ตอนที่ 116 เงินกลายเป็นเครื่องสร้างความแตกแยก
เมื่อหยุนลี่จงสร้างหนี้สิน ผู้เฒ่าหยุนขอร้องให้หยุนลี่เต๋อรับโทษแทนเพื่อช่วยเหลือครอบครัว
เมื่อหมูถูกพลั่วแทงจนดับดิ้นทั้งที่เป็นอุบัติเหตุ พวกเขาต่างคร่ำครวญราวสูญเสียทรัพย์สมบัติสำคัญในชีวิต หยุนลี่เต๋อจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตัดสินใจสละเนื้อหมูเพื่อให้ครอบครัวได้นำไปประกอบอาหาร
ตระกูลหยูเข้ามาก่อเรื่องสร้างปัญหา ก็เป็นหยุนลี่เต๋ออีกมิใช่หรือที่ถูกกดดันให้เจียดเงินไปรับผิดชอบแทน
แล้วตอนนี้เล่า?
ทันทีที่พ่อแม่พี่น้องได้ยินว่าเชวี่ยเอ๋อสามารถค้าขายมีรายได้มหาศาลก็เรียกร้องขอรับผลประโยชน์ร่วมโดยหยิบยกเอาคำสัญญาเล็กน้อยที่จับต้องไม่ได้มาถือเป็นบุญคุณใหญ่หลวง…
หยุนลี่เต๋อไม่คิดโทษว่าเป็นความผิดของผู้ใด ทว่ารู้สึกเสียใจและผิดหวัง
เขาผิดหวังเมื่อความรักในครอบครัวกลับกลายเป็นการแสวงหาผลประโยชน์
ที่นึกเสียใจยิ่งสิ่งใดคือเสียใจต่อทัศนคติของผู้เฒ่าหยุนและแม่เฒ่าจู
จะให้หยุนลี่เต๋อทำตัวเพิกเฉยกับทุกสถานการณ์และใช้ชีวิตล่องลอยไปวัน ๆ เช่นหยุนลี่เซียว หรือจะให้หลบเลี่ยงทุกสิ่งอย่างที่นำพามาซึ่งความเดือดร้อนแก่ตนเช่นหยุนลี่จง ทั้งหมดนั้นเขาล้วนทำไม่ได้ทั้งสิ้น
“ท่านพ่อ ท่านแม่ เรื่องนี้…” หยุนลี่เต๋อเหลือบมองหยุนเชวี่ยซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง “ธุรกิจนี้ถูกคิดขึ้นโดยเชวี่ยเอ๋อทุกประการ รวมถึงเงินที่ได้มาทุกเหรียญก็ด้วยความสามารถของนางเช่นกัน แม้ข้าเป็นพ่อก็ไม่อาจตัดสินใจเป็นใหญ่ไปกว่านางได้”
“เจ้าเป็นพ่อ เหตุใดจึงเป็นใหญ่เหนือลูกสาวไม่ได้เล่า?!” หยุนลี่เซียวแค่นเสียงเย้ยหยันถากถาง “จะบอกอะไรให้นะพี่รอง… ท่านเป็นบุรุษเพศแท้ ๆ แต่กลับเป็นผู้นำครอบครัวที่เหมาะควรไม่ได้แม้เพียงนิดเชียวหรืออย่างไร?”
สิ้นคำกล่าวนั้นหยุนลี่เซียวจึงเบนสายตาไปที่หยุนเชวี่ย “หากนางเป็นลูกสาวของข้า ข้าคงคิดผูกขานางห้อยไว้กับคานเสียให้สิ้นเรื่อง นางไม่มีค่าแม้แต่จะหยิ่งผยองใด ๆ ด้วยซ้ำ!”
หยุนเชวี่ยหรี่ตามองหยุนลี่เซียวพร้อมขดริมฝีปากแน่นด้วยความชิงชังรังเกียจ
นางนับไม่ถ้วนแล้วว่าหยุนลี่เซียวดูถูกเหยียดหยามตนมาแล้วกี่ครั้ง หยุนเชวี่ยไม่เข้าใจแม้แต่น้อยว่าเหตุใดหยุนลี่เซียวจึงจ้องจะแช่งชักหักกระดูกตนอยู่ตลอดเวลา
“เช่นนั้นจงดูเด็กผู้หญิงคนนี้ไว้! ดูเสียให้เต็มสองตา! อาสามไม่เคยแม้แต่จะหาเงินเพื่อครอบครัวแม้แต่สองหรือสามเหรียญด้วยซ้ำไม่ใช่หรืออย่างไร? ข้าแซ่หยุน… สามารถหาเงินและทองมาจุนเจือครอบครัวได้มากกว่าท่านเสียอีก!” สิ้นเสียงหยุนเชวี่ย ใบหน้าของหยุนลี่เซียวแปรเปลี่ยนเป็นแดงก่ำลามไปถึงลำคอเพราะความโกรธจัด
หากไม่ใช่เพราะยังเกรงใจหยุนลี่เต๋ออยู่บ้างหยุนลี่เซียวคงถลกแขนเสื้อขึ้นก่อนพุ่งเข้าไปง้างปากเด็กหญิงผู้นี้ให้หลาบจำและรู้จักถึงสัมมาคารวะเสียบ้าง!
“ลูกสาวของข้า เรื่องการอบรมสั่งสอนปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิด” หยุนลี่เต๋อยกแขนแกร่งขึ้นกันตัวหยุนเชวี่ยให้ถอยหลังกลับ “อย่าเสียมารยาท!”
ใบหน้าของหยุนลี่เต๋อปรากฏเป็นสีคล้ำหม่นอีกครั้ง แสดงออกถึงความดุดันเอาไว้อย่างชัดแจ้ง
“ประเสริฐ… ประเสริฐนัก!” หยุนลี่เซียวจ้องเขม็งกลับอย่างไม่เกรงกลัว ดวงตาคู่นั้นหรี่เล็กลงขณะก้าวซวนเซด้วยท่าทางเยี่ยงนักเลงหัวไม้ “ท่านพ่อ ท่ามได้ยินชัดเจนแล้วหรือไม่? ในสายตาของพี่รองมองเห็นพวกเราเป็นคนอื่นไปเสียแล้ว ฮ่าฮ่า!”
ใบหน้าเหี่ยวย่นด้วยวัยที่ร่วงโรยของผู้เฒ่าหยุนมืดมนลง แก้มทั้งสองข้างตอบซูบแสดงถึงภาวะทางอารมณ์ที่ถดถอย ภายใต้แสงเงาวูบวาบของตะเกียงน้ำมันในห้องโถงทำให้ใบหน้ายิ่งดูชราภาพลงกว่าความเป็นจริงหลายปี
ผู้เฒ่าหยุนนิ่งเงียบไปพักใหญ่ สีหน้าเปลี่ยนแปรไปหลายครั้งจนยากจะคาดเดา ในที่สุดจึงตบต้นขาเสียงดังพลางถอนหายใจแรงอย่างเหนื่อยหน่ายเสียเต็มประดา “เฮ้อ…”
ผู้เฒ่าหยุนให้ความสำคัญกับการรักษาชื่อเสียงเรียงนามรวมถึงหน้าตาของตนในสังคมเป็นที่หนึ่ง แรกเริ่มเขารู้สึกไม่สบอารมณ์ในการทำธุรกิจโดยพลการของครอบครัวหยุนลี่เต๋อ ทว่าเมื่อเห็นว่าหยุนลี่เต๋อสามารถสร้างตัวได้จากจำนวนเงินที่เก็บหอมรอมริบทีละน้อย ความอับอายในโชคชะตาของตนย่อมปรากฏขึ้นอย่างยากที่จะเก็บซ่อน
เขาหาเงินได้ไม่เท่าลูกชายของตนด้วยซ้ำ!
ก่อนหน้านี้เพราะเห็นแก่หยุนลี่จงผู้เฒ่าหยุนจึงตัดสินใจขายที่ดินในครอบครองออกไปถึงยี่สิบไร่ ตอนนี้เหลือโฉนดในมืออยู่เพียงสี่ไร่เท่านั้น ทว่าภายในตระกูลมีปากท้องมากกว่าสิบชีวิตที่ต้องเลี้ยงดูไม่ให้อดอยากปากแห้ง ดังนั้นเขาจำเป็นต้องมีช่องทางการทำมาหากินอื่นร่วมด้วย!
“พี่รอง ต้องรอถึงขั้นให้ท่านพ่อและท่านแม่คุกเข่าขอร้องอ้อนวอนเชียวหรืออย่างไร? คงไม่เกรงว่าตนจะอายุสั้นลงหรอกใช่หรือไม่?!” หยุนชิ่วเอ๋อใช้สายตาดุดันจับจ้องไปที่พี่ชายคนรอง
“โอ้! มันเกลียดยายแก่อย่างข้าถึงเพียงนี้ หนำซ้ำยังคิดให้ข้าก้มหัวลงกราบกรานอีก!” แม่เฒ่าจูหยัดกายลุกขึ้นจากเก้าอี้ล้อเข็นกระทั่งแข็งขาอ่อนแรงและทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น จากนั้นจึงเอาแต่ร้องตัดพ้อโวยวายลั่น “ข้าไม่ใคร่ดำรงชีวิตอยู่อีกต่อไป! สวรรค์! โปรดประทานสายฟ้าฟาดลงมาผ่าร่างไร้ค่าของข้าที!”
ครั้นเห็นแม่เฒ่าจูเข่าอ่อนล้มพับลงหยุนลี่เต๋อจึงตระหนกยิ่งและรีบปราดเข้าประคองโดยสัญชาตญาณ
แม่เฒ่าจูเห็นสบจังหวะพอเหมาะจึงโถมกายเข้าประชิดตัวหยุนลี่เต๋อและออกแรงทุบตีแผ่นอกของหยุนลี่เต๋อโดยแรงหลายต่อหลายครั้ง ปากก็ร้องคร่ำครวญสลับกับพ่นวาจาสาปแช่งอันเจ็บแสบ “ไอ้ลูกชายเนรคุณคน! ชาตินี้ข้าไม่ขออยู่ดูความวิบัติของตระกูลอีก! ปล่อยให้ข้าตายและจัดการเตรียมงานศพรอไว้ซะ!”
“ท่านแม่! ไม่นะ… ท่านแม่!”
“น้องรอง จิตใจของเจ้าช่างอำมหิตผิดมนุษย์เสียจริง!” แม่นางจ้าวรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาคลี่และซับบริเวณมุมตาด้วยท่าทางสลดใจเกินบรรยาย
ห้องโถงใหญ่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนน่ารังเกียจ สรรพเสียงปนเปไปด้วยคำก่นด่าสาปแช่ง เสียงร่ำไห้ รวมถึงเสียงถอนหายใจอย่างเอือมระอา
“หยุดร้องแรกแหกกระเชอกันได้แล้ว! ท่านพ่อของข้าไม่เรื่องใดเกี่ยวกับธุรกิจนี้ทั้งสิ้น หากท่านย่า ท่านอา ท่านลุงต้องการทราบข้อมูลก็ให้ถามเอากับข้าไม่ใช่เขา!” หยุนเชวี่ยตะโกนเสียงดังขณะเดินออกไปสองก้าวและหยุดอยู่กลางห้องโถง
เสียงเซ็งแซ่ระงมเงียบกริบลงทันใด
แม่เฒ่าจูหยุดร้องไห้โวยวายในบัดดล เปลือกตาของผู้เฒ่าหยุนกระตุกสองครั้ง หยุนลี่จงหันขวับไปมองหยุนเชวี่ยด้วยความประหลาดใจ
“เช่นนั้นเร่งว่ามาเร็วเข้า!” หยุนลี่เซียวตะคอก ดวงตาฉายประกายกล้าวาววับ
หยุนชิ่วเอ๋อและแม่นางจ้าวนิ่งเงียบและล้างหูรอฟังอย่างจดจ่อ
“ในเมื่อกล่าวย้ำหลายต่อหลายครั้งว่าเราต่างเป็นคนในตระกูลเดียวกัน เช่นนั้นก็ไม่มีสิ่งใดต้องปิดบังต่อกันอีก ข้าเดินทางเข้าไปในตัวเมืองของมณฑลอันผิงเพื่อเร่ขายบ๊วยดองและลูกพลัมแช่น้ำตาล” หยุนเชวี่ยเว้นจังหวะครู่หนึ่งพลางขบริมฝีปาก
“กระบวนการทำไม่ยุ่งยาก ขั้นตอนแรกคือการนำลูกพลัมสดมาคว้านและล้างทำความสะอาด จากนั้นจึงแช่ไว้ในน้ำเกลือเป็นเวลาสามชั่วยาม ต่อมาค่อยนำไปล้างผ่านน้ำอีกครั้งก่อนโรยด้วยหญ้าสมุนไพร แล้วจึงบรรจุลงในขวดโหลซึ่งมีฝาครอบปิดสนิทพร้อมแช่ด้วยน้ำตาลทิ้งไว้อย่างน้อยหนึ่งคืนเต็ม ยิ่งข้ามหลายคืนรสชาติจะยิ่งอร่อยมากขึ้นเท่านั้น”
กล่าวจนจบแล้วหยุนเชวี่ยจึงกวาดสายตามองใบหน้าบรรดาญาติผู้ใหญ่เรียงคนอย่างเชื่องช้า
“หมู่บ้านของเราไม่มีครัวเรือนใดเพาะปลูกลูกพลัมสด เช่นนั้นเจ้าไปเสาะหามันมาจากที่ใด?” แม่นางจ้าวตั้งคำถาม
“ฝากคนรู้จักสั่งวัตถุดิบขึ้นมาจากทางใต้น่ะซี”
“ผู้ใดเล่า คนที่เจ้ากล่าวถึง?”
“นายน้อยตระกูลกั๋วแห่งหมู่บ้านต้าหวยชู่”
“ตระกูลกั๋ว… นั่นไม่ใช่บ้านสามีของเหอเยี่ยเอ๋อหรอกรึ?!”
หยุนเชวี่ยพยักหน้ารับ
หยุนชิ่วเอ๋อสูดลมหายใจลึกพลางเปล่งเสียงจึกจักในลำคออย่างไม่พอใจ
เป็นพวกตระกูลเหออีกแล้ว! ภายในหมู่บ้านไป๋ซีแห่งนี้ครอบครัวที่น่าเกลียดชังที่สุดไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากบรรดาพี่สาวของเหอยาโถว! สตรียาจกเหล่านั้นไม่มีสิ่งใดเพียบพร้อมเทียบเท่าตนแม้สักกระผีก* ทว่าโชคชะตากลับลิขิตให้พวกนางมีโอกาสแต่งงานกับฝ่ายชายที่ทั้งร่ำรวยและมีชาติตระกูลสูงส่ง
*เป็นคำกล่าวเปรียบเทียบให้เห็นว่าเล็กมาก น้อยมาก
ถุย! พวกมันก็แค่นางจิ้งจอกร้อยเล่ห์ร้อยมารยา!
“ลูกพลัมสดจากทางใต้มีราคาเท่าไร?” แม่นางจ้าวพยายามรวบรวมข้อมูล
“ราคากิโลกรัมละห้าเหรียญ ยังไม่รวมค่าขนส่งที่ต้องจ่ายเพิ่ม”
“เจ้าสนิทสนมกับเหอยาโถวถึงขั้นร้องขอให้พี่เขยของเขาควักเงินจ่ายค่าวัตถุดิบให้เลยเชียวหรือนี่?” หยุนลี่เซียวไม่วายพูดแขวะ สองขายังคงสั่นอย่างไร้มารยาทอยู่อย่างนั้น “สายตาของเจ้าช่างเฉียบแหลมเสียจริง! ตามเรือกสวนที่ปลูกเมล่อนสามแปลงหรือแม้แต่อินทผลัมกลับไม่คิดสนใจ ครั้นจำได้ว่าตระกูลกั๋วเปิดร้านค้ามีกิจการมั่งคั่งจึงวิ่งโร่เข้าหา”
หยุนเชวี่ยไม่ใส่ใจจะต่อปากต่อคำกับหยุนลี่เซียว
คนประเภทนี้มีนิสัยหน้าใหญ่ใจโตและหยิ่งทะนงเสียจนไม่คิดขอความช่วยเหลือจากผู้ใดทั้งสิ้น ในใจคิดเพียงแต่จะสรรหาวิธีหยิบยกข้อได้เปรียบทั้งหมดเข้าตนเอง ทว่าพยายามทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่าติดค้างหนี้บุญคุณต้องชำระ
“ภายในหนึ่งวันเจ้าขายหมดในปริมาณเท่าใดรึ?”
“ห้ากิโลกรัมเท่านั้นเจ้าค่ะ”
“เท่านั้นเองหรอกรึ? อย่าได้พูดเท็จต่อป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าไปหน่อยเลย” แม่นางจ้าวขมวดคิ้ว “เท่าที่ได้ยินมา เจ้ามีรายได้ภายในหนึ่งวันมากกว่าหนึ่งร้อยเหรียญมิใช่หรือ?”
“วันนี้เผอิญจับช่วงจังหวะที่คนในเมืองเดินเตร่พลุกพล่านพอดี เมื่อจำนวนคนมากยิ่งขายหมดเร็ว ทว่าวันอื่นไม่อาจคาดเดาว่าจะซบเซาลงหรือไม่” หยุนเชวี่ยพยายามอดทนตอบคำถามต่อไป
หยุนเชวี่ยหรือจะไม่รู้ว่าพวกเขาแสร้งทำเป็นไร้หัวคิดด้านการค้า? เห็นทีในสมองของแม่นางจ้าวเวลานี้คงกำลังคิดคำนวณว่าจะจ้างคนสองคนให้ไปเร่ขายแทนตนเองแล้วรอคอยนับเงินอยู่ที่บ้านอย่างสบายอารมณ์เสียมากกว่า
พื้นฐานครอบครัวของตระกูลจ้าวเคยประกอบสัมมาชีพเป็นกิจการเล็ก ๆ มาก่อน ดังนั้นแม่นางจ้าวจึงแสร้งทำเป็นซักถามหยุนเชวี่ยเกี่ยวกับการค้าเท่านั้น ภายในใจกำลังครุ่นคิดแผนการอย่างเป็นลำดับอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดจึงทำท่าทางว่ายอมแพ้และปล่อยหยุนเชวี่ยไปโดยไม่ตั้งคำถามใดเพิ่มอีก
คืนนี้แสงจันทร์สุกสว่าง บานท้องฟ้ามืดมิดมีดวงดาวกะพริบอยู่ไม่มากนัก สายลมเย็นพัดโชยมาปะทะใบหน้า
แม่นางเหลียนเดินออกมารับลมอยู่ด้านนอกตัวบ้านฝั่งปีกตะวันตกพลางชะเง้อมองไปทางห้องโถงใหญ่เป็นครั้งคราว
ทันทีที่เห็นบานประตูเปิดออกพร้อมกับร่างหยุนลี่เต๋อและหยุนเชวี่ยก้าวเดินออกมา หัวใจห่อเหี่ยวของแม่นางเหลียนพลันกระตือรือร้นขึ้นอีกครั้ง
“เชวี่ยเอ๋อ เหตุใดพ่อของเจ้าจึงมีสีหน้าเช่นนั้นเล่า?” แม่นางเหลียนกระซิบถามเมื่อพวกเขาเดินเข้ามาใกล้
“ไม่มีเรื่องใดใหญ่โตหรอกเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยเอ่ยตอบพลางผลักประตูเข้าไปด้านในห้อง
ภายในห้องยังคงมีแสงสว่างวูปไหวจากตะเกียงน้ำมันดวงน้อย เสี่ยวอู่นอนตะแคงอยู่ตรงหัวเตียงพลางเผยสีหน้าเรียบนิ่งลุ่มลึกจนไม่อาจคาดเดาว่าคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ ส่วนหยุนเยี่ยนหรี่ตามองพร้อมส่งยิ้มให้หยุนเชวี่ย
“พี่สาว ค่ำมืดจนป่านนี้แล้ว เหตุใดท่านจึงยังไม่เลิกเพ่งสายตาทำงานเย็บปักอีก?” หยุนเชวี่ยหยิบถาดใส่เข็มและด้ายออกห่างหมายให้อีกฝ่ายวางมือ
“ข้าใคร่เย็บแผ่นพื้นรองเท้าให้เจ้าเสียใหม่ พอพื้นผิวหนาขึ้นแล้วเมื่อเจ้าเดินทางไกลก็จะไม่รู้สึกปวดเมื่อย”
หยุนเชวี่ยจำเป็นต้องเดินทางเข้าเมืองทุกวันโดยต้องใช้ระยะทางกว่าสามสิบไมล์รวมขาไปและขากลับ หยุนเยี่ยนจึงอยากเย็บรองเท้าคู่ใหม่ให้กับหยุนเชวี่ย ทว่าที่บ้านมีเศษผ้าไม่เพียงพอจึงทำได้เพียงเย็บตัวพื้นรองเท้าอย่างหนาไปก่อนเท่านั้น
“ท่านย่าของพวกเราว่าอย่างไรบ้าง?” หยุนเยี่ยนยอมเงยหน้าขึ้นจากงานในมือพร้อมเอ่ยถาม