ตอนที่ 348 เชียนหานที่ไร้สาระ

พันธกานต์ปราณอัคคี

นอกจากมั่วชิงเฉิน ห้าคนที่เหลือล้วนใช้โลหิตกระตุ้นสมบัติวิเศษเจ้าชะตา สูญเสียพละกำลังเป็นอย่างมาก พักฟื้นอยู่สามวันเต็มๆ ถึงกลับคือสภาพเดิม

 

 

และสามวันนี้มั่วชิงเฉินก็ไม่ได้อยู่เฉย พลิกไปพลิกมาศึกษากระจกหลิงฮวาสมบัติวิเศษของจิ้งจอกหิมะบานนั้น

 

 

ศึกระหว่างอสูรปีศาจจำแลง สะกิดใจนางมาก สามารถพูดได้ว่าพวกเขาหกคนไม่ว่าขาดผู้ใดไป ก็จะไม่ใช่ผลลัพธ์เช่นยามนี้

 

 

นี่ก็เป็นการเตือนสตินาง ภายใต้สถานการณ์ที่เวลาอำนวย ศึกษาวิธีใช้สมบัติวิเศษมากหน่อยมิใช่เรื่องเสียหาย เผชิญหน้ากับอสูรปีศาจต่างกัน การเลือกสมบัติวิเศษที่เหมาะสมจะได้รับผลที่คุ้มค่าอย่างไม่ต้องสงสัย กระทั่งเผชิญหน้ากับอสูรปีศาจตัวเดียวกัน การเข้าขาของสมบัติวิเศษก็สำคัญมาก

 

 

“สหายเต๋าชิงเฉิน สหายเต๋าชิงเฉิน” ยามหลับตานั่งสมาธิ เสียงของนักพรตเชียนหานก็ลอยมา

 

 

มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้น สิ่งที่เข้ามาในสายตาก็คือใบหน้าใหญ่ๆ ที่ยิ้มระรื่น

 

 

“สหายเต๋าเชียนหานมีเรื่องอะไร?” มั่วชิงเฉินประหลาดใจเล็กน้อย กลับก็รู้สึกว่านักพรตเชียนหานผู้นี้น่าสนใจเล็กน้อยเช่นกัน ยามที่เขาเรียกนักพรตจื่อซวินและนักพรตหมิงโหรว ต่างเรียกว่าแม่นาง ส่วนยามเรียกตน กลับเป็นสหายเต๋า

 

 

“สหายเต๋าชิงเฉิน ไม่ทราบว่าวันนี้ยามรับมืออสูรปีศาจจำแลง วัตถุที่เจ้าโยนออกไปที่ระเบิดได้นั้นคืออะไร?” นักพรตเชียนหานกะพริบตา ดูเหมือนมีความประจบประแจงเล็กน้อย

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้ว กวาดมองนักพรตเชียนหานปราดหนึ่ง

 

 

นักพรตเชียนหานรีบยิ้มจนตาโค้งไปหมดว่า “สหายเต๋าชิงเฉินอย่าเข้าใจผิด ข้าน้อยเพียงแค่รู้สึกว่าของสิ่งนั้นค่อนข้างดึงดูดอสูรปีศาจ อยากซื้อจากเจ้าสักสองสามลูก ไม่แน่วันหลังอาจได้ใช้ก็ได้…”

 

 

“ศิษย์น้องข้าไม่ขาย!” เยี่ยเทียนหยวนไม่รู้ตื่นมาตั้งแต่เมื่อไร มองนักพรตเชียนหานอย่างเย็นชา

 

 

นักพรตเชียนหานชะงักงัน จากนั้นมองมั่วชิงเฉินตาปริบๆ ทว่าด้านหลังกลับรู้สึกเย็นยะเยือกไปหมด

 

 

มั่วชิงเฉินกลับรู้แจ้งขึ้นมาทันที วุ่นวายอยู่ครึ่งค่อนวันที่ตนถูกหมั่นไส้ถึงเพียงนี้ เป็นผลงานของระเบิดสะท้านฟ้าหรือนี่

 

 

ที่จริงเถาวัลย์เส้นนั้นในสวนยาพกพา แม้ต้องใช้เวลาในความเป็นจริงสามเดือนถึงสามารถเก็บเกี่ยวระเบิดสะท้านฟ้าได้หลายสิบลูก ทว่านักบำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณคนหนึ่งเอ่ยปากแล้ว อีกทั้งยังถูกผูกอยู่บนเรือรบลำเดียวกัน ขายเขาไม่กี่ลูกก็ไม่เป็นไร ทว่าหางตากวาดไปเห็นสีหน้าที่บึ้งตึงขึ้นเรื่อยๆ ของเยี่ยเทียนหยวนแล้ว ก็ต้องกระตุกมุมปากอย่างจำใจว่า “สหายเต๋าเชียนหาน ระเบิดสะท้านฟ้านั่นข้าน้อยก็มีไม่เท่าไรแล้ว ข้าน้อยตบะต่ำที่สุดในบรรดาสหายเต๋าทุกท่าน ยังคิดจะเก็บไว้ใช้ยามฉุกเฉินสักหน่อย”

 

 

“เอ่อ เช่นนั้นก็รบกวนแล้ว” นักพรตเชียนหานยังคงอมยิ้มที่มุมปาก กอบหมัดแล้วหันหลังกลับไปนั่งลง ช่วงเวลาที่กำลังจะไปยังเหล่มองเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่ง

 

 

ความเคลื่อนไหวนี้ย่อมทำให้คนอื่นตกใจตื่น ต่างดูความครึกครื้นอย่างสนใจโดยไม่พูดอะไร

 

 

มั่วชิงเฉินลำบากใจเล็กน้อย เหลือบมองเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่งแล้วนั่งลงไปใหม่ บรรยากาศกระอักกระอ่วนเช่นนี้ เราบำเพ็ญเพียรดีกว่านะ

 

 

ทุกคนเห็นดังนั้นต่างมองหน้ากัน แล้วต่างคนต่างบำเพ็ญเพียรขึ้นมาอีก

 

 

“ศิษย์น้อง” เสียงเย็นชาของเยี่ยเทียนหยวนดังขึ้นในสมองอีกครั้ง

 

 

มั่วชิงเฉินไม่กระโตกกระตาก ตอบ “อืม” เสียงหนึ่ง

 

 

สุดท้ายที่ตอบรับกลับเป็นความเงียบอันยาวนาน

 

 

มั่วชิงเฉินสงสัย ลืมตามองไป กลับเห็นเยี่ยเทียนหยวนก็จ้องนางอยู่ นัยน์ตาที่ใสดุจกระจกมีเงามืดที่รุนแรง

 

 

มั่วชิงเฉินเบือนสายตาไปที่อื่นว่า “เป็นอันใดหรือ ศิษย์พี่?”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนขยับริมฝีปาก พูดอะไรไม่ออก

 

 

เขาจะพูดอะไรได้ พูดว่าเห็นนักพรตเชียนหานไม่มีอะไรแต่เสนอหน้าเข้าไปหาเรื่องคุย ก็อยากอัดเขาอย่างควบคุมไม่อยู่หรือ?

 

 

เขายังไม่อยู่ในฐานะนั้น!

 

 

นึกถึงตรงนี้นัยน์ตามืดมนลง แล้วเอ่ยนิ่งเรียบว่า “อานุภาพของระเบิดสะท้านฟ้าไม่เป็นรองยันต์ชั้นดี ศิษย์น้องเก็บไว้ใช้เองอย่าขายให้คนอื่น”

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างงงๆ ว่า “รู้แล้ว”

 

 

นางใจกลับแอบพูดว่าไยศิษย์พี่ท่านนี้ถึงนับวันยิ่งชอบยุ่งเรื่องของนางแล้ว ด้วยนิสัยเย็นชาของเขาก็ไม่เหมือนคนเช่นนี้นี่นา

 

 

นักพรตเชียนหานลืมตาขึ้นเล็กน้อย สายตาวนเวียนไปมาบนตัวมั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวน ในตาฉายแววครุ่นคิด

 

 

ศิษย์พี่น้องคู่นี้ช่างน่าสนใจจริงๆ ปีนั้นยามแรกพบ นึกว่าเป็นคู่รักน้อยๆ ที่แอบตกลงปลงใจกัน ทว่าคบกันมาสามปีกลับพบว่าดูเหมือนไม่ได้เป็นเช่นนั้น

 

 

ท่าทางหึงหวงของเจ้าหนุ่มนั่นกลับน่าสนใจทีเดียว แหะๆ ในเมื่อชีวิตน่าเบื่อถึงเพียงนี้ จะล้อเล่นสักทีดีหรือไม่นะ เอ่อ…ตกลงล้อคนไหนดีนะ?

 

 

สายตานักพรตเชียนหานวนเวียนอยู่บนตัวมั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนตัดสินใจไม่ได้ พวกมั่วชิงเฉินสองคนรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาพร้อมกัน

 

 

หลังจากที่ทุกคนฟื้นฟูดังเดิมแล้ว ก็เริ่มปรึกษาเรื่องต่อจากนี้

 

 

“ในรัศมีพันลี้ล้วนใช้จิตตระหนักสำรวจแล้ว กลิ่นอายของอสูรปีศาจขั้นห้าขึ้นไปมีไม่น้อย ทว่าไม่มีกลิ่นอายของอสูรปีศาจจำแลง ไม่ทราบสหายเต๋าทุกท่านกะจะทำเช่นไร?” นักพรตโยวหย่วนมองทุกคน เสียงสงบมาก ราวกับต่อจากนี้ไม่ว่าจะอยู่ด้วยกันต่อหรือต่างคนต่างไป สำหรับเขาล้วนไม่มีผลกระทบใดๆ

 

 

คนผู้นี้ก็ไม่ธรรมดา มั่วชิงเฉินประเมินขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว ปกตินักบำเพ็ญเพียรที่มีบุคลิกของศิษย์สำนักเลื่องชื่อเช่นนี้ โดยเฉพาะนักบำเพ็ญเพียรชาย มักมีความปรารถนาเป็นผู้นำ

 

 

ทว่านักพรตโยวหย่วนผู้นี้ตบะสูงที่สุดแท้ๆ ระยะนี้ก็กระทำการด้วยฐานะผู้นำมาตลอด ทว่าดูเหมือนฐานะเช่นนี้สามารถหยิบขึ้นวางลงได้ตลอดเวลา จะเป็นเช่นไรก็ได้

 

 

นักพรตจื่อซวินดวงตากลมโตแววตาเป็นประกายกวาดมองนักพรตโยวหย่วนอย่างนุ่มนวลปราดหนึ่งว่า “ข้าน้อยย่อมตามสหายเต๋าโยวหย่วนอยู่แล้ว”

 

 

นักพรตโยวหย่วนขมวดคิ้วอย่างแผ่วเบาแทบไม่สังเกต สีหน้ากลับสงบอ่อนโยน มองไปที่คนอื่นๆ

 

 

“หมิงโหรว…ยังคงฟังสหายเต๋าทุกท่าน” นักพรตหมิงโหรวขยำชายเสื้อ

 

 

มั่วชิงเฉินแย่งพูดขึ้นก่อนที่เยี่ยเทียนหยวนจะอ้าปากว่า “ในรัศมีพันลี้แม้ไม่มีอสูรปีศาจจำแลง ทว่าอสูรปีศาจระดับสูงยังคงมีไม่น้อย อสูรปีศาจระดับล่างยิ่งมากจนนับไม่ถ้วน ที่ยิ่งแย่คือ ไม่คิดว่าจิตตระหนักของพวกเราจะสัมผัสไม่ได้ถึงกลิ่นอายของนักบำเพ็ญเพียรมนุษย์เลย ตามความคิดของชิงเฉิน พวกเราเคลื่อนไหวพร้อมกันก่อนดีกว่า มุ่งไปทิศใต้ตลอดทาง หากพบค่ายของนักบำเพ็ญเพียรมนุษย์ หรือที่ที่อสูรปีศาจบางเบา ค่อยต่างคนต่างวางแผนเป็นเช่นไร?”

 

 

นักพรตโยวหย่วนพยักหน้าว่า “ที่สหายเต๋าชิงเฉินพูดก็มีเหตุผล พวกเราพลางใช้จิตตระหนักสำรวจพลางลงใต้ ดูว่าเมื่อไรพบนักบำเพ็ญเพียรมนุษย์ค่อยว่ากัน ครั้งนี้เจ้าปีศาจปรากฏต่อโลก ข้าน้อยสงสัยว่า…”

 

 

“สหายเต๋าโยวหย่วนสงสัยอะไร?” นักพรตจื่อซวินถามอย่างให้ความร่วมมือ

 

 

“ข้าน้อยสงสัย สำนักใหญ่น้อยรวมทั้งสี่สำนักแปดนิกาย อาจจะเปิดค่ายกลใหญ่ผนึกเขาหมดแล้ว!” นักพรตโยวหย่วนพูดชัดถ้อยชัดคำ

 

 

“หา! ไม่คิดว่าจะร้ายแรงเพียงนี้?” นักพรตจื่อซวินปิดปากอุทาน

 

 

มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนก็มองหน้ากันปราดหนึ่ง หากร้ายแรงเหมือนที่นักพรตโยวหย่วนสันนิษฐาน เช่นนั้นพวกเขาก็กลับสำนักไม่ได้แล้ว

 

 

นักพรตโยวหย่วนยิ้มอย่างสง่างามว่า “แน่นอน นี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของข้าน้อยเท่านั้น มีเพียงมุ่งหน้าไปทางทิศใต้ดูสถานการณ์สักหน่อยถึงรู้ว่าตกลงบัดนี้สถานการณ์เป็นเช่นไร สหายเต๋าเชียนหาน ไม่ทราบเจ้าวางแผนไว้เช่นไร?”

 

 

คนพวกนี้ ก็เหลือเพียงนักพรตเชียนหานที่ไม่ได้แสดงความคิดเห็นแล้ว

 

 

นักพรตเชียนหานยิ้มกว้างว่า “สหายเต๋าชิงเฉินพูดมีเหตุผล ข้าน้อยฟังสหายเต๋าชิงเฉิน”

 

 

พูดพลางไม่มองมั่วชิงเฉิน ตรงกันข้ามกลับมองเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่ง เห็นเยี่ยเทียนหยวนหน้าดำยิ่งกว่าเก่า รอยยิ้มที่มุมปากยิ่งโค้งขึ้นทันที

 

 

มั่วชิงเฉินกะพริบตา นี่นางตาลายหรือเช่นไร นักพรตเชียนหานผู้นี้ดูเหมือนกำลัง…หยอกล้อศิษย์พี่ลั่วหยาง?

 

 

เมื่อนึกถึงนักบำเพ็ญเพียรชั้นสูงส่วนใหญ่ ล้วนมีนิสัยประหลาดบางอย่างที่ไม่ให้ใครรู้ มั่วชิงเฉินก็กวาดมองเยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่งด้วยความเห็นใจ

 

 

เพิกเฉยต่อบรรยากาศประหลาดที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตาในถ้ำ นักพรตโยวหย่วนเดินออกไปก่อนว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเราก็ออกไปเถอะ

 

 

ทั้งหกคนเหยียบสมบัติวิเศษเหินหาว พลางปล่อยจิตตระหนักออกสำรวจ พลางเดินหน้าสู่ทิศใต้อย่างระมัดระวัง ระหว่างทางร่วมมือกันฆ่าอสูรปีศาจไปไม่น้อย เหตุการณ์ร้ายแรงแต่ไม่อันตรายบินไปแสนกว่าลี้อย่าง

 

 

บัดนี้ได้บินออกจากเขตแดนของนิกายเจิ้นโซ่ว เข้าสู่เขตแดนที่ตัดกันของนิกายเลี่ยนเป่าและนิกายหมิงฝูแล้ว

 

 

เพราะสองนิกายนี้อยู่ทิศตะวันออกและตก ถ้าพวกเขามุ่งไปทางทิศใต้ตลอดทางล่ะก็ จะจะผ่านเขตแดนของพวกเขาในเวลาเดียวกัน

 

 

และผ่านที่นี่แล้วบินสู่ตะวันออกเฉียงใต้อีก ก็คือเทือกเขาฟางจูที่พรรคเหยากวงตั้งอยู่แล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินเดินทางมาตลอดทาง ด้านหนึ่งสำรวจสถานการณ์ด้านหนึ่งสังเกตทุกคน ฆ่ามาตลอดทาง พบว่าคนพวกนี้ไม่มีกระจอกเลยสักคน วางไว้ในนักบำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันแล้วล้วนเป็นผู้มีฝีมือโดดเด่น

 

 

คิดอีกมุมหนึ่งก็ไม่แปลก ปีนั้นท่ามกลางการไล่ฆ่าของกองทัพอสูรปีศาจเยี่ยเทียนหยวนพานางหาถ้ำเจอในภูมิประเทศที่เป็นอันตรายนั่นหลบภัย คนอื่นๆ หากกระจอก แล้วจะมาถึงตามลำดับได้อย่างไร

 

 

ใต้ต้นไม้เฒ่าต้นหนึ่ง ทกุคนหยุดลงมาพักผ่อนชั่วคราว

 

 

สีหน้าของทุกคนล้วนดูไม่ดีนัก เพราะบินมาตลอดทาง ไม่พบร่องรอยของนักบำเพ็ญเพียรใดๆ จริงๆ นอกจากอสูรปีศาจแล้วยังคงเป็นอสูรปีศาจ ราวกับแผ่นดินอันกว้างใหญ่นี้ได้เปลี่ยนเจ้าของแล้ว

 

 

ทว่าบินตามกันสู่ทิศใต้ เมืองของมนุษย์ธรรดดาล้วนๆ บางเมืองกลับไม่มีร่องรอยอสูรปีศาจเหยียบย่ำมาก่อน

 

 

“ไปทางตะวันตกคือนิกายเลี่ยนเป่า ตะวันออกคือนิกายหมิงฝู ไม่สู้เราแบ่งเป็นสองทางไปลองสำรวจดู?” นักพรตโยวหย่วนเสนอแนะ

 

 

ทุกคนไม่คัดค้าน เพราะมั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนจำเป็นต้องอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว นักพรตเชียนหานก็เสนอหน้ามาอีก ที่เหลืออีกสามคนจึงแบ่งไปอยู่ด้วยกัน

 

 

“เมื่อเป็นเช่นนี้เราก็แยกกันทำงานเถอะ ไม่ว่าสถานการณ์เป็นเช่นไร สองชั่วยามให้หลังกลับมาเจอกันที่นี่อีก” นักพรตโยวหย่วนเอ่ยขึ้น

 

 

“ได้”

 

 

ที่พวกมั่วชิงเฉินสามคนมุ่งหน้าไปคือทิศทางของนิกายหมิงฝู วิ่งไปตลอดทางเกือบหนึ่งชั่วยาม ถึงเห็นประตูสำนักของนิกายหมิงฝูไกลๆ

 

 

ต่างมองหน้ากันปราดหนึ่ง บินไปทางนั้นอย่างระมัดระวัง แล้วร่อนลงหน้าประตูสำนัก

 

 

ประตูสำนักปิดสนิท กระทั่งบนนั้นยังมีคราบสีเข้ม หากคาดไม่ผิดล่ะก็น่าจะเป็นคราบเลือกที่แห้งแล้ว

 

 

“ข้าเองเถอะ” เยี่ยเทียนหยวนเดินเข้าไปก้าวหนึ่ง พลิกมือตีเคล็ดวิญญาณสายหนึ่งออกมา

 

 

ทันใดนั้นแสงวิญญาณหายเข้าไปในประตูสำนักสีน้ำตาล ราวกับก้อนหินจมลงทะเลไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

 

 

เยี่ยเทียนหยวนนิ้วมือพลิ้ว ตีแสงวิญญาณออกอีกสายหนึ่ง ครั้งนี้แสงวิญญาณเพิ่งสัมผัสถูกประตูสำนัก ก็ส่องแสงเจิดจ้าขึ้นโดยพลัน พลังอันรุนแรงพล่านมา เยี่ยเทียนหยวนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

 

 

“ศิษย์พี่ ไม่เป็นไรนะ?” มั่วชิงเฉินเดินขึ้นไปก้าวหนึ่ง

 

 

เยี่ยเทียนหยวนส่ายศีรษะ เคล็ดวิญญาณสายแรกของเขาทั่วศิษย์ของสำนักทั่วไปล้วนทำเป็น ก็คือเคล็ดวิญญาณที่จำเป็นต้องตีออกไปยามไปเยี่ยมเยียนสำนักอื่น เช่นนี้ศิษย์เฝ้าประตูที่อยู่ข้างในได้รับข่าว ถึงจะเปิดประตูสำนักออก

 

 

แสงวิญญาณครั้งที่สองกลับเป็นการจู่โจมประตูสำนัก หากพลังสะท้อนที่รุนแรงก็คือการโจมตีด้วยตนเองต่อศัตรูที่โจมตีประตูสำนักหลังจากเปิดค่ายกลคุ้มกันภูเขาแล้ว

 

 

สถานการณ์ชัดเจนมากแล้ว นิกายหมิงฝูเปิดค่ายกลคุ้มกันภูเขาแล้ว

 

 

“ไปเถอะ” ทั้งสามคนล้วนไม่อืดอาดยืดยาด หันหลังก้าวขึ้นสมบัติวิเศษเหินหาว

 

 

ทว่าในยามนี้เอง แสงไฟสองสายก็พ่นออกจากปากสิงโตหินเฝ้าประตูสองตัวนั้น พุ่งเข้าหาทั้งสามคน