ภาคที่ 3 บทที่ 151.2 ล่อลวง (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 151 ล่อลวง (2)

หลงชิงเจียงมองไปที่ซูเฉินด้วยสายตาตกตะลึง และกล่าวเสียงสั่น “ซูเฉิน … เจ้าจะโหดร้ายเกินไปแล้ว ! เจ้าพยายามจะล้างบางพวกข้าไปด้วยงั้นรึ !”

“ล้างบางพวกท่าน ? ข้าไม่คิดเช่นนั้นนะ อันที่จริงแล้วตรงข้ามกันเลย ข้ากำลังช่วยท่านเพื่อตอบแทนเรื่องที่ภูเขาทางใต้ก็เท่านั้น” ซูเฉินพูดอย่างใจเย็น

“เจ้าคิดว่าเจ้าชนะแล้วงั้นหรือ ?” หลงชิงเจียงจ้องไปที่ซูเฉิน

“ทำไมจะไม่ล่ะ ?” ซูเฉินถามกลับ “ทั้งตระกูลเหอและฉวงก็จบสิ้นไปแล้ว ตระกูลเซินกับเว่ยก็ถูกพวกท่านรังแก และคงกำลังเฝ้าที่จะเห็นพวกท่านทั้งหมดถูกทำลาย พวกมันไม่มีทางจะเข้ามาช่วยเป็นแน่ อย่างน้อยก็ไม่ใช่เร็ว ๆ นี้”

“ในขณะเดียวกัน ตระกูลหวังกำลังถูกเจ้าเมืองอันกดดันเอาไว้อยู่ แม้แต่จะนำกำลังออกมาช่วยพวกนั้นยังไม่สามารถทำได้เลยด้วยซ้ำ น่าจะเป็นตัวพวกนั้นเองมากกว่าต้องการความช่วยเหลือจากตระกูลอื่น กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือพันธมิตรในปัจจุบันเหลือเพียง 5 ตระกูลเท่านั้น”

“เจ้าไม่มีทางที่จะจัดการกับ 5 ตระกูลได้ทั้งหมดหรอก !” หลงชิงเจียงกล่าว

“ไม่ใช่ว่าพันธมิตร 10 ตระกูลของพวกเจ้าก่อนหน้านี้ รวมตัวกันก็ยังทำอะไรข้าไม่ได้เลย ?”

“นั่นเป็นเพราะข้ากำลังช่วยเจ้า !”

“นั่นคือเหตุผลที่ตอนนี้ข้าก็ยังจะขอความช่วยเหลือจากท่านเช่นเดิม” ซูเฉินตอบกลับอย่างรวดเร็วทำให้หลงชิงเจียงเงียบลง

ซูเฉินยิ้มและกล่าวว่า “ดูสิ ง่าย ๆ แค่นั้นเอง หากท่านช่วยข้า ฝ่ายข้าก็จะมีกรมพลังต้นกำเนิด ตระกูลหลง กลุ่มฉางชิง กลุ่มพยัคฆ์ร้ายและกองกำลังสามสายธา นั่นก็น่าจะเกินพอแล้วที่จะจัดการกับ 4 ตระกูลที่เหลือ”

“แล้วหลังจากนั้น ? เจ้าก็จะกำจัดพวกข้าไปด้วย ?”

“ท่านก็รู้ ว่าข้าไม่ใช้คนประเภทที่จะลืมบุญคุณคน” ซูเฉินตอบ

“ไม่ใช่ว่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงจะอยู่ในเมืองธารน้ำใสไม่ได้ ทว่าตระกูลเหล่านั้นหยิ่งผยองมากเกินไปและเริ่มไม่เชื่อฟังคำสั่งขององค์จักรพรรดิอีกต่อไปแล้ว นอกจากนี้แค่เพียงเพราะกองกำลังของพวกมันแข็งแกร่ง พวกมันกลับกล้าที่จะทำผิดกฎหมาย ผูกขาดการค้าและยังไม่จ่ายทั้งบรรณาการหรือภาษี นี่คือเหตุผลว่าทำไมทั้ง 2 ฝ่ายถึงได้ติดอยู่ในข้อพิพาทที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ตราบใดที่ตระกูลหลงเต็มใจที่จะอยู่ภายใต้กฎการปกครองอีกครั้ง เรื่องนี้ก็จะไม่เป็นปัญหาอีก”

หลงชิงเจียงหัวเราะอย่างเย็นชา “ตระกูลสายเลือดชั้นสูงที่หยิ่งผยองมากเกินไป ไม่ได้มีอยู่แค่ในเมืองนี้เท่านั้น แต่อยู่ทั่วดินแดนของเผ่ามนุษย์ แม้เจ้าจะสามารถควบคุมตระกูลในเมืองธารน้ำใสได้ก็ตาม แต่เจ้าจะสามารถควบคุมทุกตระกูลในเผ่ามนุษย์ได้หรือ ?”

ซูเฉินตอบว่า “แน่นอนว่าไม่ และข้าก็ไม่ได้สนใจที่จะทำเช่นนั้นด้วย ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพียงเพราะว่าข้าเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมพลังต้นกำเนิดและนี่เป็นหน้าที่ของข้า หลังจากวาระในหน้าที่ของข้าหมดลงข้าก็จะจากไป เมื่อถึงเวลานั้นท่านจะลากเมืองแห่งนี้กลับไปสู่ความสับสนวุ่นวายดังเดิมก็แล้วแต่ท่าน มันไม่ได้สำคัญอะไรกับข้าแล้ว”

หลงชิงเจียงมองเขาด้วยความประหลาดใจ “ข้าคิดว่าเจ้าเป็นข้าราชการที่รักและดูแลประชาชนเหมือนลูกของตนคนหนึ่งเสียอีก”

ซูเฉินหัวเราะเบา ๆ “ข้าอาจจะรักประชาชนคนทั่วไป แต่คงไม่ใช่รักดุจลูกของตัวเอง โลกใบนี้กว้างใหญ่และมีคนอยู่มากมายเกินไป ข้าไม่สามารถรักคนเหล่านั้นทั้งหมดได้ ข้าก็แค่ทำในสิ่งที่ควรทำก็เพียงพอแล้ว”

“แต่เจ้าสาบานว่าจะสร้างเส้นทางที่ปราศจากสายเลือดขึ้น ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการที่จะโค่นล้มตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหมดหรอกหรือ ?”

ซูเฉินยิ้มกว้างขึ้น “พวกท่านก็รู้เรื่องนี้ ? ท่านทำการบ้านมาดีจริง ๆ อย่างไรก็ตามมีสิ่งหนึ่งที่ท่านกล่าวผิด คำสาบานของข้าคือการฝ่าขีดจำกัดทางสายเลือด และสร้างระบบการบ่มเพาะที่เป็นของมนุษย์โดยเฉพาะขึ้นมา เพื่อที่จะได้ไม่ต้องพึ่งพาสายเลือดในการฝึกฝนอีกต่อไป สิ่งนี้จะทำให้เผ่ามนุษย์ผงาดขึ้น… แต่ข้าไม่เคยกล่าวว่าต้องการโค่นล้มตระกูลสายเลือดชั้นสูงเลยสักครั้ง นั่นเป็นเพียงการตีความการกระทำข้าไปกันเอาเองของใครบางคนก็เท่านั้น”

“แต่ถ้าคนทั่วไปได้พลังมาครอง แล้วตระกูลสายเลือดชั้นสูงจะยังมีที่เหลือให้ยืนอยู่อีกหรือ ?”

“นั่นไม่ธุระของข้า ข้ารู้ว่าถ้าคนทั่วไปได้ครอบครองพลังตระกูลชั้นสูงก็ย่อมได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของข้า มันไม่ใช่เส้นทางที่ข้าไล่ตาม ก็เหมือนกับคนเราที่ยังคงขับถ่ายหลังจากกิน ท่านไม่อาจกล่าวว่าคนเรากินก็เพราะต้องการขับถ่ายได้ ถูกไหม ?”

“ข้าไม่สนใจว่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงจะอยู่รอดหรือล่มสลาย ตราบใดที่พวกมันไม่มารบกวนข้า ข้าก็ขี้เกียจเกินกว่าจะไปวุ่นวายกับพวกมัน ไม่ว่าจะในเมืองธารน้ำใสมีตระกูลสายเลือดชั้นสูงสายเลือดชั้นสูงอยู่หรือไม่ มันก็ไม่ได้มีผลกระทบหรือความสำคัญอะไรกับข้าเลยแม้แต่น้อย ความขัดแย้งระหว่างเราไม่ใช่การต่อสู้เพื่อฐานะทางสังคมแต่แรกแล้ว ข้าเพียงแค่พยายามทำตามหน้าที่ของข้าเท่านั้น ทว่าพวกท่านทุกคนไม่เห็นด้วยกับมัน และพยายามที่จะสร้างปัญหาให้กับข้า เรื่องทั้งหมดมันก็มีแค่นี้เอง”

หลงชิงเจียงตกตะลึง เมื่อเขานึกถึงความเกลียดชังที่เขาเคยรู้สึกต่อซูเฉินในตอนแรก เขาก็ตระหนักได้ว่ามันก็เพียงแค่เพราะอีกฝ่ายจับกุมผู้เชี่ยวชาญ 2 คนที่ก่อปัญหาขึ้นเท่านั้น

สำหรับซูเฉิน เขาก็แค่ทำงานตามหน้าที่ของเขา แต่ในสายตาของตระกูลสายเลือดชั้นสูงเหล่านี้มันกลับกลายเป็นการยั่วยุ และพวกเขาก็ส่งคนจำนวนมากออกไปเพื่อกดดันอีกฝ่ายให้อธิบายเรื่อง ‘ความผิด’ นี้ของเขา

หลังจากนั้นซูเฉินก็ได้หันไปหาอันซื่อหยวน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยไปที่คฤหาสน์ของเจ้าเมืองเพื่อสร้างความดีความชอบเลยแม้แต่น้อย

“มันกลายเป็นเช่นนี้… ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นเพียงเพราะเจ้าก็เพียงแค่ทำตามหน้าที่ของเจ้า” หลงชิงเจียงบ่นพึมพำ

“มันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร และก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริง” ซูเฉินกล่าว

“ตราบใดที่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงยังพยายามอยู่เหนือกฎหมาย และยังคงปฏิเสธที่จะเชื่อฟังคำสั่งขององค์จักรพรรดิ ไม่ช้าก็เร็วความขัดแย้งแบบนี้ก็ย่อมต้องเกิดขึ้น ในวันนั้นหากข้าไม่สามารถจับกุมพวกมันได้ วันต่อมาข้าก็จะตามจับพวกมันอีก และหากในวันนั้นพวกท่านไม่ได้ตอบโต้ อีกไม่กี่วันถัดไปพวกท่านก็จะลงมือตอบโต้ ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือเวลา สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความบังเอิญแต่อย่างใด”

“มันก็จริง” หลงชิงเจียงไม่ปฏิเสธเรื่องที่ว่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงนั้นมั่นใจในตนเองมากเกินไป พวกเขาไม่มีทางที่จะยอมรับที่จะถูกกำราบโดยผู้ต่ำต้อยเช่นผู้จัดการความรู้อย่างซูเฉิน ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรเรื่องแบบนั้นก็จะยังคงเกิดขึ้นในจะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี

แต่เดิมความขัดแย้งนี้ก็เป็นเพียงความไม่ลงรอยกัน ไม่ใช่ความโกรธแค้นที่ต้องแลกด้วยชีวิต แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ถูกผลักดันมาจนถึงจุดจบเช่นนี้

ตอนนี้มันสายเกินไปแล้วที่หลงชิงเจียงจะเสียใจแม้ว่าเขาจะต้องการก็ตาม

ซูเฉินกล่าวต่อ “เรื่องที่ควรพูดข้าก็พูดไปหมดแล้ว ข้าไม่เคยมีอคติอะไรต่อตระกูลสายเลือดชั้นสูง และสิ่งที่ข้าทำไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการป้องกันตัว”

หลงชิงเจียงคิดถึงบางเรื่องขึ้นได้ “งั้นเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องฆ่าทุกคนใช่ไหม ? ตอนนี้แต่ละตระกูลก็ได้รับบทเรียนกันไปแล้ว และไม่ต้องการที่จะสู้ต่ออีก ข้าสามารถเป็นตัวแทนในฝั่งของพวกข้า และเราสามารถเจรจากันเพื่อแก้ไขสถานการณ์อย่างสันติได้ !”

ซูเฉินส่ายหัว “ข้าสามารถตกลงที่จะเจรจาได้ ก็ต่อเมื่อเราอยู่ภายใต้เงื่อนไขเดียวกันเท่านั้น”

“เงื่อนไขอะไร ?”

“ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร ! เมืองธารน้ำใสไม่ต้องการตัวตนของผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร ที่ไม่ยอมอยู่ใต้กฎข้อบังคับขององค์จักรพรรดิ”

“……”

ตอนนี้มีผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารเหลืออยู่เพียงคนเดียวเมืองในธารน้ำใสที่ปฏิเสธที่จะถูกจำกัดโดยกฎ – หวังซานหยู

หวังซานหยูเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารที่มีแท่นบงกช 3 ชั้น นอกจากนี้เขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังที่สุดในบรรดาตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหมด เป็นฐานที่สำคัญที่ทำให้ทุกคนยังคงรวมกันอยู่

ซูเฉินตกลงที่จะเจรจาสันติภาพแลกกับการกำจัดหวังซานหยู ซึ่งนั่นแทบจะเป็นเงื่อนไขที่ไปไม่ได้

“ไม่มีที่ว่างสำหรับการต่อรองเลย ?”

“ไม่มีที่ว่างสำหรับการต่อรอง !” ซูเฉินตอบอย่างเด็ดขาด

หวังซานหยูต้องตาย !

ถ้าเขาไม่ตายไม่มีทางที่ซูเฉินจะสบายใจ

ถ้าเขาไม่ตายก็ไม่มีทางที่อันซื่อหยวนจะสบายใจ

มีเพียงความตายของหวังซานหยูเท่านั้น ที่จะทำให้ตระกูลสายเลือดชั้นสูงยอมลดศีรษะของพวกเขาลงอย่างแท้จริง

เช่นเดียวกับซูเฉิน อันซื่อหยวนเองก็ไม่ได้ต้องการให้ตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหมดถูกกำจัดออกไป

พวกเขาไม่สามารถกำจัดอีกฝ่ายออกไปทั้งหมดได้ หากในวันนี้พวกเขากำจัดตระกูลชั้นสูงทั้งหมดไป ในวันพรุ่งนี้ตระกูลใหม่จะลุกขึ้นมาแทนที่

พวกเขาเพียงต้องการให้ชนชั้นสูงเหล่านี้ลดศีรษะและยอมเชื่อฟัง

กำจัดสิ่งที่สร้างความเดือดร้อน แยกกลุ่มคนที่มารวมตัวกัน ทำให้ผู้มีอำนาจอ่อนแอลง และเหลือเอาไว้เพียงผู้ที่ยอมเชื่อฟัง

นี่คือกลยุทธ์ของซูเฉิน

หลงชิงเจียงถาม “เจ้าจะทำอย่างไรให้พวกที่เหลือยอมเห็นด้วยกับเจ้า ?”

“ไม่มีอะไรมากไปกว่าการชักจูงพวกมันด้วยผลประโยชน์ หากจำเป็นข้าก็แค่ขู่พวกเขาซะ” ซูเฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง

“พูดกันดี ๆ ก่อน หากพวกเจ้าเต็มใจที่จะลดศีรษะลงนั่นก็นับเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าไม่พวกข้าก็จะทุบตีจนกว่าพวกเจ้าจะยอม และหากพวกเจ้ายังคงไม่เห็นด้วย งั้นก็ทำลายมันไปเถอะ 10 ตระกูลถูกกำจัดไปแล้ว 2 เช่นนั้นหายไปอีกสัก 2-3 ตระกูลมันก็คงจะไม่มีอะไรแตกต่างกันมากนัก”

“เจ้าสังหารคนของอีกฝ่ายไปตั้งมากมาย แล้วยังจะเสนอเงื่อนไขที่โหดร้ายเช่นนี้อีก ? ข้าคิดว่ามันยากที่จะสำเร็จ”

“นั่นเพียงเพราะพวกมันยังไม่ถึงสถานการณ์ที่เข้าตาจน ตราบใดที่ทุกคนตระหนักว่าพวกมันไม่มีความหวังที่จะชนะ สิ่งต่าง ๆ ก็จะง่ายขึ้นอีกมาก” ซูเฉินตอบอย่างสบาย ๆ

“นอกจากนี้ไม่ใช่ว่าข้ายังมีความช่วยเหลือจากท่านอยู่อีกหรอกหรือ ? ทำไมท่านไม่ลองเล่าให้ข้าฟังสักหน่อยล่ะว่าตระกูลใดบ้างที่โอนอ่อนง่ายที่สุด กล้าหาญน้อยที่สุดและน่าคุยที่สุด เราจะเริ่มต้นด้วยการกินผลไม้ที่นิ่มที่สุดกันก่อน แล้วค่อยไปกินผลไม้ที่แข็งกว่าที่หลัง”