บทที่ 286 ไฟ (2)
ตูม!
ดอกไม้ไฟสีแดงก่ำกลุ่มหนึ่งระเบิดอย่างฉับพลันด้านนอกตำหนัก กลายเป็นคำว่าเลือดขนาดใหญ่
คำว่าเลือดในตัวอักษรของต้าซ่งมีขีดมากมาย ขีดทั้งหมดสามสิบหกขีดดูคมกริบ เหมือนกับคำสั่งขอความช่วยเหลือเร่งด่วนของตระกูลซั่งหยาง
“พลุ…พลุนี่เหตุใดจึงเหมือนยันต์ขอความช่วยเหลือของจิตรกรตระกูลซั่งหยางนัก นี่…ผิดปกติกระมัง…” เกิดว่ามีคนเข้าใจผิด ไหนเลยจะไม่อาละวาดใส่ตระกูลซั่งหยาง
ลิ่วซานจื่อได้ยินเจ้าสำนักคนหนึ่งถาม เขาก็กำลังคิดแบบนี้ในใจอยู่เหมือนกัน
จ้าวจื้อยิ้มแย้ม ยื่นมือชี้ท้องฟ้าด้านนอก
“ยังไม่จบ ทุกท่านโปรดดูต่อไป”
พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ เหล่าเจ้าสำนักกับศิษย์จำนวนมากที่แตกตื่นอยู่ด้านนอกก็เริ่มสงบลง ด้วยสถานะและตำแหน่งของผู้ครองเรือนสุดประจิม ไม่มีทางทำเรื่องน่าเบื่อแบบนี้ จะต้องมีเหตุผลตามมาแน่
ขณะที่คิดแบบนี้ ทุกคนก็รอคอยพลุครั้งต่อไป
ฟิ้ว…ตูม!
พลุควันสีดำสายหนึ่งระเบิดออกอย่างฉับพลัน
โครม เจ้าสำนักคนหนึ่งลุกพรวดขึ้น พลิกโต๊ะโลหะจนล้ม
คนผู้นี้มีสีหน้าโกรธเคือง ถามจ้าวจื้อว่า
“นี่คือยันต์สัญญาณขอความช่วยเหลือเร่งด่วนของสำนักข้า ผู้ครองเรือนจ้าวตั้งใจจะทำอะไรกันแน่ เลียนแบบยันต์สัญญาณเหมือนขนาดนี้ มีแผนการอะไรกัน”
จ้าวจื่อยิ้มๆ ยังคงไม่พูดอะไร
ตูม!
เปลวไฟสีขาวอีกกลุ่มหนึ่งระเบิด โปรยปรายเป็นกลีบดอกบัวเก้ากลีบที่มีขนาดเท่ากันกลางท้องฟ้า
“ยันต์สัญญาณขอความช่วยเหลือเร่งด่วนของตำหนักบัวหยกของข้า!?” เจ้าสำนักหญิงคนหนึ่งลุกขึ้นเช่นกัน
ตูม! ตูมๆๆๆๆ!
หลังพลุพุ่งขึ้นแล้วระเบิดอย่างต่อเนื่อง เจ้าสำนักหลายคนพากันลุกขึ้น นอกจากสำนักระดับสามขั้นล่างไม่กี่สำนักแล้ว สำนักที่เหลือล้วนปล่อยยันต์สัญญาณขอความช่วยเหลือเร่งด่วนโดยไม่มียกเว้น
“ทุกท่าน…พอใจกับการต้อนรับนี้หรือไม่” ถึงจ้าวจื้อคนเดียวจะแข็งแกร่ง แต่เผชิญหน้ากับเจ้าสำนักสิบเก้าคนตรงหน้าย่อมไม่ใช่คู่มือ หนำซ้ำในเจ้าสำนักเหล่านี้ยังมีคนไม่น้อยพกพาอาวุธศักดิ์สิทธิ์มา ซึ่งคนส่วนนี้มาจากสำนักที่มีความสัมพันธ์กับเรือนสุดประจิมธรรมดา เพราะกลัวจะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้น
แต่ว่าตอนนี้จ้าวจื้อไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย เพียงมองทุกคนที่อยู่ด้านล่างด้วยสีหน้าเยือกเย็น
“จ้าวจื้อ! ท่านทำอะไร!” เจ้าสำนักเนินภูผาระดับสามขั้นบนเป็นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่กำยำ ตอนนี้แสดงสีหน้าไม่พอใจ กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร
“เอาล่ะ…ถึงเวลาแล้ว…ทุกท่านโปรดค่อยๆ ลิ้มรสค่ายกลอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของเรือนสุดประจิม โลหิตสังหารไปเถอะ ผู้แซ่จ้าวขอตัวก่อน” จ้าวจื้อพูดจบ ร่างก็ค่อยๆ เลือนหายไป
“นี่มัน!?” ครั้งนี้เจ้าสำนักทุกคนที่อยู่รอบๆ ล้วนรู้แล้วว่าตัวเองติดกับ
ตูม!
เงาคนสายหนึ่งพุ่งไปยังประตูของเรือนสุดประจิมด้านนอกตำหนักทันที
ทว่าม่านแสงสีแดงก่ำ กั้นการพุ่งของเขาเอาไว้ ม่านแสงมีความยืดหยุ่น เพียงแตะใส่เบาๆ ก็ดีดเงาสายนั้นกลับมา
ลิ่วซานจื่อยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็พบว่าตัวเองถูกขังในค่ายกลนี้แล้ว
ค่ายกลโลหิตสังหารหรือ
เขาพลันเกิดลางสังหรณ์อัปมงคล
“แย่แล้ว! นั่นมันยันต์ขอความช่วยเหลือของสำนักข้า ศิษย์ข้า!” เจ้าสำนักหญิงคนหนึ่งพลันนึกอะไรได้ อยู่ๆ ก็คลั่งขึ้นมา ร่างเกิดเสียงดังแกร๊ก กลายเป็นสายฟ้าสีน้ำเงินสายหนึ่งพุ่งออกจากตำหนักใหญ่ มุ่งหน้าไปยังนอกเรือนสุดประจิม
แสงสายฟ้าเต้นระริกกะพริบระยิบระยับ พริบตาเดียวก็ไปถึงประตูเรือน แล้วพุ่งไปด้านนอกพร้อมกับเสียงดังลั่น
ตึง!
อาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่เหมือนกับพวงมาลัยพุ่งออกจากสายฟ้า กระแทกเข้าใส่ม่านแสงของค่ายกลอย่างรุนแรง
พวงมาลัยซึ่งเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ปลดปล่อยสายฟ้าสีน้ำเงินซึ่งเหมือนกับสายโซ่ลงอักขระยันต์ทั่วไป ขอบพวงมาลัยที่หมุนด้วยความเร็วสูงกรีดเฉือนม่านแสงอย่างดุดัน
ตูม!
ค่ายกลสั่นอย่างรุนแรง แต่ยังคงไม่พังทลาย
อาวุธศักดิ์สิทธิ์มืดลงอย่างรวดเร็ว สูญเสียพลังงานไป จะใช้อีกครั้งต้องสะสมพลังงานนานยิ่ง
“แม้แต่อาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็เจาะไม่ได้หรือ” สมองลิ่วซานจื่อสับสน เขาคิดไม่ออกโดยสิ้นเชิงว่าทำไมจ้าวจื้อผู้ครองเรือนสุดประจิมจึงทำแบบนี้ แต่ว่าวิกฤติการณ์ที่ค่อยๆ รุกคืบแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ในจิตใต้สำนึก
“ท่านที่นำอาวุธศักดิ์สิทธิ์มาด้วยได้โปรดลุกขึ้น พวกเราต้องร่วมแรงร่วมใจกันแล้ว ไม่รู้จ้าวจื้อทำบ้าอะไร แต่ถ้าที่นี่เป็นค่ายกลโลหิตสังหารจริงๆ หากพวกเราไม่รีบทะลวงค่ายกลออกไป ไม่ถึงสองวันจะถูกค่ายกลย่อยสลายเป็นน้ำหนอง” เจ้าสำนักที่เหมือนเด็กคนหนึ่งกล่าวเสียงกังวาน
“เจ้าสำนักหลัวกล่าวถูกต้อง! พวกเราต้องร่วมแรงร่วมใจกัน ข้าสงสัยว่าจ้าวจื้อมีความเป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะไม่ใช่เจ้าสำนักคนเดิม แต่ถูกมารปีศาจบางชนิดสวมรอยและยึดครองร่างไปแล้ว” คนคนหนึ่งคาดเดา
คำพูดนี้ได้รับการยอมรับจากคนไม่น้อย
เพียงแต่ลิ่วซานจื่อยังคงกระสับกระส่าย เรื่องที่พวกเขาคิดได้ ผู้ครองเรือนสุดประจิมจ้าวจื้อจะคิดไม่ได้หรือ คนแก่ที่ฝึกฝนมาหลายปีจนสมองแทบทื่ออย่างพวกเขาจะเทียบกับจ้าวจื้อที่ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าเล่ห์ได้อย่างไร
“แย่แล้ว! นั่นมัน…ปราณมาร!”
ทันใดนั้นเจ้าสำนักคนหนึ่งก็ชี้นิ้วที่กำลังสั่นเทาไปยังสีดำสายหนึ่งบนม่านแสงสีแดงกลางท้องฟ้า
ทุกคนตื่นตระหนก รีบเงยหน้าขึ้นมอง
เป็นอย่างที่คาด ทุกคนเห็นเส้นสีดำที่แจ่มชัดหลายเส้นปรากฏบนม่านแสงสีแดงก่ำ เส้นสีดำเหล่านั้นล่องลอยไปมาบนม่านแสงเหมือนสิ่งมีชีวิต
“เป็น…เป็น…แก่นมาร…นั่นคือแก่นมาร! แก่นมารที่มีแต่ราชามารถึงจะปล่อยออกมาได้!”
มีคนจดจำลักษณะของควันสีดำที่ลอยไปมาได้
แก่นมาร!? เป็นราชามารหรือ
นั่นเป็นสัตว์ประหลาดเผ่ามารซึ่งมีแต่ผู้ถืออาวุธถึงจะสู้ได้! เกิดอะไรขึ้น!? เรือนสุดประจิมเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักร้อยเส้นสาย นี่เป็นสถานที่ใจกลาง เหตุใดจึงปรากฏแก่นมารที่ราชามารปล่อยออกมาได้!?
ในระดับสามขั้นบนมีแต่เรือนสุดประจิมที่มีความมั่นใจในการปะทะกับผู้ถืออาวุธซึ่งหน้า ความจริงสาเหตุที่สำนักที่เหลืออยู่ ฝืนรักษาอิสรภาพของร้อยเส้นสายไว้ได้ ก็เพราะการนำของเรือนสุดประจิม
ทว่าตอนนี้ เรือนสุดประจิมถูกราชามารบุกโจมตี…
ความเย็นเยียบและความสิ้นหวังอันลางเรือนค่อยๆ กระจายไปในใจของเหล่าเจ้าสำนัก
ถ้าหากเรือนสุดประจิมทรยศ พวกเขาจะเอาอะไรไปสู้กับตระกูลขุนนาง เอาอะไรไปสู้กับภัยพิบัติมาร!?
…
เมืองพันนาวา
ในท้องฟ้าขมุกขมัว หินยักษ์หลายก้อนร่วงตกลงมาเหมือนหยดฝน
ก้อนหินสีขาวอมเทาที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่าสิบหมี่ก้อนหนึ่ง ซึ่งกำลังหมุนคว้างพร้อมกับกะพริบลวดลายขนาดยักษ์สีเลือด ตกใส่เขตเมืองด้านในเมืองพันนาวาดุจดาวตก
ตูม!
อาคารสามแถวถูกชนทะลุ อิฐหินดินโคลนจำนวนมากกระจายว่อน
“ยันต์สัญญาณขอความช่วยเหลือยังไม่ได้ข่าวอีกหรือ!?” ไป๋ซิวตะโกนถามจากมุมหนึ่ง
“ยัง! เจ้าสำนักทุกคนเหมือนหายสาบสูญ ทั้งหมดถูกขังในค่ายกลใหญ่ ไม่ใช่แค่เจ้าสำนักเท่านั้น ยังมียอดฝีมือที่เป็นศิษย์ของเรือนสุดประจิมจำนวนมากกว่าเก้าส่วนด้วย” หวงฟู่ก้มศีรษะกล่าวด้วยใบหน้าเจ็บปวด
“เป็นไปได้อย่างไร!?” ไป๋ซิวทำหน้าดุดัน สิบสามผู้อาวุโสของของวังหมื่นสุขตายไป จนเหลือแค่สามคน แต่เจ้าสำนักยังคงไม่กลับมา มีแค่เจ้าสำนักเท่านั้นจึงจะใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ในสำนักได้ ขุมพลังที่แข็งแกร่งที่สุดไม่อยู่ สงครามนี้ย่อมพ่ายแพ้
ทั้งสองยังคงนำหัวะกะทิหลายร้อยคนที่อยู่รวมกัน ต่อสู้กับทัพมารที่กรูกันเข้ามาอย่างไม่ขาดสายอยู่ในเมือง
ทว่าเป็นเพราะจำนวนแตกต่างมากเกินไป หัวกะทิจากสำนักที่เหลืออยู่จึงมีคนสละชีพสู้ตายไปทุกวินาที
เวลานี้ทัพของหลายสำนักที่เดิมมีคนหลายพันคนเหลือแค่เพียงน้อยนิด
“ศิษย์พี่ไป๋! ทางผู้อาวุโสห้าไม่ไหวแล้ว! เขา…ท่านผู้เฒ่า ให้พวกท่านรีบถอย!” ศิษย์สตรีวังหมื่นสุขที่น้ำตานองหน้าคนหนึ่งพุ่งเข้ามา ทิ้งตัวลงใกล้ๆ ไป๋ซิว เอ่ยอย่างแผ่วเบา นางสะอึกสะอื้น แสดงว่าสภาพการรบทางด้านนั้นอนาถถึงขั้นไม่อาจบรรยาย
“บัดซบ!” ไป๋ซิวกำหมัดแน่นจนนิ้วมือจิกลึกลงไปในเนื้อ มีเลือดหยดลงมาแต่กลับไม่รู้ตัว
“นี่เป็นความผิดของเรือนสุดประจิม!” หวงฟู่ลุกขึ้น “ข้าจะไปช่วยเอง!”
“ไม่จำเป็น พวกเราถอย!” ไป๋ซิวกล่าวเสียงเย็น “เรือนสุดประจิม…ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า! เจ้าคือเจ้า เจ้าคือหวงฟู่สหายของข้า! ไม่ใช่หวงฟู่จากเรือนสุดประจิม!”
“ข้า…” หวงฟู่รู้สึกว่าขอบตาเปียกชื้น แต่เขารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาอิดออด ทุกๆ วินาทีที่ลังเล จะมีศิษย์ของสำนักตายไป
“ถอย!” เขาตวาดเสียงเฉียบขาด ศิษย์ของเรือนสุดประจิมด้านหลังสะกดความกระวนกระวาย ติดตามเขาถอยหนีด้วยความรวดเร็ว
ไม่ว่าอย่างไร การติดตามศิษย์พี่หวงฟู่จะต้องไม่ผิดแน่ จำไม่ได้ว่าเกิดขึ้นกี่ครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งหวงฟู่ไม่เคยทำให้คนที่ฝากความหวังกับเขาผิดหวัง
เขาเป็นรองเจ้าสำนักที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าจ้าวจื้อเสียอีก ถ้าหากไม่ใช่ขาดพลังไปเล็กน้อย เขาคงรับตำแหน่งผู้ครองเรือนสุดประจิมโดยไม่มีปัญหาใดๆ ได้แน่
ทุกคนรวมถึงไป๋ซิวรีบล่าถอยโดยมีหวงฟู่เป็นผู้นำ
“เมืองด้านในรักษาไว้ไม่ได้แล้ว พวกเราได้แต่ทิ้งที่นี่ สถานที่ที่อาจจะขัดขวางทัพมารได้ใกล้ๆ นี้ มีแค่ที่ที่มีภูมิประเทศอันตราย และมีอุปสรรคทางธรรมชาติคอยป้องกัน”
“สามารถมุ่งหน้าไปยังตำหนักแดงเดือด!” ไป๋ซิวเสนอ “ตำหนักแดงเดือดอยู่ใกล้ปากปล่องภูเขาไฟ ใช้วิชาลับกระตุ้นภูเขาไฟมีพลังสิบกว่าลูกรอบๆ เพื่อป้องกันศัตรูจากภายนอกได้ตลอดเวลา มารแตกต่างกับเรา ส่วนใหญ่มีคุณสมบัติต้านไฟค่อนข้างอ่อนแอ”
“ดี! พวกเราหาโอกาสเคลื่อนไหวรอบนอกก่อน ดูว่าจะช่วยคนมากกว่านี้ได้หรือไม่” หวงฟู่กล่าวพลางพยักหน้า
…
แฮ่ก…แฮ่ก…แฮ่ก…
เลือดสีดำอมม่วงที่เหมือนกับหินหนืดหยดจากทั่วร่างลู่เซิ่ง เลือดเหนียวข้นกำลังลุกไหม้ สะเก็ดไฟสีแดงอมม่วงผุดออกมาตลอดเวลา เมื่อเลือดหยดใส่พื้นก็เผาหินบนพื้นให้กลายเป็นควันสีดำส่งเสียงฉ่าๆ
เขาบาดเจ็บและเหนื่อยล้า สองแขนและคอด้านซ้ายบนร่างมหึมาขนาดสิบกว่าหมี่ถูกกัดเป็นรูขนาดใหญ่
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าขอบของปากแผลขยับอย่างรุนแรง ทว่าถูกเยื่อดำเล็กๆ ขวางไว้ จึงฟื้นฟูไม่ได้
นอกจากนี้แล้ว ปีกด้านหลังยังถูกฉีกกระชากออก หล่นอยู่ไม่ไกลออกไป ส่วนท้องถูกควักเนื้อไปก้อนใหญ่จนเห็นอวัยวะภายในที่ไฟสีม่วงกำลังปกคลุมอยู่
“เหอะๆๆ เป็นอย่างไร เห็นพละกำลังที่ยิ่งใหญ่ของข้าหรือยัง” เสือดาวอสรพิษหัวเราะเสียงแหลม
“หัวเราะหาอะไร! ร่างกายเจ้าก็ขาดเป็นสิบกว่าส่วนเหมือนกัน มีอะไรน่าขำหรือไง” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างไม่พอใจ
เสือดาวอสรพิษถูกดักคอจนพูดไม่ออก
เขามองร่างกายของตัวเอง ร่างกายที่เหมือนตะขาบเหลือแค่ส่วนเล็กๆ ส่วนอื่นๆ ขยับอยู่บนพื้นใกล้ๆ หลังถูกฉีกออกและเผาไหม้ สิ่งที่เหมือนกับลำไส้หลายเส้นไหลออกมาจากปากแผลบนท่อนล่าง ลากระไปกับพื้น
ดวงตาข้างหนึ่งบนศีรษะที่อยู่ด้านบนสุดบอดไปแล้ว นี่เป็นดวงตาที่เขาใช้เป็นหลัก ที่เหลือความจริงล้วนเป็นอาวุธ
“ต่อให้เป็นแบบนี้ เจ้าก็อาการหนักกว่าข้าอยู่ดี!” เสือดาวอสรพิษหัวเราะเย็นชา
“งั้นหรือ” ลู่เซิ่งใบหน้าเย็นเยียบ ร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลงช้าๆ “ตอนแรกข้าไม่คิดจะใช้สภาพนี้…ถึงอย่างไรด้วยความสามารถด้านการควบคุมแก่นมารในตอนนี้ ถ้าเข้าสู่สภาพนี้จะเปลืองแรงมาก น่าเสียดาย…”
ซู่…
ทันใดนั้น ร่างอันมโหฬารของลู่เซิ่งก็หดตัว พริบตาเดียวก็จับตัวกันเป็นเงาร่างที่สูงแค่สามหมี่กว่าๆ
“รวมเป็นหนึ่งกับข้าเถอะ!”
ปากที่ใหญ่และดุร้ายบนศีรษะของเงานั้นขยายใหญ่จนมีเส้นผ่าศูนย์กลางสามสิบกว่าหมี่ ขยับเข้าหาเสือดาวอสรพิษ
เสือดาวอสรพิษมีสีหน้าสับสน ถึงขั้นไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดวงตาของเขาสะท้อนปากใหญ่น่ากลัวที่ยิ่งมายิ่งเข้าใกล้
หงับ!
……………………………………….