บทที่ 149 การโต้กลับ (8)
ตระกูลเหอจบสิ้นแล้ว
หัวหน้าตระกูลเหอ เหอหวูเชียนและผู้อาวุโสของตระกูล ไม่ว่าจะเป็นเหอหวูจิ่ว เหอหวูซิน หรือแม้แต่เหอหวูเชียง ล้วนถูกสังหารไปพร้อมกับคนระดับสูงของตระกูลทั้งหมด
ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วทุกซอยและถนนของเมืองธารน้ำใสอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับสายฝนที่เทกระหน่ำเพราะลมพายุเมื่อคืนวาน สร้างความตกตะลึงให้ผู้คนทั้งเมือง
แน่นอนว่าคนที่รับบทโดนกล่าวโทษว่าเป็นผู้ร้ายในข่าวก็คือ กลุ่มอันธพาลฉางชิงและกลุ่มพยัคฆ์ร้าย ทว่าคราวนี้ทั้ง 2 กลุ่มไม่ได้ต่อสู้แย่งชิงกันเองแต่อย่างใด กลับกันมันกลับเป็นการจับมือร่วมพันธมิตร
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนสงสัยมากที่สุดคือเหตุใดถึงเป็นตระกูลเหอ ?
เห็นได้ชัดว่าการโจมตีก่อนหน้านี้ของพวกเขา มีตระกูลเซินกับเว่ยเป็นเป้าหลัก และยังเป็นตระกูลที่ตกเป็นเป้าหมายของการถูกรังแกและแย่งชิงอยู่เลย ทำไมจู่ ๆ ถึงกลายเป็นตระกูลเหอไปได้กัน ?
แล้วกลุ่มอันธพาลฉางชิงกับกลุ่มพยัคฆ์ร้ายสามารถจัดการกับตระกูลเหอได้อย่างไร ?
สาเหตุที่ทำให้เหล่ากลุ่มอันธพาลเหล่านี้ มักจะอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลสายเลือดชั้นสูง นั่นก็เพราะพวกเขามีความแข็งแกร่งไม่เพียงพอ แต่ตอนนี้ทั้ง 2 กลับแสดงให้ทุกคนในเมืองนี้ต้องประหลาดกับความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาของพวกเขา
ตระกูลไหลผลักกลับไปสู่จุดสูงสุดของพายุแห่งความวุ่นวายอีกครั้ง ทุกคนคิดว่านี่เป็นคำสั่งของพวกเขา ในทำนองเดียวกันตระกูลหลงเองก็ตกเป็นเป้าโจมตี เพราะกลุ่มพยัคฆ์ร้ายอยู่ภายใต้พวกเขา อย่างไรก็ตามสถานการณ์ของหลงชิงเจียงเองก็เหมือนกันกับของไหลหวูอี่ ตัวเขานั้นได้สูญเสียการควบคุมกลุ่มพยัคฆ์ร้ายไปนานแล้ว
แม้ว่าไหลหวูอี่กับหลงชิงเจียงจะกล่าวว่าเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขา แต่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงตระกูลอื่นก็ไม่มีทางที่จะเชื่อพวกเขาง่าย ๆ อยู่ดี
ภายในคฤหาสน์ตระกูลไหล
กลุ่มผู้อาวุโสของตระกูลสายเลือดชั้นสูง กำลังสนทนากันอย่างดุเดือดกับไหลหวูอี่
“ข้าก็บอกไปแล้วไง ว่าข้าไม่ได้เป็นคนสั่งให้กลุ่มอันธพาลฉางชิงทำเรื่องเช่นนั้น” ไหลหวูอี้กล่าวในขณะที่เขาจ้องไปที่หวังเผยหยวน และคนอื่น ๆ ที่มากดดันเขาถึงประตูหน้าด้วยความโกรธ
“หากว่านั่นไม่ใช่ฝีมือของท่าน ถ้าเช่นนั้นก็โปรดส่งตัวมันมาให้ข้าด้วย พี่ไหล” หวังเผยหยวนกล่าว
ไหลหวูอี้ตอบอย่างหงุดหงิดใจ “ถ้าข้าส่งมันไปได้ ข้าก็คงทำไปนานแล้ว คงไม่ต้องให้พวกเจ้ามาหาข้าหรอก ! ข้าส่งคนมากมายออกไปตามหาหวังเหวินซิ่นมาตั้งแต่เมื่อบ่ายแล้ว ทว่าก็ไม่พบเงากลุ่มอันธพาลฉางชิงเลยแม้แต่น้อย”
“ท่านไม่รู้ว่าพวกมันไปไหน ?” ความประหลาดใจฉายไปทั่วใบหน้าของหวังเผยหยวน ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย “พี่ไหล ท่านไม่ได้กำลังล้อข้าเล่นอยู่ใช่หรือไม่ ? คนของท่านหาพวกมันไม่เจอจริง ๆ หรือ ?”
“เฮ้อ ! ว่ากันตามตรง อันที่จริงตัวข้านั้นควบคุมกลุ่มอันธพาลฉางชิงไม่ได้มาสักพักใหญ่แล้ว” เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาจนถึงจุดนี้ ไหลหวูอี้ก็ไม่สามารถที่จะปกปิดเพื่อรักษาชื่อเสียงของเขาได้อีกต่อไป และทำได้แค่บอกความจริงออกมา
หวังเผยหยวนและคนอื่น ๆ ตกตะลึง “ว่าอย่างไรนะ ?”
ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ “แล้วเหตุใดเจ้าถึงยืนกรานที่จะปกป้องพวกมันในการประชุมแนวร่วมครั้งล่าสุดกัน ? เจ้าจะบอกว่าการกวาดล้างกลุ่มอินทรีแดงของกลุ่มฉางชิงก็ไม่ใช่ความคิดของเจ้างั้นหรือ ?”
“แน่นอนว่ามันไม่ใช่ความคิดของข้า… ” ไหลหวูอี้รู้สึกเสียใจมากจนอยากจะตบตัวเอง เขาอยากจะอธิบายแก้ตัว แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ และได้แต่โทษตัวเองที่โลภเกินไป เขาทรุดตัวลงบนเก้าอี้และพูดว่า “ข้าเองก็โดนไอ้พวกเวรนั่นหลอกเอาเช่นกัน จะเชื่อข้าหรือไม่ก็แล้วแต่พวกเจ้าเถอะ”
เมื่อเขาเห็นท่าทางหดหู่ของอีกฝ่าย หวังเผยหยวนตกลงไปในห้วงความคิด
ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ฝีมือของตระกูลไหลจริง ๆ งั้นหรือ ?
แล้วใครกันที่เป็นผู้สั่งการให้พวกกลุ่มอันธพาลทำเช่นนั้น ?
ชื่อของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้นในความคิดของหวังเผยหยวนอย่างกะทันหัน
เขาตัวสั่นพลางส่ายหัวและพึมพำกับตัวเอง “ไม่ มันเป็นไปไม่ได้”
ทุกคนจ้องมองเขาอย่างแปลกประหลาด
การแสดงออกของหวังเผยหยวนค่อย ๆ น่าเกลียดมากขึ้นเรื่อย ๆ
แม้ว่าเขาจะพูดซ้ำ ๆ ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่เมื่อได้ลองคิดถึงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ หวังเผยหยวนก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นไปได้มากขึ้น และยิ่งเขาคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น
หวังเผยหยวนไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป เขาลุกขึ้นยืนอย่างพรวดพราดและกล่าวว่า “เรื่องต่าง ๆ ในวันนี้เอาไว้เพียงเท่านี้ก่อน ข้าคงต้องขอตัวกลับแล้ว”
ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่า ตระกูลของเขาอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมอย่างมาก และจำเป็นต้องกลับไปพูดคุยกับหวังซานหยูเพื่อหารือเกี่ยวกับมาตรการรับมือโดยเร็วที่สุด
หวังเผยหยวนไม่ได้บอกคนอื่นเกี่ยวกับการคาดเดาของเขา เพราะอย่างไรเสียท้ายที่สุดมันก็เป็นเพียงการคาดเดา หากเขาเดาผิดมันก็จะกลายเป็นเรื่องน่าขันในสายตาของคนอื่นไปทันที ความรักที่มีต่อชื่อเสียงและหน้าตาทางสังคมของตระกูลสายเลือดชั้นสูง ฝังแน่นอยู่ในหัวใจของพวกเขาจนถึงจุดที่มันแทบจะกลายเป็นทุกอย่างของพวกเขา
หวังเผยหยวนที่จากไปอย่างรีบร้อน ทิ้งให้คนที่เหลือรู้สึกสับสนงุนงง ความกระตือรือร้นและความน่าเกรงขามของพวกเขาลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ตระกูลที่มาเพื่อสอบปากคำไหลหวูอี้ในครั้งนี้ มีทั้งหมด 5 ตระกูล ตระกูลหวัง ตระกูลเหลียน ตระกูลอวี๋ ตระกูลฉวงและตระกูลหลิน
ตระกูลหลงเองก็ถูกสงสัยเช่นเดียวกันกับตระกูลไหล พวกเขาจึงไม่อาจอยู่ที่นั่นได้ ส่วนตระกูลเหอนั้นถูกกวาดล้างไปแล้ว พวกเขาจึงไม่สามารถอยู่ที่นั่นได้เช่นกัน ตระกูลเซินกับตระกูลเว่ย ณ ตอนนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่มีความเกลียดชังฝังลึกต่อตระกูลสายเลือดชั้นสูงกลุ่มอื่น ๆ ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะมาร่วมเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตระกูลเหอ
หลังจากที่ตระกูลหวังจากไป ตระกูลที่เหลือก็ซักถามตระกูลไหลอีกเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเพิ่มเติมพวกเขาจึงไปหาตระกูลหลงแทน
ตระกูลหลงนั้นตรงไปตรงมากว่ามาก พวกเขาแสดงออกว่าพวกเขาไม่มีความตั้งใจที่จะปกป้องกลุ่มพยัคฆ์ร้ายแม้แต่น้อย และยินดีที่จะปล่อยให้ทุกคนจัดการกับพวกมัน
หลังจากออกจากคฤหาสน์ตระกูลหลง 1 ในสมาชิกของตระกูลฉวงก็กล่าวว่า “ท่านหัวหน้าตระกูล เราจะส่งคนไปกวาดล้างกลุ่มพยัคฆ์ร้ายเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่ ?”
ฉวงเทียนเยว่ หัวหน้าตระกูลฉวงลูบเคราของเขา “ข้าอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเรื่องนี้มันมีอะไรแปลก ๆ กลุ่มพยัคฆ์ร้ายกับกลุ่มฉางชิง มีความกล้าพอที่จะโจมตีตระกูลเหอตั้งแต่เมื่อใดกัน ? ตระกูลไหลกับตระกูลหลงเป็นผู้แอบยุยงเรื่องนี้ ? ดูจากท่าทีของไหลหวูอี่กับหลงชิงเจียงแล้วข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น บางทีที่ทั้ง 2 กล่าวอาจจะเป็นความจริง นอกจากนี้ยังมีหวังเผยหยวนที่จู่ ๆ ก็จากไปอย่างรีบร้อนอีก … เรื่องนี้มีปัญหาซ่อนอยู่มากเกินไปจริง ๆ ”
“ท่านหัวหน้าตระกูลหมายถึง ?”
ฉวงเทียนเยว่มองไปยังท่าทีของตระกูลอื่น ๆ ที่เริ่มดูรุนแรงกันขึ้นทุกขณะ เขาขมวดคิ้วและคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าวว่า “กลับกันก่อน แล้วคอยคุย”
พวกเขาจากออกมาและกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลฉวง
ในขณะที่กำลังนั่งรถม้ากลับคฤหาสน์ ฉวงเทียนเยว่ก็ยังคงครุ่นคิดต่อไปว่า เหตุใดในบรรดาตระกูลทั้งหมดถึงเป็นตระกูลเหอที่ถูกโจมตี
เหตุใดพวกมันถึงได้เลือกตระกูลเหอเป็นเป้าหมาย ?
หากนี่เป็นแผนการสมรู้ร่วมคิดที่เตรียมการมาเป็นเวลานานแล้ว มันก็จะต้องมีจุดประสงค์ที่เลือกตระกูลเหออยู่เบื้องหลัง
เพื่อเงิน ? เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ ฉวงเทียนเยว่ปฏิเสธความคิดนั้นทันที หรือเพราะการตัดสินใจขัดค้านของเหอหวูเชียนก่อนหน้านี้ ? นั่นถือว่าค่อนข้างเป็นไปได้ ยังไงซะพวกเขาก็เป็น 1 ในไม่กี่คนที่คัดค้านการยึดครองอาณาเขต แต่ถึงแม้จะฆ่าอีกฝ่ายไป มันก็ไม่ได้ช่วยให้พวกเขากลับคำพูดที่เคยพูด และอาจทำให้คนอื่นให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากขึ้นด้วย หรือมันจะเป็นเพราะความสามารถในการต่อสู้ของอีกฝ่าย ?
ช่างมันเถอะ แม้ว่าสายเลือดอสูรโพรงปริศนาของตระกูลเหอจะไม่เลวนัก แต่มันเหมาะกับการตรวจจับและป้องกันการซุ่มโจมตีของศัตรูมากกว่า ในแง่ของพลังการต่อสู้ของพวกเขาเองก็เรียกได้ว่าอ่อนแอที่สุดในบรรดาตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้ง 10 ตระกูล
ประเดี๋ยวก่อน !
ทักษะตรวจจับและป้องกันการซุ่มโจมตีของศัตรู !
ทันใดนั้นฉวงเทียนเยว่ก็สั่นสะท้าน
เขาโผล่หัวของเขาออกมาจากรถม้า และเห็นว่าขบวนเดินทางของพวกเขากำลังเดินอยู่ในตรอกยาวแคบ ๆ
ความรู้สึกที่ว่าอันตรายกำลังใกล้เข้ามาผุดขึ้นมาในใจของเขาอย่างไร้สาเหตุ ฉวงเทียนเยว่ตะโกน “หยุดขบวนเดี๋ยวนี้ ! หันกลับ ! หันกลับไปเร็วเข้า !”
ก่อนที่ขบวนเดินทางจะทันได้หมุนกลับ เสียงเรียกที่ดังก้องขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ฉวงเทียนเยว่จมดิ่งสู่ห้วงแห่งความสิ้นหวังไปทันที
“หัวหน้าตระกูลฉวง ท่านช่างเฉียบแหลมจริง ๆ”
หลังจากเสียงกล่าวที่ฟังดูไม่เร่งรีบ เงียบลง ร่างของชายหนุ่มผู้สวมชุดสีขาวปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเขา เสื้อคลุมโบกพลิ้วไปตามสายลมขณะที่เขาเดินเข้าไปหาพวกเขาสบาย ๆ พร้อมกับเจียงซีสุ่ย อวิ๋นเป้าและกังเหยียนที่อยู่ด้านข้าง
“ซูเฉิน !” ฉวงเทียนเยว่กัดฟันเรียกชื่อของชายหนุ่ม
ฟุ่บ !
กลุ่มคนนับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้นบนกำแพงทั้ง 2 ข้างและเล็งหน้าไม้ตรงไปที่ศัตรู ในขณะเดียวกันที่ผิวของกำแพงก็เริ่มเปล่งสว่างขึ้น ค่ายกลถูกเปิดใช้งาน ทำให้กำแพงใสก่อตัวขึ้นล้อมรอบทั้งซอยเอาไว้อย่างแน่นหนา ชนิดที่ว่าแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณก็ไม่สามารถบุกทะลวงออกไปได้ ตัดความหวังที่จะหนีไปทางอากาศจนสิ้น
บนล่าง ทุกทิศรอบด้านถูกตัดขาด ไม่มีทางไหนให้พวกเขาหนีได้อีกแล้ว !
เส้นทางการล่าถอยถูกปิดกั้นเอาไว้โดยกลุ่มคนจำนวนมากที่นำโดยหวังเหวินซิ่น
ฉากนี้เหมือนกันกับตอนที่ตระกูลหลงและเหลียนล้อมจัดการซูเฉินเมื่อหลายปีก่อนไม่ผิดเพี้ยน
เพียงแต่ยามนี้เหยื่อที่ถูกล่าในครานั้นได้เปลี่ยนกลับกลายเป็นผู้ล่าแล้ว
ฉวงเทียนเยว่มองไปที่ซูเฉินด้วยความสิ้นหวัง “หากเจ้าสังหารข้า ทุกคนจะรู้ว่าเรื่องทั้งหมดเป็นฝีมือเจ้า”
“ข้าไม่สนอยู่แล้ว” ซูเฉินยักไหล่ “ข้าไม่เคยคิดว่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้ง 10 ของพวกเจ้า จะโง่ถึงขนาดที่หันมาสู้กันเองจนตายไปข้าง การยุยงให้เกิดความขัดแย้งภายในเป็นวิธีที่ดีที่จะทำให้ศัตรูอ่อนแอลง แต่ก็แค่อ่อนแอลงเท่านั้น ถ้าข้าเชื่อจริง ๆ ว่าตระกูลเหล่านั้นจะฆ่ากันเองจริง ๆ ข้าก็คงเป็นคนโง่เกินไป ด้วยเหตุนี้นับตั้งแต่ที่ข้าสังหารเหอหวูเชียน ข้าก็เตรียมพร้อมตัวรอให้หยุดต่อสู้กันเอง และกลับมารวมตัวเป็นพันธมิตรกันอีกครั้งไว้แล้ว… หากอยากได้อะไรออกมาดีก็ให้ทำด้วยตัวเอง คำพูดเก่า ๆ ช่างถูกต้องเสมอจริง ๆ”
เมื่อพูดจบ ซูเฉินก็เงียบลงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะโบกมือของเขาและกล่าวว่า “ฆ่าให้หมด !”