำค้างแข็ง พวกมันกระจายออกไปรอบ ๆ พวกเขา ก่อนจะชนเข้ากับเปลวไฟ สร้างปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดระหว่างการปะทะกันของน้ำแข็งกับไฟขึ้น

ชั่วขณะนั้นช่องว่างของความแข็งแกร่งได้เผยออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ในแง่ความบริสุทธิ์ของพลังต้นกำเนิด ผู้เชี่ยวชาญด่านก่อกำเนิดลมปราณนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าฝั่งผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในด่านหลอมกายาอย่างมาก หากนี่เป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวผู้เชี่ยวชาญย่อมจะเป็นผู้ชนะไปอย่างไม่ต้องสงสัย

อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือทางฝั่งกองกำลังของซูเฉินนั้นมีจำนวนอยู่ทั้งหมดถึง 200 คน กล่าวง่าย ๆ ก็เท่ากับ 10 ต่อ 1 จำนวนของผู้ฝึกยุทธ์ด่านหลอมกายาเล่านี้ถือเป็นข้อได้เปรียบที่เหนือกว่ามาก

แค่พริบตาเดียว คลื่นความเย็นก็ปกคลุมเปลวเพลิงไปสิ้น ไม่เพียงแต่ดับลงอย่างสมบูรณ์ มันยังคงพุ่งไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง และแช่แข็งผู้เชี่ยวชาญฝั่งตรงข้ามให้กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งไปอีกหลายคน

ต่อมาประกายแสงสีแดงได้ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง แต่เป็นจากทางฝั่งตรงข้ามของเหล่าผู้เชี่ยวชาญแทน ลูกไฟปรากฏขึ้นในอากาศลูกแล้วลูกเล่า

ทักษะลูกไฟ !

ทักษะที่เรียบง่ายและใช้งานได้จริงนี้ลอยค้างอยู่เหนือหัวของผู้ฝึกยุทธ์ และเผาไหม้อย่างรุนแรงจนน่าตกใจ

ลูกไฟ 200 ลูกที่ถูกยิงออกไปในเวลาเดียวกัน สร้างฉากที่ดูราวว่าท้องฟ้าทั้งหมดได้ผันเปลี่ยนกลายเป็นทะเลเพลิงไปแล้วก็มิปาน

ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทั้ง 20 พากันส่งเสียงตะโกนแตกตื่น ไปพร้อม ๆ กับเปิดใช้งานโล่และเกราะป้องกันของพวกเขา

พวกเขามุ่งความสนใจไปที่การสกัดกั้นการโจมตีระลอกนี้อย่างเต็มที่ สลัดทิ้งทัศนคติที่ดูถูกคู่ต่อสู้ก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น

ตู้ม ตู้ม ตู้ม !

ลูกไฟมากมายระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผู้เชี่ยวชาญลอยกระเด็นออกไป ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ของตระกูลหลินนั้นโชคร้ายยิ่งกว่า ชีวิตนับสิบถูกสังหารทันทีจากการทิ้งระเบิดเพลิงในครั้งนี้ ประหนึ่งตัวรับกระสุนกลางดงสงคราม

ใบหน้าของหลินเฟิงถังซีดเผือด “เป็นไปได้อย่างไร … พวกมันมีทักษะกำเนิดมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร ? คนเหล่านั้นรู้ทักษะอยู่ทั้งหมดเท่าไหร่กัน ?”

ซูเฉินยิ้มเล็กน้อย “ไม่ได้มากมายอะไรก็แค่ 7 อย่างเท่านั้น ยังคงเหลืออีก 2 หนึ่งคือวิชาสับเปลี่ยนตำแหน่ง ที่ช่วยให้ผู้ใช้เคลื่อนย้ายไปยังที่ใกล้ ๆ ได้ในพริบตา กับอีกหนึ่งคือวิชาฟื้นฟูฉับพลัน ที่ช่วยให้ฟื้นตัวจากบาดแผลได้เร็วขึ้น”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลินเฟิงถังก็รู้สึกหนาวสั่นไปทั้งแผ่นหลัง ศึกครั้งนี้เขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แล้ว พ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์

โดยทั่วไปแล้วผู้เชี่ยวชาญด่านก่อกำเนิดลมปราณนั้น มักจะเชี่ยวชาญทักษะต้นกำเนิดอยู่เพียง 3 ถึง 5 วิชาเท่านั้น และจะไม่เรียนทุกอย่างพร้อมกันในคราวเดียว

แต่ตอนนี้ผู้ฝึกยุทธ์ที่ยังไม่ได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงเลยด้วยซ้ำ กลับมีทักษะต้นกำเนิดถึง 7 อย่างอยู่กับตัว แล้วพวกเขาจะไปสู้กับคนเหล่านี้ได้อย่างไร ?

“แล้วนั่นคือทักษะอะไรกัน ?” หลินเฟิงถังถาม

ในตอนแรกเขาได้ถูกชัยชนะหลอกล่อให้เข้าร่วมในการเดิมพันนี้ โดยไม่ได้รับรู้ถึงพลังที่น่าตกใจของ ‘ทักษะลับ’ ของซูเฉินเลยแม้แต่น้อยกระทั่งเขากำลังจะพ่ายแพ้

ทักษะลับที่สามารถมอบทักษะต้นกำเนิดถึง 7 อย่างให้แก่ผู้ฝึกยุทธ์ จนเทียบชั้นกับผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าตกใจจริง ๆ

“โทเทมโลหิตสลาย” ซูเฉินตอบนิ่ง ๆ “มันเป็นทักษะเสริมความสามารถชนิดหนึ่ง ที่เกิดจากการผสมของอักขระโทเทมของเผ่าคนเถื่อนกับยา”

“อักขระโทเทมของเผ่าคนเถื่อน !” หลินเฟิงถังตระหนักได้ถึงบางอย่าง “เจ้าไขปริศนาของอักขระโทเทมของเผ่าคนเถื่อนได้งั้นรึ !?”

“มันไม่ได้ยาก ส่วนที่ยากจริง ๆ คือการนำมาปรับปรุง” ซูเฉินอธิบายข้อสังเกตเกี่ยวกับอักขระโทเทมที่เขาได้รับมา ในตอนที่เขาอยู่ในซากโบราณลุ่มน้ำทอง

ขณะที่พวกเขาทั้งสองเริ่มสานต่อบทสนทนากัน การต่อสู้ที่อีกด้านก็ยังคงดำเนินต่อไป

จิตใจของหลินเฟิงถังได้รับผลกระทบจากคำพูดของซูเฉิน แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่สังเกตเห็นเลยก็ตาม “เป็นเช่นนั้นเอง เจ้าพยายามเพื่อให้มนุษย์สามารถใช้อักขระโทเทมเหล่านี้ควบคุมพลังต้นกำเนิดได้มาโดยตลอดสินะ …เดี๋ยวก่อน !”

หลินเฟิงถังนึกอะไรบางอย่างได้และตะโกนขึ้นว่า “เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกยุทธ์เหล่านี้ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด ! แล้วพวกมันจะใช้ทักษะที่อาศัยพลังต้นกำเนิดได้อย่างไร ?”

“นั่นเป็นข้อบกพร่องอย่างหนึ่งของโทเทมโลหิตสลาย เว้นเสียแต่ว่าโทเทมนั้นจะสร้างมาจากสสารต้นกำเนิดที่ผ่านการปรับแต่งมาแล้ว ไม่อย่างนั้นโทเทมโลหิตสลายจะต้องถูกกระตุ้นด้วยปราณโลหิตอยู่ตลอดเวลา ข้าใช้เวลาค้นคว้าเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว แต่มันก็ยังคงไม่มีความก้าวหน้าใด ๆ จนวันหนึ่งที่ข้าหมดความอดทนจากความล้มเหลวในการแก้ไขเรื่องพลังต้นกำเนิดนี้ และเอามาใช้กับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปแทน ด้วยความคิดที่ว่าบางทีคนเหล่านั้นอาจจะกลายมาเป็นไพ่ตายได้ในอนาคต กล่าวตามตรงความคิดเช่นนั้น มันช่างไม่ต่างอะไรกับการยอมรับความพ่ายแพ้ที่เกิดจากความสิ้นหวังเลยจริง ๆ”

“เจ้าจะบอกผู้ฝึกยุทธ์เหล่านี้เป็นเพียงผลพลอยได้จากการทดลองของเจ้างั้นหรือ ?” หลินเฟิงถังตกตะลึง

“ก็ไม่เชิงซะทีเดียว 3 ปีที่แล้ว ในที่สุดข้าก็ได้ประสบความสำเร็จในการสร้างโทเทมโลหิตสลายที่ใช้ปราณโลหิต 9 ใน10 ร่วมกับพลังต้นกำเนิดอีก 1ใน10 ส่วนที่เหลือ เดิมทีข้าไม่คิดเลยว่าผู้ฝึกยุทธ์โทเทมของข้าจะช่วยอะไรได้ แต่ตอนนี้มันกลับมีความหวังขึ้นมาแล้ว ทว่าสิ่งนี้ก็ติดปัญหาอยู่เช่นกันนั่นก็คือ วิธีที่ผู้ฝึกยุทธ์จะสามารถใช้พลังต้นกำเนิดได้ ท่านคิดว่าข้าแก้ปัญหานั้นได้อย่างไร ?”

“ … หินพลังต้นกำเนิด ?” หลินเฟิงถังถาม

“ถูกต้อง” ซูเฉินยิ้มและกล่าวว่า “หินพลังต้นกำเนิดแค่ก้อนเดียวก็เพียงพอแล้ว หลังจากนั้นการค้นคว้าของข้าก็พัฒนาไปได้อย่างราบรื่นมากขึ้น พลังต้นกำเนิดที่ทักษะต้องการได้เพิ่มเป็น 5 ใน10 ส่วน และผู้ฝึกยุทธ์ที่ท่านเห็นในตอนนี้คือตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของสิ่งนี้ โทเทมโลหิตสลายที่วาดไว้บนตัวพวกเขา เป็นแบบใช้ปราณโลหิตกับในปริมาณที่เท่าเทียมกัน”

“อย่างนี้เอง” หลินเฟิงถังพยักหน้าอย่างเข้าใจ

เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็ไม่มีข้อสงสัยอะไรอีกแล้ว ในเวลาเดียวกันเขาก็สูญเสียความมั่นใจที่จะสู้ต่อไปสิ้น

หลินเฟิงถังตะโกนเสียงดัง “หยุด ! ไม่ต้องสู้กันแล้ว ! เรายอมแพ้ !”