ตอนที่ 118 เดิมพันด้วยชีวิต

ทะลุมิติไปเป็นสาวน้อยชาวสวน

ตอนที่ 118 เดิมพันด้วยชีวิต

หยุนลี่เซียวพุ่งตัวเข้าไปจับมือหยุนลี่จงพร้อมแสดงสีหน้าราวบริสุทธิ์ใจ

ไม่ขอรับไว้อย่างนั้นรึ?! มดเท็จทั้งเพ! ที่พูดเช่นนี้ก็เพราะยังมีความละอายใจอยู่บ้างจึงสำเหนียกว่าตนไม่ควรละโมบต่างหาก! เหตุใดแม่นางเฉินจะไม่ล่วงรู้เจตนาแท้จริงของหยุนลี่เซียว

“คนเช่นเจ้าหิวกระหายประหนึ่งภูตผี! สงบปากสงบคำไว้เพียงหนึ่งวันไม่ได้เชียวหรืออย่างไร?” เสียงแม่เฒ่าจูยังเล็ดลอดออกมาจากห้องพร้อมคำก่นด่าที่เผ็ดร้อน

หยุนลี่จงเพียงเผยสีหน้าเรียบนิ่งไร้ความรู้สึก คำพูดทั้งมวลถูกกลืนกลับลงไปในลำคอทันที

“เราทุกคนล้วนใช้แซ่เดียวกัน จะปล่อยให้ครอบครัวหนึ่งมั่งมีแต่อีกครอบครัวกลับทุกข์เข็ญได้อย่างไรกัน?” แม่นางจ้าวกล่าวเสียงเรียบ

แม่นางเฉินถามกลับเพราะความเขลา “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านหมายความว่าอย่างไร?”

“ข้าต้องการสื่อว่าหากพี่ใหญ่ของพวกเจ้าประสบความสำเร็จด้านหน้าที่การงานในอนาคตอันใกล้ จากนั้นตระกูลของเราย่อมลืมตาอ้าปากได้เสียที” แม่นางจ้าวหรี่ตาขณะกล่าวออกอย่างใจเย็นพร้อมแสดงท่าทีราวตนมีเมตตาเปี่ยมล้น “อนาคตเขาจะต้องกลายเป็นขุนนางผู้รุ่งโรจน์ ถึงเวลานั้นครอบครัวของเราก็ไม่จำเป็นต้องฝืนทนกินรำกินแกลบไปตลอดอายุขัย”

หยุนลี่เซียวหันมองตามพลางยกยิ้มให้สะใภ้ใหญ่ของเขา

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเขายังต้องเกรงกลัวสิ่งใดอีก? เดินเท้าเปล่ามาทั้งชีวิตย่อมไม่หวาดกลัวการสวมใส่รองเท้าอย่างแน่นอน

“เจ้าช่วยสิ่งใดได้… ชีวิตนี้เจ้าไม่เคยผ่านลมฝนแม้แต่ครั้งเดียวด้วยซ้ำ” สีหน้าของผู้เฒ่าหยุนยังคงคล้ำหม่นเช่นเดิม

แม้ผู้เฒ่าหยุนได้ยินเช่นนั้นแล้วให้รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างที่พี่น้องสามัคคี ทว่ายังอดเป็นห่วงหยุนลี่เซียวไม่ได้

“ข้าจะต้องทำกิจการด้วยดีเป็นแน่” หยุนลี่เซียวกล่าวพร้อมยกยิ้ม “ท่านพ่อ ข้าคิดดูแล้ว หากทำงานก็ต้องรับเงินเป็นสิ่งตอบแทน เห็นทีท่านต้องตอบแทนข้าด้วยเงินสำหรับซื้อสุราดื่มฉลองเสียแล้ว”

“หึ! ท่านมีความสามารถใดบ้างเล่า? นอกเสียจากนอนจนตะวันโด่งและเที่ยวเดินเตร่ไปทั่วอย่างไร้แก่นสาร” หยุนชิ่วเอ๋อเหน็บแนม

หยุนลี่เซียวขบริมฝีปากทันที “คิดรึว่าข้าไม่รู้ว่าใจจริงแล้วเจ้าเกลียดชังข้าเช่นไร? เสียดายจริงที่คนประสบความพ่ายแพ้ในชีวิตไม่ใช่ข้า… แต่เป็นใครบางคนต่างหากที่ไม่มีชายใดกล้าขอแต่งงาน!”

“พี่สาม! ท่านกล่าวเหน็บแนมผู้ใด?!”

“เจ้าต่างหากที่เหน็บแนมข้าก่อน!”

“ปากสวะนัก! พูดอีกครั้งซิ!”

“เปลืองข้าวสุกเสียจริงที่อุตส่าห์เลี้ยงดูเจ้าจนเติบใหญ่!”

“ท่านพ่อ!” หยุนชิ่วเอ๋อขบกรามแน่นพลางกระทืบเท้าเร่า ๆ ก่อนเอื้อมมือไปคว้าถ้วยชาเหวี่ยงออกไปตรงหน้าสุดแรง

หยุนลี่เซียวเห็นเช่นนั้นจึงรีบยกแขนขึ้นปัดป้องออกไปตามสัญชาตญาณ ทำให้ถ้วยชาลอยล่องไปอีกทางหนึ่งก่อนกระแทกเสียงดัง “เพล้ง!” ทว่าสิ่งที่มันถูกกระแทกจนแตกออกไม่ใช่ฝาผนังแต่เป็นบริเวณไรผมจรดหน้าผากของแม่นางจ้าว!

“โอ๊ย!”

สิ้นเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด หยดเลือดสีแดงสดพลันไหลลงมาจากศีรษะของแม่นางจ้าวก่อนอาบข้างแก้มราวเขื่อนแตก ทั้งยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดไหล

“จะ… เจ้า!” แม่นางจ้าวยกฝ่ามือขึ้นสัมผัสทันที ครั้นเห็นว่าฝ่ามือเต็มไปด้วยเลือดจึงรู้สึกตื่นตระหนกยิ่ง แข้งขาทั้งสองพลันอ่อนแรงจนทรงตัวไม่อยู่ ก่อนจะวิงเวียนเป็นอัมพาตไปชั่วขณะกระทั่งต้องทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้

“ชิ่วเอ๋อ! เจ้าทำบ้าอะไรของเจ้า!” หยุนลี่จงรีบปราดเข้าพยุงร่างผู้เป็นภรรยาไว้ทันที

“โทษข้าได้อย่างไรกัน?!” หยุนชิ่วเอ๋อตื่นตระหนกไม่แพ้กันเมื่อเห็นเลือดสีแดงฉาน นางทำเพียงใช้แขนสั่นเทาชี้ไปที่หยุนลี่เซียว “ต้องโทษเขา… ต้องโทษเขาที่ปัดป้อง!”

“เจ้าเป็นผู้เหวี่ยงถ้วยชาหมายทำร้ายข้า ทุกคนล้วนเห็นการกระทำของเจ้า แล้วจะโทษว่าข้าเป็นคนผิดได้อย่างไร?! หากพี่สะใภ้ใหญ่ถึงขั้นคอขาดบาดตายเจ้านั่นแหละจะติดคุกหัวโต ต้องตัดหัวเพื่อชดใช้นาง!”

“จะเลวร้ายถึงขั้นนั้นได้อย่างไร?! สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นอุบัติเหตุ!”

“ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับข้า…”

คู่กรณีสองฝั่งต่างตะโกนกล่าวโทษกันไปมา ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บเช่นแม่นางจ้าวเป็นลมล้มพับหมดสติไปเสียแล้ว บรรยากาศภายในห้องโถงเต็มไปด้วยความโกลาหล

หยุนเชวี่ยกำลังจะเดินกลับเข้าไปในห้องฝั่งปีกตะวันตกหลังอาบน้ำชำระร่างกายแล้วเพื่อพักผ่อน ทันใดนั้นนางกลับได้ยินเสียงร้องเอะอะโวยวายอย่างตระหนกสุดขีดของหยุนลี่จงดังขึ้น “ท่านพ่อ!”

สิ้นเสียงนั้นประตูห้องชั้นบนจึงถูกเปิดออกเสียงดังลั่น

“น้องรอง! น้องรอง!” หยุนลี่จงตะโกนเรียกหยุนลี่เต๋อเสียงดังลั่นบ้าน “น้องรอง เร่งไปตามหลี่หลางจงมาที่นี่เร็วเข้า!”

“ท่านพ่อไปหาบน้ำยังไม่กลับมา” หยุนเชวี่ยกล่าวตอบขณะกระชับเสื้อผ้าตัวเก่าไว้ในอ้อมแขน แสงจันทร์สลัวรางที่สาดส่องทำให้เห็นรำไรว่าฝ่ามือของหยุนลี่จงเต็มไปด้วยเลือด

“ดึกดื่นค่อนคืนแล้วนึกขยันหาบน้ำทำพระแสงอะไรกัน?! ข้ารอช้าไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว!” หยุนลี่จงไม่วายสบถด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

“หากเร่งรีบถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงไม่ไปตามหมอด้วยตนเองเล่า?” หยุนเชวี่ยพึมพำพลางกลอกตา

หยุนเชวี่ยคาดเดาว่าชั้นบนต้องเกิดเรื่องใหญ่ที่ไม่สู้ดีนึกขึ้นเป็นแน่ มิฉะนั้นทั้งบ้านคงไม่เต็มไปด้วยเสียงปั่นป่วนระงมราวลิงร้องเช่นนี้

“เรียกหมอคนนั้นน่ะหรือ? อย่าแม้แต่จะคิดเชียว! ข้ายังเคืองแค้นไม่หายหากจะต้องเจียดเงินให้มันไปเสียเปล่า ๆ! นำผงขี้เถ้ามาพอกห้ามเลือดให้นางก่อนไม่ได้รึ?” นั่นเป็นเสียงของแม่เฒ่าจูไม่ผิดแน่

“ท่านแม่! หากทำเช่นนั้นเกรงจะไม่ทันการเอานะเจ้าคะ!” หยุนชิ่วเอ๋อเสียงสั่น

หากพี่สะใภ้ใหญ่ของหยุนชิ่วเอ๋อประสบเคราะห์ถึงขั้นคอขาดบาดตายหรือไม่ฟื้นคืนสติประการใดประการหนึ่ง ผู้ซึ่งตกที่นั่งลำบากย่อมไม่ใช่ใครอื่นนอกจากนาง!

“ท่านป้าสะใภ้ใหญ่ได้รับบาดเจ็บหนักงั้นหรือ?” หยุนเชวี่ยชะเง้อคอมองเข้าไปผ่านประตูที่เกิดกว้าง “ท่านควรไปที่ตามหลี่หลางจงโดยเร็ว ใช้เวลาเดินทางประมาณสองก้านธูปเท่านั้น!”

กล่าวยังไม่ทันขาดคำกลับได้ยินเสียงฝีเท้าหนักดังขึ้นจากด้านหลัง

หยุนลี่เต๋อกลับมาจากลำธารแล้ว บนบ่าหาบคานถังน้ำซึ่งบรรจุอยู่เต็มสองถัง

หยุนเชวี่ยยกฝ่ามือขึ้นตบหน้าผากของตนโดยแรง ให้ตายเถิด! ธุระด่วนของผู้อื่นกำลังจะตกอยู่ที่พ่อของนางอีกครั้งแล้วหรือนี่!

“น้องรอง! เจ้าเร่งไปยังหมู่บ้านอาวสือแล้วตามหลี่หลางจงมาที่นี่เดี๋ยวนี้!”

“เกิดสิ่งใดขึ้น? ท่านแม่ล้มป่วยอีกแล้วหรือ?” หยุนลี่เต๋อรีบวางถังน้ำลง

“บ๊ะ! ไอ้หมาป่าตาขาวตัวนี้คิดสาปแช่งข้างั้นรึ?! เห็นทีชาตินี้ข้าคงต้องตรอมใจตายตกไปตามคำแช่งของเจ้าจึงจะสาแก่ใจกระมัง!” แม่เฒ่าจูตวาดถ้อยคำรุนแรง

คำถามของหยุนลี่เต๋อประหนึ่งเสียงนกกาที่ไม่มีผู้ใดสนใจให้คำตอบ

“พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้าหัวแตกเลือดอาบ รีบไปเร็วเข้าอย่ามัวชักช้า!” หยุนลี่จงเอ่ยซ้ำอีกครั้งอย่างหมดความอดทน

“แต่…” หยุนลี่เต๋อรู้สึกกระอักกระอ่วน “ครั้งที่แล้วครอบครัวเราเคยทำให้หลี่หลางจงขุ่นเคือง เห็นทีเขาคงไม่ต้องการมาที่…”

“เจ้าพูดพล่ามเรื่องใดกัน?!” หยุนลี่จงตะคอกด้วยความหงุดหงิดเมื่อได้ยินข้ออ้างนั้น “เจ้าเพียงบอกเขาว่าบ้านของเรามีคนกำลังจะตาย! ดูซิว่าเขาจะทนนิ่งดูดายได้หรือ?! ฮึ่ม! เป็นแค่หมอรักษาบ้านนอกยังคิดทะนงในศักดิ์ศรีอยู่อีกรึ?”

หยุนเชวี่ยถึงขั้นกล่าวคำใดไม่ออก

หากตนเป็นหลี่หลางจงแล้วละก็… จะไม่มีวันเหยียบข้ามธรณีประตูของบ้านหลังนี้เป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน!

หยุนลี่เต๋อจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากวิ่งโดยเร่งสุดฝีเท้าเพื่อให้ไปถึงบ้านของหลี่หลางจงโดยไม่หยุดพัก

“ลุงใหญ่นี่ช่าง…” แม้หยุนเชวี่ยรู้สึกสบายตัวเมื่อได้อาบน้ำแล้ว ทว่าจิตใจยังคงขุ่นมัวกับเรื่องที่เกิดขึ้นครู่นี้ “ลุงใหญ่ทำกับเราเจ็บแสบนัก! ป้าสะใภ้ใหญ่บาดเจ็บหนักแทนที่จะเป็นผู้ไปตามหมอด้วยตนเองเขากลับเรียกใช้ท่านพ่อให้ทำงานแทนเสียอย่างนั้น!”

“ไม่แปลกใจที่เขาจะเรียกใช้พ่อของเจ้า เพราะฝีเท้าย่อมเร็วกว่าลุงใหญ่เป็นไหน ๆ” แม่นางเหลียนคว้าเสื้อคลุมมาสวมใส่ก่อนลุกขึ้นจากเตียง “แม่จะไปดูอาการนางเสียหน่อย หวังใจเหลือเกินว่าอย่าให้บาดเจ็บร้ายแรง”

“ข้าจะไปด้วย!” หยุนเชวี่ยเด้งตัวลุกขึ้นจากเตียงทันที

“ไม่ต้องตามแม่มาหรอก เข้านอนเสีย…”

“แต่ข้าเองก็เป็นห่วงป้าสะใภ้ใหญ่ไม่แพ้ท่านแม่!”

ร่างสลบไสลไม่ได้สติของแม่นางจ้าวถูกอุ้มขึ้นไปยังห้องนอนทางปีกตะวันออก เรือนผมจรดหน้าผากเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดที่ยังไหลซึมออกมาอย่างต่อเนื่อง

หยุนเยว่อยู่ไม่ห่างจากร่างของแม่นางจ้าว ทั้งยังคอยจับมือของนางและนั่งซับน้ำตาอย่างเงียบเชียบ

หยุนหรงยกอ่างน้ำมาวางไว้ใกล้ ๆ ก่อนใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำและบิดออกพอหมาด จากนั้นจึงซับเช็ดเลือดออกจากศีรษะของแม่นางจ้าวอย่างเบามือ

ส่วนหยุนโม่เพียงเดินกอดอกวนไปมารอบห้องด้วยจิตใจอันเปี่ยมไปด้วยความกระวนกระวาย

“ข้าไม่ได้ออกแรงหนักหน่วงถึงเพียงนั้นเสียหน่อย เหตุใดอาหารของนางจึงสาหัสเช่นนี้เล่า?” หยุนชิ่วเกาะตรงขอบประตูและมองเข้าไปภายในห้องอย่างเป็นกังวล “ทุกคนต้องกล่าวโทษพี่สาม! หากสถานการณ์ย่ำแย่ลงผู้ซึ่งควรรับผิดคือเขา ไม่ใช่ข้า!”

“ต่อให้ข้าเป็นผู้ปัดแขนจนถ้วยชากระเด็นออกไปก็ตาม หากเจ้าไม่อุตริหยิบถ้วยชาขึ้นทำร้ายข้าแต่แรกแล้วมันจะลอยไปทุบศีรษะของพี่สะใภ้ใหญ่ได้เองงั้นรึ?!” หยุนลี่เซียวนั่งราบอยู่กับพื้นพลางกล่าวปฏิเสธพัลวันด้วยน้ำเสียงตระหนก

“หากปล่อยให้ข้าทุบตีเสียจนตายแต่แรกคงไม่เกิดเรื่อง!”

“งั้นรึ?! ต่อให้เจ้าทุบตีข้าให้ตายก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิตไม่ต่างกันมิใช่หรือ?!”

นอกบริเวณห้อง ทั้งสองฝ่ายต่างปะทะคารมกันอย่างเผ็ดร้อนราวจะทำลายอีกฝ่ายให้ยอมแพ้ไปข้างหนึ่ง

นอกตัวบ้าน หยุนเยว่ขบริมฝีปากของตนโดยแรง ประกายแห่งความเคียดแค้นฉายชัดในดวงตาขึ้นเรื่อย ๆ

“ปล่อยไว้เช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด ต้องหาทางห้ามเลือดชั่วคราวก่อน” แม่นางเหลียนกระวีกระวาดเข้ามาและชะเง้อมองดูแม่นางจ้าว “เชวี่ยเอ๋อ เจ้ายังมีหญ้าเทวดาหลงเหลืออยู่หรือไม่?”

“ใช้หมดไปเสียแล้วเจ้าค่ะ” หยุนเชวี่ยส่ายหน้า

“หากหมดแล้วเจ้าจะมัวยืนบื้ออยู่ไย?! เร่งไปเสาะหามาเร็วเข้า!” หยุนเยว่ยกผ้าขึ้นซับหยดน้ำใสจากหัวตาพร้อมตวาดเสียงแหลม

หยุนเชวี่ยเพียงจ้องมองหยุนเยว่กลับและยื่นนิ่งเฉยอย่างเกียจคร้านอยู่เช่นนั้น

หยุนเยว่วางตัวว่าอยู่สูงส่งเหนือผู้ใดอยู่เป็นนิจ สายตาที่มองสบผู้อื่นเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง คิดว่าตนเองเป็นนายหญิงและมองลูกพี่ลูกน้องอีกคนเป็นสาวรับใช้ที่นึกอยากจิกหัวใช้เมื่อใดก็ได้หรืออย่างไรกัน?