บทที่ 150 ล่อลวง (1)
หลงชิงเจียงเฝ้าดูตระกูลต่าง ๆ จากไป ก่อนจะกลับมาที่ห้องโถงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ท่านพ่อ พวกนั้นกลับไปกันหมดแล้วหรือ?” หลงเฉ่าโหยวเดินเข้ามาถาม
หลังจากปล่อยให้ซูเฉินออกจากหุบเขาทางใต้แล้ว ชายหนุ่มก็ได้ส่งยารักษามาให้หลงเฉ่าโหยว เพื่อให้เขาฟื้นตัวและกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง
หลงเฉ่าโหยวล้มป่วยมาเป็นเวลา 6 ปีเต็ม เขาสงบลงกว่าแต่ก่อนมาก เพราะไม่ได้ออกมาเจอแสงอาทิตย์เป็นเวลานานใบหน้ากับผิวกายจึงซีดขาวไปเล็กน้อย หลังจากพักฟื้นมา 2 เดือน อาการของเขาก็นับว่าดีขึ้นเรื่อย ๆ
“อืม” เมื่อเห็นลูกชายของเขาดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาบ้าง หลงชิงเจียงก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาต้องเสียไปนั้นคุ้มค่าแล้ว
ไม่ว่าเขาจะเป็นคนโลภโหดร้ายหรือป่าเถื่อนแค่ไหน อย่างน้อยที่สุดในฐานะพ่อเขาก็ดูแลลูกชายของเขาได้อย่างเหมาะสม
หลงชิงเจียงมองไปที่ลูกชายของเขาและกล่าวว่า “ถึงคนจะจากไปแต่ความสงสัยก็ยังคงอยู่ ซูเฉินเลือกใช้ไพ่ในมือของตนได้อย่างยอดเยี่ยมจริง ๆ! ถึงกับสามารถทำลายพันธมิตรของเราลงได้อย่างไร้สุ่มเสียง”
“ในเมื่อท่านพ่อเดาได้แล้วว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของซูเฉิน เหตุใดท่านถึงไม่บอกคนอื่นไปล่ะ ?”
“ถ้าข้าเดาว่าได้เป็นมันแล้วยังไงต่อ ? เรื่องบางอย่างไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะคิดได้หรือไม่ แต่เป็นเจ้าจะคิดได้เมื่อไหร่ ตอนนี้สถานการณ์มันถูกลากยาวมาถึงจุดที่อีกฝ่ายพร้อมที่จะเผยไพ่ในมือของตนแล้ว ข้าเกรงว่าซูเฉินคงจะไม่สนใจแล้วว่าคนอื่นจะรับรู้เรื่องนี้หรือไม่”
“แต่ถ้าเราพูดออกไปตอนนี้ อย่างน้อยตระกูลอื่นก็จะไม่คิดว่าเราต้องเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้อีก”
“แล้วยังไง ?” หลงชิงเจียงขัดจังหวะเขา “ถ้าพวกนั้นคิดไปว่ากลุ่มพยัคฆ์ร้ายอยู่ภายใต้การควบคุมของข้า แล้วพวกมันจะมาจัดการกับข้าไหม ?”
หลงเฉ่าโหยวพูดไม่ออก
หลงชิงเจียงกล่าวต่อ “พวกมันจะไม่ทำ แต่ซูเฉินจะทำ !”
“ซูเฉิน” หลงเฉ่าโหยวรู้สึกใจสั่น “ท่านพ่อ … ”
แซ่หลงผู้พ่อถอนหายใจ “เซินอวิ๋นหงตายไปแล้ว เว่ยเพ่ยเองบาดเจ็บหนักจนระดับการฝึกฝนตกลง หวังซานหยูล้มเหลวจากการลงมือจัดการซูเฉินด้วยตัวเอง ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ทุกครั้งที่เราปะทะกับอีกฝ่าย เราเป็นฝ่ายที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการพ่ายแพ้มาโดยตลอด ใช่ ข้ากลัว ข้าไม่อยากจะไปสร้างความขุ่นเคืองให้ชายผู้นั้นอีกแล้ว”
“แต่นั่นจะไม่เท่ากับทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรอกหรือ ? ท่านพ่อไม่คิดว่าท่านเห็นแก่ตัวไปหน่อยเหรอ ?”
“เห็นแก่ตัว ?” หลงชิงเจียงหัวเราะอย่างเย็นชา “ชะตากรรมของตระกูลเซินกับเว่ย ก็น่าจะเป็นแบบอย่างที่เพียงพอจะแสดงให้เห็นแล้วว่า ในโลกนี้ไม่มีใครหรอกที่ไม่เห็นแก่ตัว เหตุใดซูเฉินถึงกล้าใช้กลุ่มฉางชิงกับกลุ่มพยัคฆ์ร้าย เพื่อปลุกระดมความขัดแย้งภายในระหว่างตระกูลกัน ? ไม่ใช่เพราะว่าชายคนนั้นรู้ดีว่าทุกคนมีเป้าหมายและแผนเป็นของตัวเองหรอกหรือ ?”
“พันธมิตร ? ในเมื่อพันธมิตรนั้นถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อผลประโยชน์ มันก็ย่อมที่จะสลายตัวไปเพื่อผลประโยชน์ได้เช่นกัน พันธมิตรเช่นนี้มันไม่ใช่ความสัมพันธ์ ในรูปแบบที่สามารถพึ่งพาได้เลยแม้แต่น้อย เสี่ยวโหยว เจ้าต้องจำเอาไว้นะ ว่าพันธมิตรคือกลุ่มคนที่เจ้าพึ่งพาได้น้อยที่สุดในโลกนี้ คนเหล่านั้นจะพร้อมช่วยเจ้าเสมอในยามที่เจ้าไม่ต้องการความช่วยเหลือ แต่เมื่อถึงเวลาที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือ มากที่สุดพวกนั้นก็จะทิ้งเจ้าไปทันที”
หลงชิงเจียงตบบ่าลูกชายของเขาเบา ๆ และพูดว่า “เมื่อเทียบกับการถูกผู้อื่นทอดทิ้ง ข้าเต็มใจที่จะเลือกละทิ้งผู้อื่น”
หลงเฉ่าโหยวรู้สึกว่าหัวใจของเขาสั่นสะท้าน เขาพยักหน้าและพูดว่า “ลูกเข้าใจแล้ว”
“ในเมื่อเจ้าเข้าใจแล้วก็ดี มาเถอะ มาต้อนรับแขกของเรากัน” แซ่หลงผู้พ่อลุกขึ้นกล่าว
“ต้อนรับแขก ?” หลงเฉ่าโหยวรู้สึกสับสน
เขาหันกลับไปมอง แต่ก็เห็นเพียงแค่ห้องโถงที่ยังคงว่างเปล่า
หลงชิงเจียงกล่าวกับพื้นที่ว่างด้านหน้าประตู “ยินดีต้อนรับ แขกผู้มีเกียรติโปรดเข้ามาก่อนเถิด”
เสียงหัวเราะดังขึ้นทั่วห้องโถงจากทางเข้าประตูหน้าที่ว่างเปล่า
จากนั้นร่างของคนผู้หนึ่งก็ก้าวออกมาจากเงามืด มันคือทาสรับใช้เงาฉางเอ๋อร์ แต่ในตอนนี้เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณเรียบร้อยแล้ว
ฉางเอ๋อร์ยิ้มและกล่าวว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลหลงมีสายตาที่แหลมคมจริง ๆ กลอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ ของฉางเอ๋อร์ไม่สามารถหลอกท่านได้เลย”
หัวหน้าตระกูลหลงโบกมือให้ผู้ช่วยของเขาถอยออกไป “นายของเจ้าเป็นคนที่เชื่อถือได้จริง ๆ ข้ารู้สึกขอบคุณมากที่เขารักษาสัญญาและช่วยลูกชายของข้า ได้โปรดบอกคนผู้นั้นให้ข้าทีว่า ตัวข้านั้นไม่มีความตั้งใจที่จะสู้กับเขาอีกแล้ว”
ฉางเอ๋อร์ยิ้มและกล่าวว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลหลง การยอมรับความพ่ายแพ้นี้ของท่านช่างน่าเชื่อถือยิ่ง แต่ดูเหมือนว่าท่านจะยังไม่ได้บอกลูกชายถึงเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่ง ที่ท่านไม่ต้องการทำให้นายของข้าขุ่นเคืองเลยนี้ ? ท่านเกรงว่านายของข้าจะบอกทุกคนถึงวิธีที่ใช้หลบหนีมาจากหุบเขาทางใต้ใช่หรือไม่เล่า ?”
การแสดงออกของหลงชิงเจียงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
จิ้งจอกเฒ่าหลงชิงเจียงผู้นี้ ทำทีเหมือนว่าเขากลัวว่าจะถูกซูเฉินทุบตีอีกครั้ง แต่แท้จริงแล้วเขากลัวว่าซูเฉินจะเปิดเผยสิ่งที่เกิดขึ้นบนหุบเขาทางใต้ต่างหาก ด้วยหากซูเฉินเปิดเผยเรื่องดังกล่าวออกไป หวังซานหยูจะต้องไม่ปล่อยเขาเอาไว้อย่างแน่ !
เพราะเหตุนี้ถึงแม้เขาจะเดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทั้งยังทนรับความเกรี้ยวโกรธของตระกูลอื่นแทนกลุ่มพยัคฆ์ร้ายด้วยความเต็มใจ และเขาก็รู้อยู่แล้วว่าฉางเอ๋อร์นั้นซ่อนตัวอยู่ใกล้ ๆ แต่ก็จงใจทำเป็นไม่รู้
อย่างไรก็ตาม หลงชิงเจียงไม่คาดคิดว่าฉางเอ๋อร์จะรู้อยู่แล้วว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในหัว
ฉางเอ๋อร์ไม่เคยพูดเก่งขนาดนี้มาก่อน และดูเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเป็นคนคาดเดาเรื่องเหล่านี้ ดังนั้นจึงน่าจะเป็นซูเฉินที่คาดเดาเรื่องนี้ไว้ล่วงหน้า
เมื่อตระหนักได้แล้ว จิ้งจอกเฒ่าหลงก็ได้แต่ถอนหายใจยาว “ข้าไม่สามารถซ่อนสิ่งใดจากสายตาของเจ้ากรมซูได้เลยจริง ๆ หากเป็นเช่นนั้นข้าขอถามได้ไหมว่า เหตุใดท่านเจ้ากรมจึงส่งเจ้ามาที่นี่ ?”
“ไม่มีอะไรมาก ก็เพียงแค่กำลังจะมีการแสดงดี ๆ เกิดขึ้น นายท่านจึงให้ข้ามาเชิญตระกูลหลงให้เข้าร่วมชม”
“การแสดงดี ๆ?”
“เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว ท่านก็จะทราบเอง” ฉางเอ๋อร์หันหลังและเดินออกไป
สองพ่อลูกตระกูลหลงมองเหลือบหน้ากัน ก่อนจะเดินออกไปด้วยกัน โดยมีสมาชิกของตระกูลหลงจำนวนไม่น้อยตามมาอยู่ด้านหลังไม่ห่าง
ฉางเอ๋อร์เดินนำตระกูลหลงไปตามเส้นทางที่คดเคี้ยว ก่อนที่พวกเขาจะมาหยุดลงในตรอกแห่งหนึ่ง
ฉางเอ๋อร์ผลักเปิดประตูเข้าไปในบ้านหลังหนึ่งและเดินเข้าไป ภายในลานมีเวทียกสูงเล็ก ๆ อยู่
มีคนผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่บนเวทีที่ว่านั่น เป็นซูเฉิน เขายืนอยู่บนแท่นโดยเอามือไพล่หลัง ราวกับกำลังมองดูอะไรบางอย่างอยู่
เมื่อเขาเห็นว่าหลงชิงเจียงกับลูกชายมาถึง ซูเฉินก็ยิ้มและพูดว่า “มา ๆ ท่านหัวหน้าตระกูลหลง มาดูนี้สิ”
หลงชิงเจียงรู้สึกงงงวย เขาเดินขึ้นไปบนเวที และมองไปยังทิศทางที่ซูเฉินกำลังมองอยู่ ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็ต้องสั่นสะท้าน
ภายในตรอกเบื้องหน้า การต่อสู้นองเลือดกำลังเปิดฉากขึ้น
แทนที่จะเป็นการต่อสู้ระหว่าง 2 ฝ่าย มันเหมือนกับการเข่นฆ่าสังหารอยู่ฝ่ายเดียวเสียมากกว่า และคนที่กำลังถูกไล่สังหารก็คือฉวงเทียนเยว่และตระกูลฉวงของเขา
ในเวลานี้ฉวงเทียนเยว่ได้เปิดใช้ความสามารถทางสายเลือดของเขาในระดับสูงสุดแล้ว ภาพลวงของหมีกลืนโลหิตปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของเขา อย่างไรก็ตามภายใต้ค่ายกลพลังต้นกำเนิดที่ถูกเปิดใช้งาน ทำให้ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม่แต่น้อย ราวกับว่าพวกเขากำลังยืนดูละครใบ้กันอยู่
“เจ้า !” หลงชิงเจียงจ้องไปที่ซูเฉินด้วยความโกรธ “นี่มันความหมายว่าอย่างไร ?”
“ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ ข้าแค่อยากจะบอกกับท่านว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะมีอีก 1 ตระกูลที่จะหายไปจาก 10 ตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็เท่านั้น” ซูเฉินตอบอย่างใจเย็น
หลงชิงเจียงกำหมัดแน่น “แล้วไง ? เจ้าก็แค่อาศัยความได้เปรียบชั่วขณะลอบเข้าโจมตี หลังจากวันนี้หากพวกมันยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนก่อปัญหา ก็คงเรียกได้ว่าโง่มากจนเกินเยียวยาไปแล้ว”
“ถูกต้อง หลังจากวันนี้แม้แต่คนงี่เง่าที่สุดก็ยังสามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน เมื่อตอนนั้นมาถึงหากข้าคิดที่จะซุ่มโจมตีและฆ่าพวกเขาทีละคนมันคงเป็นไปไม่ได้แล้ว” ซูเฉินตอบ “นั่นคือเหตุผลที่ข้าเรียกท่านมา”
ความไม่สบายใจเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของหัวหน้าตระกูลหลง เขาข่มใจที่กำลังสั่นและถามออกไป “มันเกี่ยวข้องอะไรกับข้ากัน ?”
“มันจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับท่านได้อย่างไร ?” ซูเฉินตอบอย่างสบาย ๆ “ไม่ว่าท่านจะพูดยังไง สถานที่สุดท้ายที่ตระกูลฉวงไปเยี่ยมเยือนก็คือตระกูลหลง ไหนจะเรื่องปัญหาของกลุ่มพยัคฆ์ร้ายที่ยังไม่ได้แก้ไขอีก บอกข้าที ท่านคิดว่าหลังจากนี้พวกมันจะคิดยังไงกับท่านกัน ?”
หัวใจของหลงชิงเจียงสั่นอย่างรุนแรงจนแทบจะแตกสลาย เขาขบฟันกรามแน่น “ข้าจะอธิบายทุกอย่างให้ทุกคนฟัง”
“เหอะ ท่านยังไม่ได้อธิบายเรื่องของกลุ่มพยัคฆ์ร้ายให้กระจ่างแกทุกคนเลยด้วยซ้ำ” ซูเฉินกล่าวอย่างดูถูก
“แน่นอน ข้ารู้ดีว่าหากท่านต้องการที่จะอธิบายเรื่องทุกอย่างให้ทุกคนฟัง ท่านก็ย่อมทำได้อยู่แล้ว ตามจริงท่านก็ยังสามารถหาทางปกปิดเรื่องของหุบเขาทางใต้จากคนเหล่านั้นได้เช่นกัน ดังนั้นข้าจึงได้ตระเตรียมเพิ่มหลักประกันเอาไว้อีกเล็กน้อย”
“อะไรนะ ?” หลงชิงเจียงรู้สึกสับสนยิ่ง
ซูเฉินชี้ไปยังจุดหนึ่งที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนักและพูดว่า “ดูทางนั้นสิ ที่นั่นมีแผ่นตรวจจับกำลังบันทึกภาพของพวกเราที่กำลังคุยกันในตอนนี้ และเบื้องหน้านั่นหัวหน้าตระกูลฉวงก็กำลังต่อสู้แลกชีวิตอยู่ ทว่าหัวหน้าตระกูลหลงกลับมาที่นี่เพื่อพูดคุยกับคนร้ายเช่นข้าอย่างสบาย ๆ ในขณะที่เฝ้าดูตระกูลฉวงตกลงสู่ความพินาศ …หากภาพพวกนี้ตกไปอยู่ในมือของตระกูลสายเลือดชั้นสูงตระกูลอื่น เชื่อข้าเถอะว่าต่อให้ท่านจะกระโดดลงไปในแม่น้ำสวรรค์ มันก็ไม่ได้ช่วยให้ท่านล้างข้อกล่าวหาออกไปได้หรอก”
เมื่อมาถึงตรงนี้ หลงชิงเจียงก็พลันรู้สึกเหมือนจะหน้ามืดขึ้นมาแล้ว