ตอนที่ 119 กระต่ายจะกัดคนก็ต่อเมื่อจวนตัว
หยุนเชวี่ยกลอกตาขึ้นมองหลังคาทำเหมือนไม่ได้ยินคำใดทั้งสิ้น
“ไปเดี๋ยวนี้!” หยุนเยว่แผดเสียงสั่งอีกครั้ง
“กลางดึกเช่นนี้ด้านนอกมืดจนมองไม่เห็นสิ่งใด ข้ากลัว” หยุนเชวี่ยกระตุกชายเสื้อของแม่นางเหลียนและยืนนิ่ง
“นี่! เจ้า…” หยุนเยว่ถลึงตาใส่หยุนเชวี่ยทั้งที่ดวงตายังเอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตา “แต่ท่านแม่ของข้ามีสภาพเช่นนี้…”
“เยว่เอ๋อ อย่าโศกเศร้าไปเลย อาสะใภ้รองจะไปเก็บหญ้าเทวดามารักษาท่านแม่ของเจ้าเอง เจ้าอยู่คอยดูแลนางที่นี่เถิด” แม่นางเหลียนเอื้อมมือไปตบไหล่หยุนเยว่แผ่วเบาเพื่อปลอบโยน
“ท่านแม่…” หยุนเชวี่ยเดินตามออกไป “ข้างนอกมืดนัก หากพลาดพลั้งตกน้ำท่าไปจะทำอย่างไร?”
ส่วนใหญ่หญ้าเทวดามักเจริญเติบโตได้ดีในทำเลซึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ทว่าริมน้ำก็มีก้อนหินน้อยใหญ่ซึ่งปกคลุมพื้นผิวด้วยตะไคร่เต็มไปหมด ในฤดูร้อนที่มีฝนตกชุกเช่นนี้ทำให้บริเวณโดยรอบแฉะชื้นอยู่ตลอดเวลา หากคนไม่ระวังเหยียบก้อนหินพลาดเข้าอาจลื่นล้มตกลงไปในน้ำได้จนไม่สามารถมองเห็นแม้เพียงเงา ยิ่งยามดึกอันมืดสนิทเช่นนี้ผู้ใดเล่าจะมองเห็นหรือได้ยินเสียงเรียกขอความช่วยเหลือ?
“แม่จะระวังตัว! อยู่ที่นี่เถิดอย่าออกไปเลย” แม่นางเหลียนหันกลับมาสั่งความ
“อ๊ะ! ท่านแม่… ช้าก่อน!”
สายน้ำในลำธารไหลผ่านไปอย่างอ้อยอิ่ง
ยามราตรีเช่นนี้มีเพียงเสียงหึ่ง ๆ ของยุงไรที่แว่วมารบกวนอยู่ข้างหู
หยุนเชวี่ยถือตะเกียงน้ำมันไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างคอยป้องเปลวไฟเพื่อกันลมและดูให้มันยังคงสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา
แม่นางเหลียนและหยุนเยี่ยนที่ตามมาภายหลังแหวกหญ้าวัชพืชที่ขึ้นสูงแน่นขนัดไปด้านข้างเพื่อเปิดทาง จากนั้นจึงเด็ดหญ้าเทวดาที่แทรกแซมอยู่ใส่ลงในตะกร้าขนาดเล็กที่คล้องอยู่ที่แขนอีกข้าง
“ป้าสะใภ้ใหญ่ได้รับบาดเจ็บหนักถึงเพียงนั้น ทว่าลุงใหญ่ หยุนโม่ และหยุนเยว่เอาแต่นั่งนิ่งไม่คิดหยิบจับสิ่งใด แต่กลับมองพวกเราเป็นคนใช้เสียอย่างนั้น” หยุนเชวี่ยบ่นอุบ
“อย่าพร่ำบ่นไปเลย เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยเช่นนี้ สิ่งใดที่ช่วยได้ก็ควรช่วยเหลือกันไป” เหลี่ยนซื่อยังคงมองโลกในแง่ดี
หยุนเชวี่ย “อืม… ข้าชักไม่มั่นใจเสียแล้วว่าป้าสะใภ้ใหญ่เป็นแม่ของข้าหรือแม่ของหยุนโม่และหยุนเยว่กันแน่!”
แม่นางเหลียน “ปากคอเราะร้ายนัก หากไม่ใช่แม่แท้ ๆ ของตน เจ้าไม่คิดมีแก่ใจช่วยเหลือเลยรึ?””
หยุนเชวี่ย “ข้าจะปฏิบัติดีเฉพาะกับผู้ที่ปฏิบัติดีต่อข้าเท่านั้น ลุงใหญ่และภรรยาของเขาคอยจ้องแต่จะเสี้ยมสอดหวังเอาเปรียบครอบครัวของเราอยู่ทุกเช้าเย็น เหตุใดข้าต้องทำดีกับนางด้วยเล่า?”
แม่นางเหลียน “นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่คิดปล่อยวางและให้อภัยต่างหาก”
หยุนเชวี่ย “จะให้ข้าปล่อยวางได้อย่างไร? หากคนเหล่านั้นไม่กดดันให้ท่านแม่และพี่สาวต้องออกมาเก็บสมุนไพรกลางดึกเช่นนี้ ข้าคงไม่คิดทุ่มเทแรงกายเพื่อช่วยชีวิตของป้าสะใภ้ใหญ่เด็ดขาด”
เมื่อ่แม่นางเหลียนได้ยินเช่นนั้นแล้วจึงได้แต่ส่ายหน้าด้วยเกียจคร้านจะพร่ำสอนอีก
หยุนเชวี่ยอายุเพียงสิบสองย่างเข้าสิบสามขวบปี ทว่าคำพูดคำจารวมถึงความคิดนั้นคมคายเทียบเท่าผู้ใหญ่ ทุกครั้งที่นางเอื้อนเอ่ยย่อมสร้างความขบขันชวนฉุกคิดตามอย่างไร้เหตุผลมาทัดทาน
ผ่านไปครู่หนึ่ง
ทั้งแม่และลูกสาวทั้งสองคนกลับมาจากริมฝั่งแม่น้ำทั้งที่เท้าเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน
หยุนเยี่ยนจัดการล้างทำความสะอาดหญ้าเทวดาจำนวนหนึ่งก่อนนำไปโขลกในครกบดยา จากนั้นจึงค่อย ๆ พอกลงรอบบาดแผลของแม่นางจ้าวทีละน้อย
“พี่สาว อย่าลืมแบ่งบางส่วนเก็บไว้ให้ข้าด้วย” หยุนเชวี่ยยกมือเกาตามท่อนแขนที่ถูกยุงกัดจนคันไปทั่ว
สมุนไพรพื้นบ้านเผยสรรพคุณให้ประจักษ์ชัด ไม่นานเลือดก็หยุดไหลซึมออกจากบาดแผล ทว่าแม่นางจ้าวยังไม่ฟื้นคืนสติ ร่างกายแข็งทื่อ มีเพียงคิ้วที่ขมวดแน่นและกระตุกเป็นระยะ
“ท่านแม่… ท่านแม่… ท่านได้ยินเสียงของข้าหรือไม่? อย่าทำให้ลูกสาวหวาดกลัวเช่นนี้!” หยุนเยว่ร้องเรียกพลางเขย่ามือแม่นางจ้าว
“ข้าออกแรงเพียงนิด ใครจะคาดคิดเล่าว่านางจะล้มเจ็บหนักเช่นนี้? ข้าเปล่าจงใจทำร้ายนางเสียหน่อย!” หยุนชิ่วเอ๋อกล่าวพึมพำขณะเกิดวิตกขึ้นมาทันใด
“ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินว่าลูกสะใภ้ของหวังซุยพลัดกลิ้งตกจากภูเขา นางใช้เวลาเพียงไม่นานก็หายเป็นปกติมิใช่หรือ? ยังมีแม่หม้ายเหลียวอีกคน… นางเกิดลื่นล้มศีรษะกระแทกเข้ากับโม่หินจนปูดโปนเป็นแผลใหญ่ แต่นางไม่ได้หมดสติไปเช่นนี้!”
สตรีในแถบชนบทมีร่างกายแข็งแรงกว่าสตรีซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ พวกนางล้วนทำงานออกแรงตลอดทั้งปี ไม่มีผู้ใดไม่เคยได้รับบาดเจ็บหรือเกิดอุบัติเหตุ ทว่าพวกนางฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและไม่ถึงขั้นต้องล้มหมอนนอนเสื่อ อาจเป็นเพราะตลอดชีวิตของแม่นางจ้าวไม่เคยต้องเจ็บหนักจนเลือดตกยางออกจึงมีอาการผิดแปลกออกไป
“ท่านแม่ กลับบ้านของเรากันเถิด หากอยู่ต่อไปเกรงว่าอาจเกิดปัญหาไม่จบสิ้น” หยุนเชวี่ยเริ่มรู้สึกรำคาญหยุนชิ่วเอ๋อที่เอาแต่ตีโพยตีพายไม่หยุดหย่อน
“เจ้ากลับไปพักผ่อนที่ห้องกับพี่สาวก่อนเถิด แม่จะคอยอยู่เฝ้าดูอาการของนางจนกว่าท่านพ่อของพวกเจ้าจะกลับมา” แม่นางเหลียนยังมีแก่ใจเป็นห่วงแม่นางจ้าว
“อยู่ดูแลต่อไปแล้วจะมีปาฏิหาริย์ใดเกินขึ้นงั้นหรือ? ตอนนี้ควรเป็นเวลานอนของข้าแล้วด้วยซ้ำ” แม่นางเฉินอ้าปากหาวอย่างน่าเกลียด “วันพรุ่งนี้ข้ายังต้องตื่นแต่ย่ำรุ่งเพื่อทำอาหารอีก ใช้ชีวิตในครอบครัวนี้ช่างลำบากลำบนดีแท้…”
ครั้นกล่าวจบแม่นางเฉินจึงลุกขึ้นพลางบิดเอวอย่างเกียจคร้านแล้วจึงยกอ่างไม้บรรจุน้ำออกไป
หยุนลี่เซียวซึ่งนั่งยอง ๆ อยู่บริเวณนอกห้องลุกขึ้นยืนพลางปัดบั้นท้ายอย่างเหนื่อยหน่าย “ตัวข้าเองก็ไม่ใช่หมอ เห็นทีต้องขอตัวไปพักผ่อนแล้ว”
ยังไม่ทันก้าวเท้าออกไป เสียงหวีดแหลมของหยุนชิ่วเอ๋อพลันดังขัดขึ้นเสียก่อน “ท่านยังไปไม่ได้!”
“นั่นไม่ใช่เรื่องของเจ้า!” หยุนลี่เซียวเริ่มหมดความอดทน
“เพราะเจ้ามิใช่รึ นางจึงตกอยู่ในสภาพปาง…” หยุนชิ่วเอ๋อชี้นิ้วไปที่ร่างไม่ได้สติของแม่นางจ้าวซึ่งนอนอยู่ในห้องปีกตะวันออก
หยุนชิ่วเอ๋อทำท่าทางเหมือนนึกขึ้นได้ว่าคำพูดอาจไม่เหมาะควร จึงกลืนคำว่า ‘ตาย’ กลับลงลำคอไป
“คิดจะปรามข้าก็ไปยกเสาทั้งแปดมาล้อมข้าไว้สิ!” หยุนลี่เซียวผลักแขนของหยุนชิ่วเอ๋อออกไปอย่างไม่ไยดีและเดินออกไปโดยเร็ว
“หยุนลี่เซียว!”
หยุนชิ่วเอ๋อกระทืบเท้าเร่า ๆ ด้วยความไม่พอใจถึงขีดสุด ครั้นรู้ตัวว่าตนไม่สามารถรั้งหยุนลี่เซียวไว้ได้จึงยกชายกระโปรงวิ่งตามไปถึงห้องและออกแรงทุบบานประตูอย่างบ้าคลั่ง
“น้องรองไปตามหมอถึงที่ใดกัน ป่านนี้ยังไม่กลับมาอีก! หากล่าช้าเช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรกับชีวิตคนเล่า?!” หยุนลี่จงตะเบ็งเสียงพลางสะบัดแขนเสื้อหลายต่อหลายครั้ง
หยุนเชวี่ยกำลังจะเดินกลับไปพักผ่อนที่ห้องของตน แต่เมื่อได้ยินคำต่อว่าเหล่านั้นจึงหมุนกายกลับมาตอบโต้ทันที
“ก่อนหน้านี้ท่านลุงได้ขอให้ท่านพ่อของข้าไปเรียกเขามาทำการรักษา ทว่ากลับบ่ายเบี่ยงไม่จ่ายเงินแม้แต่เหรียญเดียวและยึดเอาใบสั่งยาเก็บไว้กับตัว ไม่แน่ว่าหลี่หลางจงอาจรู้ทันการกระทำของท่านและเลือกที่จะไม่กลับมาเหยียบบ้านหลังนี้เป็นคราที่สอง”
หยุนลี่จงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
หยุนเยี่ยนกระตุกแขนหยุนเชวี่ยเป็นเชิงปราม
“ท่านพ่อของข้าต้องดั้นด้นเดินทางกว่าสิบไมล์เพื่อไปกราบกรานขอให้หมอมารักษา ทว่าท่านกลับเห็นแก่ตัวและไม่คิดเห็นใจเขา” หยุนเชวี่ยยังคงพูดต่อไปด้วยความโกรธ
“นี่! เจ้า…” หยุนลี่จงจ้องเขม็ง
เขามีภูมิฐานเป็นถึงบัณฑิตผู้ได้รับการศึกษา ต่อให้ช่วงชีวิตที่ผ่านมายากจนเพียงใดก็ไม่เคยมีใครกล้ากล่าวหา ทุกคนในหมู่บ้านให้ความเคารพอยู่เสมอ ไม่เคยมีผู้ใดกล่าววาจาสามหาวนอกจากผู้เป็นพ่อและแม่ ทว่าตอนนี้หยุนลี่จงกำลังถูกเด็กหญิงตำหนิว่าไร้ยางอาย!
“บังอาจนัก! นังเด็กนี่! จะ… เจ้า!” หยุนลี่จงชี้หน้าหยุนเชวี่ยด้วยความโกรธจนแขนสั่นสะท้าน
“แม้ท่านพ่อของข้าจะมีเมตตาประเสริฐสูงส่ง ทว่าเขาไม่ใช่คนเบาปัญญา อย่าคิดแม้แต่จะกล่าวโทษเขา ครอบครัวของข้าไม่มีวันยอมถูกรังแกโดยง่าย!” หยุนเชวี่ยหรี่ตา สายตาจ้องมองนิ้วชี้ของอีกฝ่ายนิ่งอย่างไม่ยี่หระ “กระต่ายจะกัดคนก็ต่อเมื่อมันจวนตัว ลุงใหญ่… การฟาดงวงฟาดงาของท่านช่างไร้เหตุผล ข้าแนะนำให้ท่านหยุดพฤติกรรมเช่นนี้เสีย!”
หยุนลี่จงกล่าวคำใดไม่ออก ใบหน้าจากแดงก่ำแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือดด้วยความตระหนก
นังเด็กผู้นี้กำลังข่มขู่กลาย ๆ เวลานี้แม้แต่เด็กเมื่อวานซืนยังกล้าปีนขึ้นขี่ศีรษะของเขา!
หยุนเยี่ยนถึงขั้นกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ด้วยความลำบากใจ
หยุนเชวี่ยชักแข็งข้อขึ้นทุกวัน หากพูดคุยเรื่องนี้ลับหลังกันเองอาจยังพอปล่อยผ่านได้ ทว่าหยุนเชวี่ยกล้าดีอย่างไรจึงคิดปะทะคารมกับลุงใหญ่แห่งตระกูลหยุนต่อหน้า? นั่นเท่ากับเป็นการเปิดศึกขัดแย้งระหว่างสองครอบครัวมิใช่หรือ?!
คิดแล้วหยุนเชวี่ยจึงรีบเอื้อมมือไปฉุดร่างหยุนเชวี่ยให้ถอยออกมาโดยไม่รอช้า
“พูดจาเหลวไหลใหญ่แล้วเชวี่ยเอ๋อ! เหตุใดไม่รีบกลับไปพักผ่อนที่ห้องอีก?” แม่นางเหลียนหันกลับมาตำหนิหยุนเชวี่ยก่อนขยิบตาให้เป็นเชิงห้ามว่าอย่าได้สร้างปัญหาตอนนี้
“ท่านแม่ ข้าเพียงเห็นว่าท่านลุงเป็นห่วงป้าสะใภ้ใหญ่จนรีบร้อนเกินสมควรจึงปลอบประโลมให้เขาใจเย็นลงเพียงสองสามคำเท่านั้น” หยุนเชวี่ยกะพริบตาอย่างใสซื่อ “จริงหรือไม่เจ้าคะ ลุงใหญ่?”
หยุนลี่จงแปรเปลี่ยนสีหน้าเป็นคล้ำเข้มอีกครั้ง เขาถลึงตาใส่หยุนเชวี่ยอยู่พักใหญ่ก่อนข่มกลั้นโทสะและสะบัดมือก่อนหมุนกายออกจากห้องไป
หยุนเชวี่ยแลบลิ้นตามหลังอย่างนึกหมั่นไส้
ช่างมีความอดทนเป็นเลิศเสียจริงเชียว ถึงกระนั้นก่อนหน้านี้หยุนลี่จงก็เกือบหลุดคำผรุสวาทออกมาจากปาก ด้วยอุปนิสัยคุ้มดีคุ้มร้ายเช่นนี้แล้วจะกลายเป็นขุนนางที่ดีในภายภาคหน้าได้อย่างไรกัน?
“เชวี่ยเอ๋อ! ปากของเจ้าไม่มีหูรูดหรืออย่างไรกัน?! รีบกลับไปนอนเสีย!” แม่นางเหลียนลุกขึ้นมาจิ้มหน้าผากหยุนเชวี่ยเพราะต้องการดุให้หลาบจำ สายตาที่จับจ้องเต็มไปด้วยความผิดหวัง