ตอนที่ 115 ต่อให้ตายก็ต้องมีอนุสรณ์

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 115 ต่อให้ตายก็ต้องมีอนุสรณ์

หยุนลี่จงเริ่มต้นด้วยการกล่าววาจาชวนคล้อยตามอย่างแยบยล เขาไม่คิดใช้วิธีบังคับหรือขู่เข็ญเพราะอย่างไรกลยุทธ์การตลาดทั้งหมดก็อยู่ในมือของเด็กหยุนเชวี่ย หากกระทำการบุ่มบ่ามจนหยุนเชวี่ยเกิดบ่ายเบี่ยงขึ้นมาคงไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ดีนัก

ดังนั้นครั้งนี้หยุนลี่จงจึงจำเป็นต้องใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ในการตะล่อมอีกฝ่าย

ยัดเยียดแนวคิดเข้าไปในสมองอันเชื่องช้าของหยุนลี่เต๋อเสียก่อน จากนั้นหยุนเชวี่ยจึงจะไม่สามารถทัดทานใด ๆ ได้อีก

ครั้นหยุนเชวี่ยเห็นผู้เฒ่าหยุนเผยสีหน้าอมทุกข์ออกมาอย่างไม่ปิดบังจึงล่วงรู้ทันทีว่าหยุนลี่จงผู้นี้จะต้องคิดแผนการสกปรกออกมาหลอกล่อบิดาของนางอย่างไม่ต้องสงสัย

เปลือกตาของหยุนเชวี่ยหลุบลง ทว่าริมฝีปากกลับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะ

หยุนลี่เต๋อยังคงรับบทบาทลูกค้าที่ไม่คิดสงสัยว่ามีสิ่งใดอยู่ในโถน้ำเต้าเช่นเดิม จึงได้แต่พยักหน้ารับอย่างโง่เขลา “พี่ใหญ่กล่าวถูกต้อง”

“ในเมื่อเจ้ามีทัศนคติเรื่องนี้ตรงกันกับข้า เช่นนั้นคงหารือกันง่ายยิ่ง…” หยุนลี่จงหยุดชะงักชั่วคราวพลางกลอกตามองด้านบน

“น้องรอง ข้าได้ยินมาว่าเชวี่ยเอ๋อลูกสาวของเจ้าสามารถหาเงินเลี้ยงชีพได้มาเป็นตัวเงินจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว หลานสาวผู้นี้ช่างมีหัวการค้าปราดเปรื่องนัก!”

ภายใต้ประโยคกลั้วหัวเราะไร้ซึ่งความจริงใจมีประโยคชื่นชมอยู่สามจุด ทว่าแทรกการติติงและวิพากษ์วิจารณ์ไปแล้วถึงสองจุด

หยุนลี่เต๋อตกตะลึงเล็กน้อยก่อนหันไปสบตาหยุนเชวี่ยที่ยืนอยู่เคียงข้างด้วยไม่รู้ว่าตนควรตอบรับหรือบ่ายเบี่ยงอย่างไรดี

“ดูเถิด! หากเจ้าสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวจนมีความเป็นอยู่ที่ดี หากจะไม่บอกกล่าวกันก็ไม่ใช่เรื่องผิดแปลก” หยุนลี่จงเผยรอยยิ้มอีกครั้ง “ท่านพ่อและข้าซึ่งเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดของเจ้าหรือจะคิดก้าวก่ายทรัพย์สินที่เป็นส่วนของเจ้า?”

หยุนเชวี่ยก้มศีรษะลงและลอบเบ้ปาก หึหึ… คนผู้นี้ไม่รู้สึกกระดากอายเลยหรืออย่างไรที่กล่าววาจาซึ่งเป็นความรู้สึกที่ตรงข้ามกับก้นบึ้งของจิตใจ?

“เด็ก ๆ ล้วนต้องตื่นแต่เช้ามาทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาจุนเจือครอบครัว” หยุนลี่เต๋อไร้ซึ่งไหวพริบเฉียบแหลมเช่นหยุนเชวี่ย ดังนั้นจึงมองไม่ออกถึงเจตนาที่แท้จริงของอีกฝ่าย เมื่อไม่เข้าใจถ้อยคำอ้อมค้อมเหล่านั้นหยุนลี่เต๋อจึงเลือกที่จะเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา “พี่ใหญ่ บอกข้าเถิดว่าท่านต้องการกล่าวถึงสิ่งใดกันแน่?”

หยุนลี่จงวางมาดอีกครั้งเพื่อเสริมสร้างสง่าราศีว่าตนฉลาดและสูงส่งกว่าอีกฝ่ายเพียงใด คราวนี้เขาตัดสินใจเอ่ยวาจาอย่างตรงไปตรงมา

“ฮ่าฮ่าฮ่า! น้องรอง!” หยุนลี่จงเอื้อมมือไปตบบ่าหยุนลี่เต๋อ “เจ้าย่อมตระหนักดีอยู่แล้วว่าครอบครัวเดียวกันไม่พูดจาต่างภาษา เหตุใดจึงไม่คิดเปิดอกบอกกล่าวกันอย่างตรงไปตรงมา?”

หยุนลี่เต๋อยังคงเบาปัญญาเช่นเดิม “พี่ใหญ่หมายความว่าอย่างไร? โปรดขยายความให้กระจ่าง”

“หมายความว่าอย่างไรงั้นหรือ?” หยุนลี่จงส่ายศีรษะ “น้องรอง ตราบใดที่พวกเราเป็นคนในตระกูลเดียวกันเช่นนั้นจึงควรแบ่งปันแนวคิดการค้าโดยไม่ปิดบังมิใช่หรือ? หากเป็นเช่นนั้นแล้วตระกูลของเราจึงจะเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นใช่หรือไม่?”

ครั้งนี้หยุนลี่เต๋อพยักหน้าเพราะเข้าใจสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการสื่ออย่างถ่องแท้

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วหยุนลี่จงจึงหยุดสาธยายเพิ่มเติมและรอให้หยุนลี่เต๋อเป็นฝ่ายพูดก่อน

“ท่านพ่อ… พี่ใหญ่…” หยุนลี่เต๋อพยายามพูดอย่างติดขัด

หยุนเชวี่ยฟังดังนั้นจึงรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา นางเดินเร่ขายสินค้าท่ามกลางแดดจัดตลอดทั้งวันเพื่อนำเงินทุกเหรียญกลับมาจุนเจือครอบครัว ดังนั้นการที่หยุนลี่จงคิดชุบมือเปิบซึ่งหน้าเช่นนี้ถือเป็นเรื่องน่ารังเกียจยิ่ง หยุนเชวี่ยไม่อาจอดทนรอให้อีกฝ่ายคิดเอาเปรียบอีกต่อไป

“น้องรองยังจำได้อยู่หรือไม่ ก่อนหน้านี้พี่ใหญ่เคยให้คำมั่นไว้… อนาคตไม่ว่าครอบครัวของเจ้าต้องการเงินอย่างไรเขายินดีจุนเจือทุกสิ่งอย่าง” แม่นางจ้าวกล่าวเสริมด้วยรอยยิ้มเสแสร้งไม่แพ้กัน

“เอ่อ…”

“ประการที่สอง ท่านพ่อตระหนักดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยที่ครอบครัวของเจ้าจะหาเงินมาได้แต่ละเหรียญ ทว่าสิ่งที่พวกข้าไม่เข้าใจนักคือเจ้าสามารถช่วยให้คนนอกตระกูลได้รับรายได้เป็นส่วนแบ่งค่าจ้างในจำนวนที่มากพอดู แล้วเหตุใดจึงไม่คิดเอาเงินส่วนนั้นมาช่วยเหลือเกื้อกูลคนในครอบครัวเสียบ้าง?”

หยุนลี่เต๋อ…

“ท่านลุงใหญ่หมายความว่าต้องการให้ข้าพาพี่หยุนโม่และพี่หยุนเยว่ไปเร่ขายบ๊วยดองด้วยกันตามถนนในเมืองอย่างนั้นรึ? เช่นนั้นก็ย่อมได้ ไปวันพรุ่งนี้เลยเป็นอย่างไร?” หยุนเชวี่ยจงใจโพล่งขึ้นและแสร้งทำเป็นสับสน

“สามหาว!” แม่นางจ้าวผุดลุกขึ้นทันที “ครอบครัวของข้าไม่วันลดตัวลงไประกำลำบากเช่นนั้นเป็นแน่!”

หยุนโม่ได้รับการศึกษาวิชาความรู้โดยเล่าเรียนกับนักปราชญ์มากพรสวรรค์มาตั้งแต่ยังเยาว์ งานบ้านสักกระเบียดไม่เคยได้จับต้องกระทั่งวัยล่วงเข้าสู่สิบหกปี ส่วนหยุนเยว่นั้นมีนิสัยถือตนและรักสวยรักงามยิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจะให้เหล่าลูก ๆ ของตนลงไปเกลือกกลั้วกับเด็กบ้านนอกได้อย่างไรกัน?

“เช่นนั้นจะหาเงินโดยไม่ลงแรงทำงานได้อย่างไร? รอให้ลมพัดปลิวมากระนั้นหรือ?” หยุนเชวี่ยกะพริบตาปริบแสร้งทำเป็นงุนงงยิ่งกว่าเก่า

“เชวี่ยเอ๋อ นั่นไม่ยากเลย… ให้เอ้อหลางและซานหลางของข้าติดตามไปด้วย ถึงอย่างไรก็ดีกว่าจ้างคนนอกเป็นไหน ๆ” ดวงตาของแม่นางเฉินลุกวาวพลางถูฝ่ามือด้วยความโลภ

หากลูกชายทั้งสองของแม่นางเฉินสามารถหาเงินได้แล้วละก็ นับจากนี้นางก็ไม่ต้องตรากตรำทำงานอีกและใช้เงินไปกับการกินดื่มอย่างอิ่มหนำสำราญเสียที

“เงียบปากก่อนเถอะน่า!” หยุนลี่เซียวเอนกายไปทางแม่นางเฉินพลางกล่าวเตือนสติ

เวลานี้หยุนลี่เซียวไม่สนใจผู้ใดในวงสนทนานอกจากหยุนลี่จงเท่านั้น

หากเด็กหยุนเชวี่ยจอมเจ้าเล่ห์ผู้นี้บอกหนทางทำกินแก่หยุนลี่จงจนหมดเปลือกทุกสิ่งจะเสียการ ซึ่งหยุนเชวี่ยไม่มีทางจ้างลูก ๆ ของตนไปช่วยงานเป็นแน่ แม้แต่หยุนลี่จงซึ่งคิดเริ่มทำธุรกิจก็ไม่มีวันเจียดเงินมาจุนเจือตนเช่นกัน

“ดูสะใภ้สามพูดเข้า” แม่นางจ้าวยกผ้าขึ้นซับมุมปากพร้อมเหยียดยิ้ม “หากจ้างเด็กสองคนนั้นจริง เจ้าก็จะไม่ต้องทำสิ่งใดเลยนอกจากเป็นเถ้าแก่เนี้ยนั่งนับเงินอยู่กับที่เท่านั้น”

หยุนเชวี่ยนิ่งฟังต่อไปโดยยังไม่ปริปาก

“น้องรอง… เจ้าเองก็ออกความคิดเห็นเรื่องนี้ด้วยเถิด” หยุนลี่จงโยนเผือกร้อนให้กับหยุนลี่เต๋อผู้มีนิสัยซื่อตรงและไร้ความคิดซับซ้อนให้เป็นผู้ตัดสินใจ

“ว่าอย่างไรนะ?!”

เริ่มแรกหยุนลี่เต๋อคิดว่าพวกเขาต้องการเงินส่วนแบ่ง แต่เมื่อมาถึงหยุนลี่จงกลับกล่าวว่าไม่ต้องการผลประโยชน์รวมเหล่านั้น ครั้นหารือนานเข้ากลับเผยความคิดว่าจะลอกเลียนการค้าของตน แท้จริงแล้วเหล่าพี่น้องของเขาต้องการสิ่งใดกันแน่?

แม่นางจ้าวเริ่มกลอกตาและแสดงความไม่ชอบใจ ฮึ่ม! ดูเหมือนหยุนลี่เต๋อซึ่งไร้ปากเสียงและสัตย์ซื่อผู้นี้จะเริ่มมีไหวพริบที่พัฒนาขึ้นเกินจะหลอกล่อเสียแล้ว!

“เฮ้อ…” หยุนลี่จงถอนหายใจเสียงดังพลางส่ายหน้า

แท้จริงแล้วหยุนลี่เต๋อไม่เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อหรือแสร้งทำเป็นสับสนเพื่อบ่ายเบี่ยงกันแน่?

“น้องรอง! ภายในใจของเจ้าไร้ซึ่งพี่น้องร่วมสายเลือดสินะ!” น้ำเสียงของหยุนลี่จงสั่นสะท้านขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“ท่านลุงใหญ่ ถึงขั้นนี้แล้วโปรดกล่าวใจความสำคัญมาโดยตรงเถิด!” หยุนเชวี่ยอดรนทนไม่ไหวจึงเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่าย

เวลานี้บุคคลผู้น่ารังเกียจที่สุดคือหยุนลี่จง! เขาต้องการแสวงหาผลประโยชน์โดยไม่ลงทุนคิดสิ่งใดด้วยตนเองด้วยซ้ำ ทว่ากลับแสดงออกให้ดูมีเกียรติและศักดิ์ศรี ต่อให้ตัวตายก็ต้องมีอนุสรณ์หรืออย่างไร?

“หากหัวใจของเจ้ายังคิดกตัญญูต่อท่านพ่อท่านแม่และตระกูลของเราอยู่บ้าง เช่นนั้นก็ควรแถลงไขหนทางการสร้างรายได้เพื่อให้ครอบครัวของเรามั่งคั่งไปพร้อมกัน!” หยุนลี่จงแสดงท่าทีราวผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง “ที่เจ้ากล่าวอ้างว่ามณฑลอันผิงกว้างขวาง อีกทั้งจำนวนเงินที่ได้มานั้นไม่ได้มากมายแต่อย่างใด เจ้าโกหกเพราะกลัวว่าพวกข้าจะคิดอกุศลต่อธุรกิจของเจ้ากระทั่งล้มละลายใช่หรือไม่?”

หยุนลี่เต๋อนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง

“อนิจจา… พี่ใหญ่ของเจ้ากล่าวถึงเรื่องราวในอนาคตอยู่ทุกเช้าเย็นว่าหากเขาสามารถสอบเป็นขุนนางได้ในอนาคตจะไม่มีวันปฏิบัติกับพี่น้องร่วมตระกูลอย่างไม่แยแส ไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าจะปีกกล้าขาแข็งถึงขั้นลืมครอบครัวเก่าของตนเช่นนี้” แม่นางจ้าวได้ทีจึงรีบเติมเชื้อไฟ

“พี่รอง! ข้าคิดไว้แล้วไม่มีผิดว่าท่านคิดหันหลังให้ตระกูลของเราอย่างสมบูรณ์! วันนี้ท่านมีเงินมากมายแต่กลับไม่ไยดีพวกข้า กลับนำมันไปจุนเจือคนนอกเพราะกลัวว่าพวกเราจะเอาเปรียบ…” หยุนลี่เซียวกระดิกเท้าถี่ขณะกล่าวคำเหน็บแนมไม่หยุดปาก เขาแสยะยิ้มกว้างกระทั่งมุมปากจะฉีกถึงโคนใบหู “ข้าชักไม่มั่นใจเสียแล้วว่าท่านเป็นพี่ชายของข้าหรือเป็นพี่ชายของแม่หม้ายเหลียวกันแน่!”

“อย่ากล่าวคำไร้สาระ!” สีหน้าของหยุนลี่เต๋อแปรเปลี่ยนเป็นคล้ำเข้ม น้ำเสียงเริ่มแข็งกร้าวด้วยแรงอารมณ์

บุรุษเช่นเขามีความรับผิดชอบมากพอทั้งยังมีจิตสำนึกสูงส่งกว่าที่หยุนลี่เซียวกล่าวหามากนัก เมื่อได้ยินถ้อยคำสบประมาทไร้สาระเหล่านั้นจึงไม่อาจทนฟังต่อไปได้ ที่สำคัญหยุนเชวี่ยที่อีกฝ่ายพาดพิงถึงก็ยืนอยู่ที่นี่ด้วย!

หยุนลี่เซียวเป็นนักเลงหัวไม้อุปนิสัยสามหาวจึงต้องการเย้ยหยันอีกฝ่ายให้รู้สึกผิด แต่เมื่อเห็นว่าหยุนลี่เต๋อเริ่มมีโทสะจึงไม่กล้าต่อความยาวอีก เขาเพียงกลอกตาครั้งหนึ่งพร้อมพ่นลมหายใจออกอย่างเย็นชา

“เจ้าสาม!” ผู้เฒ่าหยุนก็ทนการกระทำหยาบคายของหยุนลี่เซียวไม่ได้เช่นกัน เขาตบโต๊ะเสียงดังลั่นก่อนชี้นิ้วไปที่หยุนี่ลี่เซียวพลางส่งสายตาเป็นเชิงต่อว่า

“พี่รอง ข้าขอเสียมารยาทถามอย่างตรงไปตรงมา นับตั้งแต่ท่านแยกครอบครัวออกไปได้ไม่นานกลับลืมท่านพ่อและท่านแม่สิ้นเสียแล้วหรือ?” หยุนชิ่วเอ๋อเอ่ยถามอย่างจี้จุด

“โอ้…” แม่เฒ่าจูสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อรวบรวมลมปราณก่อนสบถออกมายาวเหยียด “ไอ้ลูกทรพี! เจ้าดื่มนมจากเต้าของข้า กินขนมที่ยายแก่ผู้นี้ป้อนให้กับมือ เติบใหญ่กลับคิดคดเนรคุณหลงลืมแม้แต่บิดามารดาให้กำเนิด! มัวเมาแต่ในรสเงินตราจนจะกระอักความสุขตายอยู่แล้วกระมัง! จิตใจของเจ้าเหี้ยมโหดถึงขั้นจะปล่อยให้พ่อแม่อดอยากตายงั้นรึ?!”

ห้องโถงใหญ่เต็มไปด้วยเสียงตะโกนก่นด่าดังระงมราวอยู่ในโรงละครจัดแสดงนักร้องประสานเสียง หยุนเชวี่ยเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความตึงเครียด

หยุนลี่จงขึ้นเสียง “น้องรอง! มัวอ้ำอึ้งอยู่ด้วยเหตุใดกัน?! ไม่เห็นหรือว่าเจ้าทำให้ท่านพ่อ ท่านแม่โกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้!”

หยุนลี่เต๋อเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับการอ้าปากพูดอีกครั้ง

เงินทุกเหรียญล้วนได้รับมาเพราะน้ำพักน้ำแรงของหยุนเชวี่ยทั้งสิ้น จะให้เขาตัดสินใจเองอย่างไรได้?!

แม้ไม่อาจแสดงความคิดเห็นไม่ว่าหนทางใด ทว่าในฐานะพ่อเขาก็ไม่อาจผลักไสลูกสาวให้ถูกเอารัดเอาเปรียบโดยไร้ซึ่งความยุติธรรม แต่จะปล่อยใหหยุนเชวี่ยถูกสาปแช่งจนเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของวงศ์ตระกูลได้อย่างไร?

“นี่…”

สายตาของเขาหันไปสบเข้ากับแววตาแข็งกระด้างขุ่นมัวของผู้เฒ่าหยุนผู้เป็นพ่อ ประกอบกับคำสาปแช่งรุนแรงซึ่งดังจากปากของแม่เฒ่าจูผู้เป็นแม่อย่างไม่หยุดหย่อน รวมถึงแววตาดุดันระคนผิดหวังจากหยุนชิ่วเอ๋อและหยุนลี่เซียว อีกทั้งหยุนลี่จงผู้เป็นต้นเรื่องทั้งหมด หยุนลี่เต๋อจึงทำเพียงกำหมัดแน่นด้วยรู้สึกกดดันกระทั่งก้นบึ้งของจิตใจเจ็บปวดเกินจะทานทน