ตอนที่ 969-970

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 969+970 โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 969 อันคำว่าเซียน

ทันใดนั้นอิงเหยียนนั่วที่อยู่ข้างกายก็ลากเธอไปโยนไว้บนไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป “ซ่อนให้ดี!”

กู้ซีจิ่วทะยานขึ้นไปต้นไม้อย่างไม่เต็มใจ ตอนที่เธอหันกลับไปมองอิงเหยีนนั่วอีกครั้ง พบว่าเข้าโคจรวิชาเหินหาวเหาะขึ้นไปอยู่กลางอากาศ สิบนิ้วประกบพลิกพลิ้วดั่งดอกบัว และไม่ทราบว่าร่ายเวทวิชาอันใด มีหยาดโลหิตลอยออกมาจากปลายนิ้วเขาหยดแล้วหยดเล่าจนทอดตัวยาวเหยียด โอบล้อมหมุนวนรอบกายเขา ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเป็นกำแพงโลหิตบางๆ อันหนึ่ง ในอากาศคลุ้งด้วยกลิ่นคาวโลหิตที่หอมปานโอสถหรือบุปผาชนิดหนึ่ง

ผีดิบที่เตรียมจะวิ่งกลับไปเหล่านั้นค่อยๆ หันกลับมาอีกครั้ง สายตาทุกคู่จับจ้องอิงเหยียนนั่วที่หมุนวนอยู่กลางอากาศ ท่าทางเสมือนนักสูบที่ได้เห็นยางฝิ่น น้ำลายไหลยืดเป็นสาย นัยน์ตาก็เปลี่ยนเป็นแดงก่ำไปหมด ร้องโหยหวนแล้วพุ่งไปทางอิงเหยียนนั่ว!

ร่างของอิงเหยีนนั่วค่อยๆ ลอยไปทางหล่มโคลน ผีดิบไม่คำนึงถึงสิ่งใดอีกแล้ว โผทะยานไล่ตามเขาต่อไป…

เกิดเสียงดัง ‘ตูมๆ…’ ขึ้นไม่ขาดหู ผีดิบนับไม่ถ้วนตกลงไปในหล่มโคลนดำเมื่อม เนื่องจากหล่มโคลนนี้พิสดารยิ่ง ไม่อาจลอยตัวได้เลย ดังนั้นผีดิบที่ตกลงไปเหล่านี้ไม่มีเวลาแม้แต่จะดิ้นรนด้วยซ้ำจมดิ่งลงไปทันที ผีดิบที่อยู่ด้านหลังย่อมยั้งตัวไว้ไม่อยู่ ตกลงไปตามๆ กัน…

หล่มโคลนนี้ไม่ถือว่าลึก แค่สามสี่เมตรเท่านั้น หลังจากจมลงที่ริมฝั่ง ก็กลายเป็นหินรองเท้าให้ผีดิบที่มาทีหลัง ตัวที่มาทีหลังก็เหยียบร่างพวกเดียวกันทะยานไปด้านหน้า…

ด้วยเหตุนี้ ผีดิบเหล่านี้จึงปูเข้าไปทีละชั้นๆ…

กู้ซีจิ่วที่อยู่บนต้นไม้มองย่างตาลืมตาลาย เธอนึกไม่ถึงว่าเลือดของอิงเหยียนนั่วจะมีแรงดึงดูดมากขนาดนี้ ทำให้ผีดิบพวกนี้พุ่งเข้าใส่โดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดเสมือนบ้าคลั่งได้!

เธอก้มมองฝ่ามือตน เคยกรีดไปแล้วเช่นกัน แต่เลือดของเธอไม่ได้มีเสน่ห์ดึงดูดถึงเพียงนั้น

กองทัพผีดิบพุ่งเข้าไปในหล่มอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใด ส่วนอิงเหยีนนั่วเหาะเหินอยู่กลางอากาศตลอด

กำแพงสีโลหิตโอบล้อมเขาไว้อย่างสมบูรณ์ แต่ยังมองเห็นความเคลื่อนไหวของเขาผ่านกำแพงที่โปร่งใสได้

นิ้วมือเขาขยับเขยื้อนร่ายวิชาอยู่ตลอด หลุบตาลงเล็กน้อยใบหน้าสงบเยือกเย็นดุจเซียนที่เหินลอยอยู่ เป็นเซียนที่สูงส่งเหนือสรรพสิ่งอย่างแท้จริง

หัวใจเธอเต้นรัว มือกำแน่น อิงเหยียนนั่วผู้นี้ที่แท้เป็นใครกันแน่?

‘เสี่ยวชาง เสี่ยวชาง เจ้ามองออกไหมว่าวิชานี้ของเขาคืออะไร?’ กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามหยกนภาบนข้อมือ

ผ่านไปพักหนึ่งหยกนภาถึงตอบเธอ ‘ข้าไม่รู้’

แม้แต่หยกนภาก็ยังไม่รู้ เช่นนั้นวิชานี้ของเขาก็พบเห็นได้ยากยิ่ง!

‘พลังวิญญาณขั้นหกสองส่วนสามารถใช้วิชาเช่นนี้ได้ด้วยหรือ? ‘เจ้าเห็นไหมว่าเขาลอยอยู่ในอากาศตลอดโดยไม่ตกลงมาเลย…’

ถึงวิชาเหินหาวที่พวกเธอฝึกฝนที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์จะสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ก็เหาะเหินได้เพียงครึ่งนาทีเท่านั้น กู้ซีจิ่วถือเป็นผู้ที่ฝึกฝนวิชาเหินหาวได้ยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดารุ่นเยาว์ แต่เธอก็เหาะเหินอยู่กลางอากาศได้แค่หนึ่งนาที แต่อิงเหยียนนั่วผู้นี้กลับเหาะวนไปวนมาอยู่ตรงนั้นสามนาทีเต็มแล้วยังไม่มีทีท่าว่าจะหล่นลงมาเลย

เท่าที่เห็นท่าร่างของเขาก็ไม่เหมือนวิชาเหินหาวเลย นี่มันอะไรกัน? เธอก็อยากเรียนบ้างเช่นกัน!

ห่มโคลนแห่งนี้มีแรงดูด เมื่อผีดิบเหล่านั้นก้าวเข้าไปก็โผล่ขึ้นมาไม่ได้อีก แต่ก็ยังไม่ตาย เนื่องจากจุดที่ผีดิบจมลงไปมีฟองอากาศผุดปุดๆ ขึ้นมาปานหม้อน้ำเดือด ชัดเจนยิ่งนักว่าผีดิบเหล่านั้นกำลังดิ้นรนอยู่ด้านใน…

รอจนผีดิบทั้งหมดจมลงไป ค่อยจุดไฟเผา

ความคิดของเธอเพิ่งแล่นมาถึงตรงนี้ จู่ๆ ร่างของอิงเหยีนนั่วก็หมุนไปสู่จุดที่ลึกที่สุดในหล่มแล้วร่วงดิ่งลงมา! ทำให้กู้ซีจิ่วตื่นตระหนก เธอหวาดหวั่นว่าเขาจะประคับประคองไว้ไม่อยู่แล้วหล่นลงไปในหล่ม

————————————————————————————-

บทที่ 970 อันคำว่าเซียน 2

กำลังจะเคลื่อนย้ายเข้าไปหา กลับคาดไม่ถึงว่าขณะที่กำลังจะร่วงแหล่ไม่ร่วงแหล่ปลายเท้าของอิงเหยียนนั่วพลันเหยียบลงบนศีรษะของผีดิบตัวหนึ่งที่เพิ่งโผเข้ามาและยังไม่จมลงไป ร่างกายพุ่งทะยานขึ้นอีกครา…

กู้ซีจิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอก ดูเหมือนอิงเหยียนนั่วจะไม่เกิดอันตรายใดๆ ขึ้นที่นี่

จู่ๆ หว่างเอวเธอก็สั่นไหวขึ้นมา เธอสะดุ้งโหยง ล้วงยันต์ทรงดาวหกแฉกแผ่นหนึ่งขึ้นมา กดลงไปคราหนึ่ง น้ำเสียงตื่นตระหนกเสียขวัญของจิ้งจอกแว่วออกมา “สวรรค์ มันจะจับตัวพวกเราได้แล้ว!”

กู้ซีจิ่วหน้าเปลี่ยนสีทันที

ยันต์ดาวหกแฉกแผ่นนี้กู้ซีจิ่วคิดค้นขึ้นโดยอ้างอิงตามหลักการของวิทยุสื่อสาร

ถึงแม้ว่ายุคนี้จะไม่มีข้าวของทันสมัยเหล่านั้น แต่ก็มีพลังวิญญาณที่สามารถหลอมสร้างสรรพสิ่งได้ เธอทดสอบดูครั้งแล้วครั้งเล่า ผ่านความล้มเหลวมานับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดก็ค้นคว้ายันต์ชนิดนี้ออกมาได้ ถึงแม้จะส่งเสียงหากันในระยะทางหมื่นลี้แบบโทรศัพท์ไม่ได้ แต่ก็สามารถพูดคุยสื่อสารหรือรับรู้เสียงของกันและกันในระยะร้อยลี้ได้

หลังจากคิดค้นสิ่งนี้ออกมา แพร่หลายอย่างมากในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์

เนื่องจากสิ่งนี้ต้องใช้พลังวิญญาณของผู้ที่บรรลุพลังวิญญาณขั้นแปดขึ้นไปปลุกเสก การผลิตยันต์เช่นนี้ออกมาสักแผ่นต้องสิ้นเปลืองพลังวิญญาณมิใช่น้อย ดังนั้นจึงไม่ได้มีกันทุกคน มีเพียงยามที่ถูกส่งออกไปทำภารกิจอันตรายเท่านั้น ถึงจะได้รับ

กู้ซีจิ่วเป็นผู้คิดค้น ดังนั้นตัวเธอและเหล่าสหายของเธอจึงได้รับสิทธิพิเศษ ได้กันคนละแผ่น

แน่นอนว่าสิ่งนี้ต้องอาศัยพลังวิญญาณหล่อเลี้ยง เมื่อใช้ครั้งหนึ่งจะสูญเสียพลังวิญญาณด้านในไปไม่น้อย ดังนั้นถึงแม้พวกเขาจะพกติดตัวไว้ แต่ถ้าไม่ตกอยู่ในอันตรายจริงๆก็จะไม่ใช้สิ่งนี้ติดต่อ

ยามนี้จิ้งจอกน้อยน่าจะตกอยู่ในความตระหนก เปิดใช้งานสิ่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงได้ส่งกระแสเสียงมา

พวกจิ้งจอกน้อยพบเจออันตรายแล้ว!

กู้ซีจิ่วนึกถึงเสียงคำรามน่าหดหู่ที่ได้ยินเมื่อครู่นี้ หรือจะเป็นราชาผีดิบ?!

“มันบินได้! มันไล่ตามมาแล้ว!”

“อ๋า…”

‘ปัง!’

เสียงต่างๆ แว่วออกมาจากยันต์ถ่ายทอดเสียง ดูเหมือนสถานการณ์ของพวกจิ้งจอกน้อยจะอันตรายขึ้นเรื่อยๆ…

กู้ซีจิ่วสบถเบาๆ คราหนึ่ง มองอิงเหยียนนั่วแวบหนึ่ง ทราบว่าเขาจะไม่ประสบภยันอันตรายแล้ว จึงส่งกระแสเสียงไปหาเขา ‘ข้าจะไปดูพวกจิ้งจอกน้อยนะ’

ร่างกายเปล่งแสงวาบ อันตรธารไปทันที

อิงเหยียนนั่วเงียบงัน

ในใจของสาวน้อยคนนั้น ความปลอดภัยของสหายมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ…

เด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าไม่ได้ผิดสัญญา? ไม่สนใจว่าร่างกายถูกธาตุไฟเข้าแทรกกลับมาอยู่ข้างกายเจ้า

เด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าวิชาชนิดนี้ที่ข้าใช้คือพลังเทพที่ได้จากกระบวนการเผาผลาญพลังวิญญาณ?

เด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่โลหิตที่ข้าใช้ออกมาในยามนี้คือโลหิตหทัยเทวะ? หยดเดียวก็ทำให้ข้าสิ้นเปลืองพลังวิญญาณไปมากมาย

เด็กน้อย ข้ากล้าใช้กระบวนท่านี้ออกมาก็เพราะเจ้าอยู่ไม่ไกล ข้าคิดไปว่ายามที่ข้าตกอยู่ในภาวะคับขันเจ้าสามารถใช้วิชาเคลื่อนย้ายประคองข้าหนีไปได้…

เด็กน้อย เจ้าวิ่งออกไปเช่นนี้ หากข้ามีอันเป็นไปขึ้นมาเจ้าจะเสียใจหรือไม่?

น่าจะไม่เสียใจสักเท่าใด

เขาอยู่ข้างกายนางมาเกือบครึ่งปีแล้ว นอกจากยามเมามายครั้งนั้นที่นางรำพันถึง ‘ตี้ฝูอี’ ออกมาสองประโยค ช่วงเวลาอื่นนางจะเป็นปกติยิ่งนักเสมอ ทุกๆ วันจะฝึกฝนและเล่นสนุกกับเหล่าสหายตัวน้อยในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ข้ามผ่านวัยเยาว์อย่างมีสีสัน และไม่เคยเอ่ยถึงนามเขาเลยสักคำ

เขารู้สึกว่าสาวน้อยนางนี้เลือดเย็นโดยกำเนิดบางทีอาจจะลืมใครหน้าไหนก็ไม่รู้อย่างเขาไปแล้วด้วยซ้ำ!

สาวน้อยตัวเหม็น รอจนเขาฟื้นฟูกลับเป็นปกติแล้ว จะไปคิดบัญชีกับนางอย่างจริงจัง! ทำให้นางถอนกลับไปไม่ได้แม้แต่ต้นทุน!

เสี่ยวซีจิ่ว เจ้ารอได้เลย!

….

พื้นดินแยกออกเป็นโพรงใหญ่น่าสะพรึงโพรงหนึ่ง โพรงนั้นลึกจนไม่อาจหยั่งได้ รอบโพรงที่ปกคลุมไปด้วยหิมะมีหินกลิ้งหล่นลงไปบ้างเป็นครั้งคราว

————————————————————————————-