บทที่ 152 การเดิมพัน (1)
คฤหาสน์ตระกูลหลิน
สายเลือดของตระกูลหลินคือสายเลือดเหยี่ยวแสงจันทร์สีเงิน ซึ่งเป็นสายเลือดเดียวกันกับผู้เชี่ยวชาญที่ทำลายสสารเงาของซูเฉินหุบเขาทางใต้ในวันนั้น
หลังจากที่สังหารฉวงเทียนเยว่ ซูเฉินก็พาคนของเขาไปที่ถนนแสงจันทร์ซึ่งเป็นที่ตั้งของคฤหาสน์ตระกูลหลิน
ไม่มีการลอบโจมตี ไม่มีการลอบสังหาร พวกเขาก็แค่พุ่งเข้าไปทางประตูหน้าตรง ๆ
หลังจากที่คฤหาสน์ตระกูลเหอถูกโจมตี ทุกตระกูลก็ได้เสริมกำลังป้องกันให้กับบ้านของพวกเขาอย่างดี จะไม่มีใครได้รับโอกาสลอบโจมตีอีกแล้ว
หมดเวลาสำหรับการลอบโจมตีแล้ว ตอนนี้เป็นช่วงเวลาของโจมตีซึ่ง ๆ หน้า
ซูเฉินต้องทำเพียงแค่พาคนของเข้าไปเข่นฆ่าอย่างองอาจ
ฝีเท้าที่รวดเร็วและว่องไว
เสื้อคลุมที่โบกสะบัดไปตามสายลม
จิตสังหารอันรุนแรงที่กระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
ซูเฉินพร้อมกับเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ตอนนี้ได้มาถึงที่เบื้องหน้าของคฤหาสน์ตระกูลหลินแล้ว
กลิ่นอายของพวกเขาปลดปล่อยออกมา ให้ความรู้สึกที่ดูทรงพลังน่าเกรงขามอย่างไม่น่าเชื่อ
กลุ่มทหารรักษาการณ์ ผู้เชี่ยวชาญ สมาชิกและเหล่าศิษย์ที่แข็งแกร่งของตระกูลหลินปรากฏตัวขึ้น เรียงรายเต็มลานเต็มกำแพง ขวางกั้นทางเข้าคฤหาสน์เอาไว้ในทันที
แต่ถึงกระนั้นเมื่อพวกเขาเห็นซูเฉินและผู้ใต้บังคับบัญชา พวกเขาก็ได้แต่สิ้นหวัง
ฝั่งซูเฉินมีคนจำนวนมากเกินไป
ทั้งกลุ่มฉางชิง กลุ่มพยัคฆ์ร้าย กองกำลังสามสายธารและยังมีกรมพลังต้นกำเนิดอีก
กรมพลังต้นกำเนิดเพียงกลุ่มเดียวก็มีผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดมากกว่า 100 คนแล้ว
นักรบเกือบ 1,000 คนล้อมรอบอยู่ทั่วทั้งคฤหาสน์ตระกูลหลิน หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าพื้นที่บริเวณด้านหน้าของประตูด้านหน้าคฤหาสน์ นั้นเปิดโล่งและกว้างขวางก็คงไม่สามารถรองรับกลุ่มคนทั้งหมดตรงนี้ได้ ซูเฉินยืนเอามือไพล่หลังหันหน้าไปทางประตู โดยมีเจียงซีสุ่ย หวังเหวินซิ่น หยวนเลี่ยหยาง ต้วนเฟิง และคนอื่น ๆ อยู่ด้านข้างของเขา
เนื่องจากครั้งนี้ถือเป็นการต่อสู้ที่ปะทะกันซึ่ง ๆ หน้า ซูเฉินจึงจำเป็นที่จะต้องนำกองกำลังขนาดใหญ่มากับเขา กรมพลังต้นกำเนิดที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ถึงเวลาออกโรงของพวกเขา
หัวใจของหลินเฟิงถังผู้ยืนอยู่ที่หน้าประตูคฤหาสน์สั่นสะท้านอย่างอดไม่ได้ เมื่อเขาได้มองดูไปที่ฉากอันยิ่งใหญ่และงดงามนี้
เมื่อเขาได้ยินข่าวว่าเรื่องการบุกโจมตีที่รุนแรงของซูเฉิน หลินเฟิงถังก็ยังสงสัยอยู่เลยว่าสมองของซูเฉินมีปัญหาอะไรหรือเปล่า จนกระทั่งเขาได้เห็นฉากตรงหน้านี้ เขาก็ตระหนักถึงสถานการณ์ทั้งหมดอย่างกระจ่าง
กลับกลายเป็นว่ากลุ่มฉางชิงกับกลุ่มพยัคฆ์ร้ายนั้นเป็นคนของอีกฝ่าย กองกำลังสามสายธารก็ด้วย กรมพลังต้นกำเนิดเองก็เติบโตขึ้นในระดับที่เกินกว่าที่พวกเขาคาดเอาไว้แล้ว ความแข็งแกร่งและอิทธิพลของซูเฉินได้เพิ่มมากขึ้นถึงขนาดนี้แล้ว
ท้ายที่สุดพวกเขาก็ยังคงประเมินซูเฉินต่ำไปอยู่ดี
พวกเขามักจะประเมินอีกฝ่ายต่ำเกินไปเสมอ
พวกเขารู้สึกว่ากำลังเอาจริงเอาจังกับคู่ต่อสู้ทุกครั้ง แต่สุดท้ายพวกเขาก็มักจะต้องตกใจกับไพ่ลับฝ่ายตรงข้ามดึงออกมา และทุกอย่างก็จบลงด้วยผลลัพธ์ที่น่าขมขื่นของพวกเขาอยู่ตลอด
และตอนนี้ ผลลัพธ์ที่น่าขมขื่นนี้ก็ตกมาถึงมือของตระกูลหลินแล้ว
สายตาของหลินเฟิงถังที่จ้องมองไปยังซูเฉิน เต็มไปด้วยความเศร้าโศกและความขุ่นเคือง “เจ้ากรมซู เป็นเจ้าจริง ๆ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในแผนของเจ้าใช่หรือไม่ ?”
ซูเฉินตอบเขากลับด้วยรอยยิ้ม “สิ่งที่ท่านกล่าวมาช่างฟังดูน่าเศร้าราวกับว่าเป็นข้าคือคนที่ทำร้ายพวกท่าน มันเกือบทำให้ข้าลืมไปเลยว่า เป็นข้าที่ถูกตามไล่ล่าไปทั่วหุบเขาทางใต้ในยามนั้น”
หลินเฟิงถังชะงักงัน “นั่นเป็นแผนของตระกูลหวัง มันไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเลย”
ซูเฉินส่ายหัว “ไม่ว่าแผนนั้นจะเกี่ยวข้องกับท่านหรือไม่ ท่านก็ยังมีส่วนร่วมกับมัน มือท่านที่เปื้อนเลือดคนของข้า และมือของข้าที่เอาชีวิตของสมาชิกในตระกูลของท่านมา การพยายามมาหนีจากปัญหาเอาตอนนี้ มันดูจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลเสียเท่าไหร่นะ ท่านว่าไหม ?”
หลินเฟิงถังถอนหายใจและก้มศีรษะลง “ถูกของเจ้า การพยายามแยกตัวออกมาในเวลานี้มันไม่มีความหมายอีกแล้ว”
“อย่างไรก็ตาม ในโลกนี้ไม่มีความขัดแย้งใดที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ความเป็นศัตรูระหว่างท่านกับข้าอาจจะยังไม่สายเกินแก้จนเกินไป”
หลินเฟิงถังสับสนไปชั่วครู่ “แก้ไข ? อย่างไร ?”
“ยอมรับความพ่ายแพ้และยอมจำนน” ซูเฉินตอบ
“ข้าต้องยอมจำนนอย่างไร ?” หลินเฟิงถังไม่ได้ไร้เดียงสาถึงขนาดที่จะเชื่อว่าการยอมรับความพ่ายแพ้จะช่วยแก้ปัญหาทั้งหมดนี้ได้
“เมื่อยามที่ผู้คนยังคงต่อสู้เพื่อความเป็นใหญ่ในกาลก่อน มันเป็นอย่างไร ?” ซูเฉินถามกลับ
ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดเหล่านี้ หลินเฟิงถังก็ตัวสั่น
เขาเข้าใจว่าซูเฉินหมายถึงอะไร
ในสมัยโบราณหากฝ่ายหนึ่งยอมรับความพ่ายแพ้ ผู้แพ้จะสูญเสียทุกสิ่งส่วนผู้ชนะจะได้รับทุกอย่าง
ฝ่ายที่ได้รับชัยชนะสามารถให้อภัยผู้ติดตามคนใดของฝ่ายตรงข้ามก็ได้ แต่ไม่สามารถให้อภัยผู้นำได้
การสิ้นสุดของกลุ่มอำนาจที่มีอิทธิพลมักจบลงด้วยความตายของผู้นำ
เห็นได้ชัดว่าซูเฉินหมายความว่า ไม่ว่าใครก็สามารถได้รับการอภัยจากเขาได้ แต่ไม่ใช่ตระกูลหวัง
แล้วจะไม่ให้หลินเฟิงถังจะไม่ตกใจหรือหวาดกลัวได้อย่างไร ?
เขาตัวสั่น “ไม่ มันเป็นไปไม่ได้”
ซูเฉินพยักหน้า “ข้าคิดไว้แล้วว่าท่านจะต้องพูดเช่นนั้น ไม่ต้องกังวลไป เอาอย่างนี้เป็นอย่างไร ? มาเดิมพันกัน แล้วอย่าได้ตำหนิข้าว่าไม่ให้โอกาสท่านเสียล่ะ”
เดิมพัน ?
เดิมพันอะไร ?
ซูเฉินกล่าวต่อ “มาเดิมพันด้วยการประลองยุทธ์กันเถอะ ข้าจะส่งผู้ฝึกยุทธ์ออกไป 200 คน ส่วนท่านก็ส่งผู้ฝึกยุทธ์ 180 คน และผู้เชี่ยวชาญอีก 20 คนออกมา เราจะประลองกัน หากคนของข้าชนะท่านก็จะต้องยอมจำนน และถ้าคนของข้าแพ้ข้าจะจากไปทันที เป็นอย่างไร ?”
ผู้ฝึกยุทธ์ 180 คน และผู้เชี่ยวชาญอีก 20 คน ?
ดวงตาของหลินเฟิงถังเปล่งประกาย
เขาจ้องมองซูเฉินอย่างจริงจังและถามว่า “ที่เจ้าพูดนั่นจริง ? คงไม่ได้คิดจะโกงใช่ไหม ?”
ซูเฉินยิ้มเล็กน้อย “ข้าแค่อยากให้ท่านได้รู้ความแตกต่างระหว่างเรา หากข้าเล่นเล่ห์ในยามนี้ แม้ว่าท่านจะแพ้ท่านก็คงจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้นั้น แต่กลับกันหากข้าชนะ … ”
หลินเฟิงถังกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “หากสถานการณ์นี้คนของเจ้ายังคงชนะ ตระกูลหลินของข้าจะยอมจำนนอย่างแท้จริง”
ช่องว่างระหว่างผู้เชี่ยวชาญกับผู้ฝึกยุทธ์นั้นมีมากเกินไป ช่องว่างนี้ก็เปรียบได้กับความแตกต่างระหว่างด่านทะลวงลมปราณกับด่านสู่พิสดาร ที่กว้างยิ่งกว่าช่องระหว่างระดับก่อนหน้านี้ แม้แต่ผู้ฝึกฝนที่เพิ่งเข้าสู่ด่านก่อเกิดลมปราณ ก็ยังสามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสูงสุดนับ 10 คนได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นข้อเสนอของซูเฉินจึงไม่ได้แค่เพิ่มความแข็งแกร่งให้ฝ่ายตระกูลหลินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งนั้นขึ้นเป็น 2-3 เท่า
ในกรณีนี้มันไม่มีเหตุผลที่หยุดไม่หลินเฟิงถังเดิมพันได้เลย
และเช่นเดียวกับที่ซูเฉินได้กล่าวไว้ หากฝ่ายของชายหนุ่มชนะอย่างหมดจด หลินเฟิงถังก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมจำนนให้กับเขา
ซูเฉินยิ้มและกล่าวว่า “ในเมื่อท่านเข้าใจก็ดีแล้ว”
ขณะที่พูดเขาก็เดินถอยหลังไป 2-3 เผยให้เห็นกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา
ผู้ฝึกยุทธ์เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดของด่านหลอมกายาที่ซูเฉินคัดสรรมาอย่างดี พวกเขาทั้งหมดมีรูปร่างสูงใหญ่ มีกล้ามเนื้อแข็งแรงและยังมีรอยสักแปลก ๆ ปรากฏอยู่เต็มร่างกาย
หลินเฟิงถังเองก็เริ่มระดมกำลังคนของเขา ผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตกับด่านทะลวงลมปราณถอยหลบออกไป และเปิดทางให้กับผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณ 20 คนกับผู้ฝึกยุทธ์ที่คัดสรรมาอย่างดีอีก 180 คน
ในขณะที่ทั้งสองฝ่ายเตรียมที่จะเริ่มเปิดฉาก ซูเฉินก็กล่าวว่า “ทันทีที่การต่อสู้เริ่มขึ้น ท่านไม่สามารถที่จะหยุดมันกลางคันได้ ทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องการต่อสู้ดำเนินต่อไปจนกว่าผลลัพธ์จะออกมาชัดเจน เริ่มได้”
คลื่นนักสู้ของทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็พุ่งเข้าหากัน
การต่อสู้ที่ชุลมุนวุ่นวายเริ่มต้นขึ้นในทันที
ทันทีที่ทั้ง 2 ฝ่ายเริ่มแลกเปลี่ยนกระบวนท่า หลินเฟิงถังก็สังเกตเห็นว่าร่างกายของผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดของซูเฉิน เริ่มทอประกายแสงสีเลือดออกมา
ภายใต้ผลของแสงสีเลือดนี้ ผู้ฝึกยุทธ์ของซูเฉินแต่ละคนราวกับว่าพวกเขาถูกกระตุ้นด้วยฤทธิ์ยา จนดูเหมือนพวกเขาไม่เกรงกลัวความตายเลยสักนิด แม้แต่กลิ่นอายที่ปล่อยออกมาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
หนึ่งในผู้ฝึกยุทธ์ของตระกูลหลินปะทะดาบกับผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งของซูเฉิน หลังเสียงเหล็กปะทะกันดังก้อง และใบดาบผละออกจากกันไป วินาทีต่อมาคู่ต่อสู้ของเขาก็พุ่งเข้ามาแทงดาบของเขาซ้ำ ๆ เข้าที่หน้าอกของผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลหลินคนนั้น
โหดเหี้ยม อำมหิต ไร้ซึ่งความปรานี
หัวใจของหลินเฟิงถังรู้สึกเหมือนถูกบีบรัด “นั่นมันอะไรกัน ?”
เสียงอธิบายดังขึ้นที่ข้างหูของเขา “ข้าได้คิดค้นวิชาลับที่จะสามารถมอบทักษะต้นกำเนิดให้กับร่างกายของผู้คนได้ สิ่งที่ท่านเห็นอยู่ในตอนนี้คือ‘เลือดของนักรบ’กับ‘พลังของวัวคลั่ง’ ทั้ง 2 อย่างนี้เป็นวิชาโบราณอาร์คาน่าที่เพิ่มจิตวิญญาณในการต่อสู้และความแข็งแกร่งของผู้ใช้”
“สิ่งสำคัญในสนามรบอย่างแรกก็คือขวัญกำลังใจ เลือดของนักรบสามารถปลุกให้พวกเขาบ้าคลั่งและไม่หวาดกลัวต่อความตาย อย่างที่ 2 คือความอดทน พลังของวัวคลั่งสามารถเสริมพลังมหาศาลให้กับพวกเขา ทำให้พวกเขาสามารถต่อสู้ได้เป็นเวลานานโดยไม่เหนื่อยล้า เป็นอย่างไร ? ไม่เลวเลยใช่หรือไม่ ?”
หลินเฟิงถังหันกลับไปและเห็นว่าซูเฉินได้เดินมาหยุดยืนอยู่ที่ข้าง ๆ เขาแล้ว
“นั่นมันโกง !” หลินเฟิงถังเริ่มกระวนกระวายใจอย่างมาก “ผู้ฝึกยุทธ์จะใช้ทักษะต้นกำเนิดได้อย่างไร ?”
ซูเฉินตอบว่า “ข้ากล่าวว่าข้าจะไม่ใช้ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกยุทธ์ใช้ทักษะต้นกำเนิดไม่ได้ หลินเฟิงถัง ท่านก็ควรจะรู้นะว่าไม่มีทางทีข้าจะปล่อยให้ท่านมีข้อได้เปรียบที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ โดยไร้ซึ่งเหตุผลอยู่แล้ว การที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นก็ถือว่าปกติแล้ว ถ้ามันไม่เกิดขึ้นสิถึงจะแปลก จริงไหม ? ตราบใดที่ข้าไม่ได้ละเมิดกฎ มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรนี่”
หลินเฟิงถังพูดไม่ออก เขารู้สึกว่าคำพูดของซูเฉินนั้นมีเหตุผลอย่างไม่น่าเชื่อทำให้เขาหมดคำพูดไปสิ้น