ตอนที่ 117 ความขัดแย้งทางผลประโยชน์
ตอนนี้เสียงคร่ำครวญปะปนกับคำก่นด่าสาปแช่งของแม่เฒ่าจูยังไม่เงียบลง ซ้ำร้ายยังกังวานไกลไปสามบ้านแปดบ้านจนรู้กันทั่ว สิ่งนี้ทำให้ทั้งหยุนเยี่ยนและแม่นางเหลียนแทบหายใจไม่ทั่วท้อง
ทว่าเมื่อมองไปที่หยุนลี่เต๋อผู้เป็นพ่อกลับเห็นว่าเขามีท่าทีสงบนิ่งผิดปกติ ดังนั้นภายในห้องโถงเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่?
“ท่านเรียกไปถามไถ่เรื่องกิจการค้าขาย” หยุนเชวี่ยตอบก่อนเดินไปนั่งลงบนเตียงด้านข้างหยุนเยี่ยน สองมือประสานสอดไว้ด้านหลังศีรษะก่อนเอนกายนอนลง
“ได้ยินว่าเอ้อหลางและซานหลางใคร่ติดตามเจ้าไปขายบ๊วยดองในเมืองด้วยงั้นรึ?” หยุนเยี่ยนถามต่อ
ข่าวการค้าขายของหยุนเชวี่ยแพร่สะพัดไปทั่วทั้งหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว แม่ของโฉ่วเหือและโฉ่วช่วน รวมถึงแม่ของฟู่เป๋าและแม่ของชุ่นสือต่างกรูเข้ามาล้อมหยุนเชวี่ยพลางอ้อนวอนให้จ้างงานลูกหลานของตน เพื่อที่พวกเขาจะมีโอกาสหาเงินมาจุนเจือครอบครัวที่ยากลำบากบ้าง
“ไม่เชิงเสียทีเดียว” หยุนเชวี่ยเหม่อมองเพดานพลางส่ายหน้า “จากที่จับใจความได้ ดูเหมือนลุงใหญ่คิดวางแผนจะลอกเลียนกิจการของข้า แต่เขาจะจ้างคนมาเร่ขายแทนตนเองอีกทีหนึ่ง”
“หมายความว่าอย่างไรกัน?” แม่นางเหลียนไม่เข้าใจ
“เขาขายในส่วนของเขา… ข้าก็ยังขายในส่วนของข้า ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน นับเป็นคนละร้าน”
แม่นางเหลียนกะพริบตาปริบด้วยยังคงไม่เข้าใจ ก่อนหันไปหาหยุนลี่เต๋อหวังให้ช่วยไขข้อข้องใจให้กระจ่าง
“พ่อคนนี้ผิดต่อเชวี่ยเอ๋อยิ่งนัก” หยุนลี่เต๋อลูบฝ่ามือหยาบกระด้างจากการทำงานหนักของตน จิตใจเต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายจนนึกสับสน
หยุนเชวี่ยตื่นแต่เช้าเพื่อจัดการงานเกี่ยวกับวัตถุดิบด้วยตนเองอย่างแข็งขันเพียงคนเดียว และในที่สุดการค้าของหยุนเชวี่ยก็ประสบความสำเร็จจนเป็นที่ภาคภูมิใจไม่น้อย แต่ยังไม่ทันมีความสุขนานนักกลับเกิดเรื่องราวใหญ่โตจนเกือบหมดสิ้นหนทางอีกครั้ง
เขากำลังเผชิญกับเรื่องเลวร้ายอะไรกัน?!
แม้พยายามพร่ำบอกอยู่ตลอดเวลาว่าพวกเราต่างเป็นพี่น้องร่วมตระกูล ทว่าผู้ใดเล่าจะอดทนต่อคำสาปแช่งเหยียดหยามอย่างรุนแรงเหล่านั้น?
“จะเป็นไรไป… เราต่างเป็นครอบครัวเดียวกันมิใช่ใครอื่น หากพวกเขาใคร่เพิ่มพูนรายได้ก็ปล่อยให้เขาทำไปเถิด ตราบใดที่ครอบครัวของลุงใหญ่และครอบครัวของอาสามไม่คิดอับอาย” หยุนเชวี่ยเผยรอยยิ้มราวไม่แยแสต่อเหตุการณ์เมื่อครู่
ความจริงแล้วหยุนเชวี่ยไม่นึกเก็บมาใส่ใจด้วยซ้ำ ขายของเหมือนกันแล้วอย่างไร? ฝีมือจำเป็นต้องคล้ายคลึงกันด้วยหรือ?
ถึงอย่างไรแล้วท้ายที่สุดในวงการค้าขายย่อมไม่มีความลับ ในเมืองมีภัตตาคารร้านรวงมากมายที่ขายสินค้าประเภทเดียวกัน ทว่าหยุนเชวี่ยไม่เห็นว่าร้านใดร้านหนึ่งจะปิดกิจการลงเพียงเพราะขายสินค้าซ้ำกันกับอีกร้าน
ต่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปไม่ได้ ทว่าผู้ขายยังไม่จบสิ้นความคิดตามร้านค้าของเขา
ที่สำคัญ… แม้หยุนเชวี่ยจะอธิบายขั้นตอนการทำบ๊วยดองอย่างละเอียด ทว่าสิ่งที่ไม่ได้เปิดเผยจนหมดเปลือกนั่นคือความลับที่จะทำให้มันมีรสชาติดีเยี่ยมและแตกต่างจากสูตรอื่น เหอยาโถวชิมถึงสองครั้งยังระบุขั้นตอนไม่ถูกต้อง นั่นเป็นเพราะเคล็ดเหล่านั้นใช่ว่าผู้ใดจะทำตามก็ทำได้โดยง่ายเสียเมื่อไรกัน?
การที่หยุนเชวี่ยสามารถหารายได้เป็นกอบเป็นกำจากพืชผลไม้ดอง ย่อมสร้างความอิจฉาแก่แต่ละครัวเรือนที่รู้เรื่องเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
อีกไม่นานหลังข่าวคราวแพร่กระจายไปทั่ว คงมีบางบ้านที่คิดเลียนแบบและดองลูกพลัมเข้าไปเร่ขายในตัวเมืองเช่นเดียวกับพวกนาง ซึ่งหากพวกเขาต้องการเช่นนั้นหยุนเชวี่ยก็ไม่คิดเห็นแก่ตัวผูกขาดไว้เพียงผู้เดียว ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ถึงขั้นอับจนหนทางแก้ปัญหา
หยุนลี่เต๋อไม่ปริปากคำใดและลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องอย่างเงียบเชียบ
“ท่านจะไปไหนหรือ?” แม่นางเหลียนเอ่ยถามไล่หลังสามี
“หาบน้ำ”
“นี่ก็มืดมากแล้ว จะรีบหาบน้ำไปด้วยเหตุใดกัน?”
“ยังไม่ดึกดื่นถึงเพียงนั้นหรอก ข้าจะหาบมาเติมในโอ่งทิ้งไว้เสียหน่อยสำหรับอาบ คืนนี้จะได้เข้านอนอย่างผ่อนคลาย”
เสียงประตูไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้นจากด้านนอก ขณะที่แผ่นหลังกว้างกว่าสามฟุตของหยุนลี่เต๋อจะเดินห่างออกไป เดินไปได้ครึ่งทางหยุนลี่เต๋อจึงปลดเปลื้องอาภรณ์ท่อนบนออกเผยให้เห็นแผ่นหลังเรียบวาวสะท้อนแสงจันทร์
ยามราตรีในแถบชนบทสงบเงียบไร้เสียงครึกโครม ทั้งยังอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมเย็นของต้นไม้ใบหญ้า รวมถึงกลิ่นอ่อน ๆ ของพืชผลที่ใกล้สุกงอมพร้อมสำหรับหารเก็บเกี่ยว
หยุนลี่เต๋อสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นจึงค่อยผ่อนลมออกมาอย่างเนิบช้า
แม้ไม่ใช่คนหยาบคายทว่าไม่ได้ไร้ซึ่งสตินึกคิด… แม้ไม่ใช่คนเก่งกาจด้านวาทศิลป์ทว่ากลับรู้ทุกสิ่งอยู่แก่ใจ!
ยิ่งได้ยินหยุนเชวี่ยปลอบโยนตนอย่างใจเย็นและมีเหตุผลมารองรับทำให้ผู้เป็นพ่อเช่นเขารู้สึกผิดและอับอายต่อหยุนเชวี่ยมากขึ้นเท่านั้น ครู่นี้ในห้องโถงเขาไม่คิดปกป้องหยุนเชวี่ยจากการถูกเยาะเย้ยถากถาง คนเช่นหยุนลี่เต๋อช่างเป็นคนไร้สำนึกเสียนี่กระไร…
พ่อคนนี้ช่างน่าสมเพชนัก!
หยุนลี่เต๋อหยุดยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ เขาสะบัดศีรษะโดยแรงเพื่อขับไล่ความคิดเหล่านั้นพลางทอดสายตามองเงาสะท้อนของตนซึ่งปรากฏอยู่บนผิวน้ำอย่างริบหรี่
ขณะเดียวกัน
ภายในห้องฝั่งปีกตะวันตก
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ ลิ้นรสชาติขมปร่าของแม่นางเหลียนจึงค่อยรับรู้ถึงรสชาติ “เชวี่ยเอ๋อ เจ้ากล่าวว่าท่านย่าและลุงใหญ่ของเจ้าคิดจ้างคนมาเร่ขายบ๊วยดองเหมือนกับเราทุกประการอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นเราจะยังขายดีดังเดิมอยู่หรือไม่?” นางรู้สึกเป็นกังวล “นั่นเท่ากับว่าเจ้าเสนอให้พวกเขาไปติดต่อกับเหอเยี่ยเอ๋อเรื่องวัตถุดิบน่ะซี เมื่อเป็นเช่นนี้นับว่าเรากำลังมีคู่แข่ง”
“ท่านแม่เชื่อเถิด ว่าสินค้าในส่วนของเขาและของเราย่อมแตกต่างกันอย่างแน่นอน” หยุนเชวี่ยโบกมืออย่างไม่รู้สึกรู้สา
หยุนเชวี่ยคิดไว้แล้วว่าเฉพาะฤดูกาลนี้เท่านั้นที่ลูกพลัมจะหวานกรอบและรสชาติดีที่สุดในรอบปี หลังผ่านพ้นช่วงนี้ไปถึงอย่างไรตนก็ต้องคิดแปรรูปผลไม้อื่น ๆ
“ท่านแม่ ช่วงนี้แปลงแตงกวาของเราเจริญเติบโตดีหรือไม่เจ้าคะ?” หยุนเชวี่ยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อนเช่นทุกครั้ง
“เถาวัลย์บางส่วนเริ่มงอกเงยออกมาจากลำต้นบ้างแล้ว ทว่ายังไม่ออกผลในเร็ววันนี้เป็นแน่”
“งั้นหรือ? แล้วจะต้องรอไปอีกนานเท่าใดกัน?”
“คาดว่าฤดูใบไม้ร่วงคงพร้อมต่อการเก็บเกี่ยวแล้วล่ะ…”
ในตอนแรกครอบครัวของหยุนเชวี่ยต้องการปลูกไว้สำหรับนำมาทำอาหารกินเองเท่านั้น แต่เมื่อต้องการจะนำไปขายปริมาณวัตถุดิบจึงนับว่ามีน้อยเกินไป อีกทั้งยังต้องสร้างร้านขึ้นเพื่อให้เถาวัลย์ได้เกาะเกี่ยวกลายเป็นซุ้มเล็ก ๆ มิฉะนั้นหากปล่อยให้เลื้อยตามท้องสวนต่อไป เมื่อฝนตกกระหน่ำลงมาเพียงสองครั้งรากของมันจะเน่าเฉาตายโดยที่ไม่ทันได้เก็บเกี่ยว
“อืม…” หยุนเชวี่ยหรี่ตาขณะครุ่นคิดบางสิ่งพร้อมพยักหน้าหลายครั้ง
แม่นางเหลียนคิดว่าหยุนเชวี่ยคงต้องการกินแตงกวาผลเย็นฉ่ำเท่านั้นจึงไม่ใส่ใจถามสิ่งใดเพิ่มเติม นางดึงไส้ตะเกียงออกให้ดับมอดลงก่อนเอื้อมไปหยิบเสื้อผ้าสะอาดชุดหนึ่งจากตะกร้าส่งให้หยุนเชวี่ย “ระหว่างวันอากาศร้อน แม่เห็นเจ้ามีเหงื่อไหลโซมกาย รีบลงไปอาบน้ำก่อนเข้านอนเถิด”
บ้านสวนในแถบชนบทไม่นิยมสร้างห้องน้ำเป็นสัดส่วนเช่นเดียวกันกับอาคารบ้านเรือนในตัวเมือง
ฝ่ายชายเพียงกระโดดลงไปชำระล้างกายในแม่น้ำเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว ส่วนฝ่ายหญิงมักวางอ่างไม้ขนาดใหญ่ไว้ในตัวบ้านหรือด้านหลังตัวบ้านเพื่อเป็นสถานที่อาบน้ำอย่างง่าย
หยุนเชวี่ยเดินออกไปจากบ้านพร้อมคว้าเสื้อผ้าสะอาดติดมือไปด้วย ครั้นเหลือบมองไปยังชั้นบนจึงเห็นว่าแสงสว่างจากตะเกียงน้ำมันยังไม่ถูกดับ เงาของคนหลายคนวูบวาบผ่านหน้าต่างเป็นแนวทแยงจากมุมสายตา
คนเห็นแก่ตัวเหล่านั้นคงกำลังหารือกันเกี่ยวกับผลประโยชน์เรื่องเงินกันอยู่เป็นแน่!
ภายในห้อง
“ลูกสาวคนรองของน้องรองเจ้าเล่ห์เพทุบายเพียงใดท่านย่อมรู้ดี พวกท่านคิดว่านางจะไม่คิดโกหกเราเชียวรึ?” แม่นางจ้าวอดสงสัยไม่ได้
“หากกล้าพูดปดเห็นทีต้องเจอดีกันเสียหน่อย!” หยุนลี่เซียวเขย่าขา “หากโกหกจริงดังที่พี่สะใภ้กล่าว ข้าจะตัดขาของนางทิ้งเสีย!”
“เชอะ!” หยุนชิ่วเอ๋อแค้นเสียงเย้ยหยันพลางกลอกตา “ท่านมีความกล้าถึงเพียงนั้นเชียวรึ? ครู่นี้ข้าเห็นนังเด็กนั่นขึ้นเสียงใส่ท่าน ทว่าท่านกลับหงอจนเสียเชิงบุรุษราวหนูที่มองเห็นแมว”
“ข้าทันหวาดกลัวมันตั้งแต่เมื่อไรกัน?!” หยุนลี่เซียวผุดลุกขึ้นอย่างกะทันหัน จากนั้นจึงยกมือขึ้นกอดอก “เป็นเพราะข้ามิใช่หรือที่เกลี้ยกล่อมจนมันยอมปริปากพูดความจริงออกมา ฮึ่ม!”
“หึหึ…”
“ข้าคิดว่าเด็กนั่นต้องเก็บงำบางสิ่งไว้ มีหรือคนพรรค์นั้นจะบอกความแก่เราทุกสิ่งอย่าง”
“ไปเสาะหาลูกพลัมสดมาให้ได้ก่อนเถิด ครั้นได้วัตถุดิบแล้วจึงค่อยทำตามขั้นตอนที่นางว่า หากแปรรูปออกมาแล้วรสชาติแย่ ข้าจะไปเอาเรื่องนางด้วยตนเอง!”
“บังเอิญจริง ครอบครัวพ่อตาของลูกพี่ลูกน้องฝ่ายแม่ข้าทำกิจการค้าขายเกี่ยวกับกองเรือขนส่งสินค้า… พอรู้จักมักจี่เจรจากันได้บ้าง”
“ช้าก่อน ข้าคิดเห็นว่าพวกเราควรกล่าวให้ชัดเจนเสียตรงนี้ว่าเราจะแบ่งเงินกันอย่างไร?”
สิ้นคำกล่าวของหยุนลี่เซียว บรรยากาศที่อื้ออึ้งไปด้วยเสียงปรึกษาหารือของกลุ่มคนจึงเงียบลงอย่างฉับพลัน
คนทั้งสามกลุ่มต่างมีความคิดเป็นของตนเอง
หยุนชิ่วเอ๋อเป็นลูกสาวหนึ่งเดียวของผู้เฒ่าหยุนและแม่เฒ่าจูซึ่งยังไม่ออกเรือน พักหลังมานี้แม้หยุนชิ่วเอ๋อมีปากเสียงกับแม่เฒ่าจูอยู่บ่อยครั้งทว่าทรัพย์สินในมือแม่เฒ่าจูก็ยังเก็บหอมรอมริบเอาไว้สำหรับเป็นสินสอดทองหมั้นสำหรับหยุนชิ่วเอ๋อในวันข้างหน้า
ส่วนบรรดาลูกชายต่างแต่งงานมีครอบครัว นับว่าแยกไปเป็นสองกลุ่ม ซึ่งทั้งสามกลุ่มต่างต้องการเงินไว้ใช่จ่ายเช่นเดียวกัน
“ข้าต้องรับหน้าที่เจรจากับญาติฝ่ายแม่ให้เลือกลูกพลัมสดคุณภาพดีสำหรับการค้าขายในครั้งนี้” แม่นางจ้าวหลับตาลงพลางกล่าวเสียงแผ่วราวกระซิบ ถึงกระนั้นกลับแฝงเป็นนัยว่าตนมีหน้าที่สำคัญ
“สำหรับข้าแล้ว ข้าคิดว่าทั้งสามกลุ่มควรแบ่งรายได้ออกในจำนวนที่เท่า ๆ กันจึงเป็นการยุติธรรมที่สุด” หยุนลี่เซียวไม่คิดร่วมลงแรงหรือลงทุนแต่อย่างใด หัวคิดแกมโกงของเขาหวังเพียงผลประโยชน์อันหอมหวานที่จะได้รับเท่านั้น
“พวกเจ้าสองคนไม่เคยช่วยคิดการใดทั้งสิ้น เพราะอะไรกัน?! เอาเปรียบกันถึงเพียงนี้ยังหวังรายได้ที่เท่าเทียมอีกรึ?!” หยุนชิ่วเอ๋อแผดเสียงลั่นพลางใช้ฝ่ามือตบโต๊ะอย่างไม่พอใจ
“ไอ้พวกลูกนอกไส้ ยิ่งเติบใหญ่ยิ่งปีกกล้าขาแข็งขึ้นเตรียมโบยบินไปจากอกข้าทุกคืนวัน คงคิดว่ายายแก่แร้งทึ้งผู้นี้เป็นตัวอัปมงคลขัดลาภยศไม่ให้พวกแกร่ำรวยสินะ!” แม่เฒ่าจูสูดลมหายใจพลางตวาดเสียงแหลมดังออกมาจากห้องส่วนตัว
“โธ่… ท่านแม่ อย่าโกรธเคืองไปเลยขอรับ” หยุนลี่จงรีบประจบประแจงแม่เฒ่าจูก่อนหันมองแม่นางจ้าว “ข้าคิดว่าชิ่วเอ๋อกล่าวถูกต้อง การทำธุรกิจครั้งนี้จำเป็นต้องพึ่งเจ้าและท่านพ่อของข้า”
แม่นางจ้าวขมวดคิ้วราวต้องการกล่าวบางคำ ทว่าสายตาของหยุนลี่เต๋อฉายชัดว่าไม่ต้องการให้นางพูดอะไรในเวลานี้
“ข้าขอพูดอะไรหน่อยเถิดพี่ใหญ่… เหตุใดจึงมีแต่พวกท่านที่ผูกขาดสิ่งดีงามไว้กับตน?” หยุนลี่เซียวค่อนข้างไม่สบอารมณ์ “หากตั้งใจไว้เช่นนั้นก็สุดแต่ท่านเถิด ตัวข้าเป็นคนสัตย์ซื่อ ในเมื่อคิดว่าข้าไม่สมควรได้รับก็ไม่เป็นไร…”
“พล่ามอะไรของเจ้าน่ะ?!” แม่นางเฉินรีบโพล่งขัดจังหวะทันที