ตอนที่ 349 อสูรศิลาที่รับมือยาก

พันธกานต์ปราณอัคคี

เคล็ดวิชาฝึกจิตอนัตตาของมั่วชิงเฉินรุดหน้าขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะหลังก่อแก่นปราณดวงจิตเทียบกับยามสร้างรากฐานแล้วก้าวกระโดดไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการซ่อนกลิ่นอายของตน หรือการสำรวจสภาพแวดล้อมอย่างละเอียด ล้วนสูงขึ้นขั้นหนึ่ง

 

 

ยามที่เยี่ยเทียนหยวนตีเคล็ดวิญญาณออกมานางก็รออยู่ข้างๆ อย่างเงียบๆ กลับไม่กล้าประมาท จิตตระหนักยื่นออกไปสำรวจขึ้นมา

 

 

แม้ไม่พบอะไรที่เป็นรูปธรรม สัญชาตญาณกลับรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง แน่นอนนางไม่รู้สึกว่าตนคิดมากไป กลับยิ่งระแวดระวังมากขึ้น หากจิตตระหนักสำรวจอย่างละเอียดยังไม่พบอะไร เช่นนั้นก็หมายความว่าศัตรูที่แอบซ่อนอยู่ในที่ลับไม่ธรรมดา

 

 

ยามที่กำลังจะก้าวขึ้นไหมเกล็ดน้ำแข็ง แสงไฟสองสายก็จู่โจมมาจากด้านหลัง มั่วชิงเฉินที่กุมระเบิดสะท้านฟ้าไว้ในมือนานแล้วโบกมือโยนออกไป ขณะเดียวกันปากก็ตะโกนว่า “ระวัง!”

 

 

ยังไม่สิ้นเสียงนาง ห่วงทองของเยี่ยเทียนหยวนและพยัคฆ์ดำบนพัดพับของนักพรตเชียนหานก็รับหน้าขึ้นไปแล้ว ที่แท้พวกเขาก็ระแวดระวังมานานแล้วเช่นกัน

 

 

ทั้งสามซัดแสงไฟสองสายนั้นสลายไปอย่างสบายๆ สิงโตหินที่เฝ้าประตูสองตัวกลับส่ายหัวไปมา มีชีวิตขึ้นมา

 

 

พวกมันยืนขึ้นมากลายเป็นอสูรประหลาดที่มีผิวหนังเหมือนก้อนหินในพริบตา แยกเขี้ยวยิงฟันกระโจนเข้าหาทั้งสามคน

 

 

ไม่รอมั่วชิงเฉินเคลื่อนไหว เยี่ยเทียนหยวนและนักพรตเชียนหานก็รับขึ้นไปแล้ว ต่างคนต่างสู้อยู่กับอสูรประหลาดคนละตัว

 

 

มั่วชิงเฉินอัญเชิญธนูชิงอิ่นออกเพิ่งเล็งตรงไปที่อสูรประหลาดที่พันตูอยู่กับเยี่ยเทียนหยวน ตอม่อหินข้างทางอันหนึ่งจู่ๆ ก็ขยับ แปลงเป็นอสูรประหลาดหน้าตาเหมือนกันพ่นไฟออกก้อนหนึ่งขัดขวางความเคลื่อนไหวของนาง

 

 

นี่คืออสูรปีศาจอะไร ไม่คิดว่ายังสามารถปลอมตัวได้ด้วย?

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกประหลาดใจ ในมือกลับไม่กล้าชักช้า ศรทองคำดอกหนึ่งบินออกไปดังสวบ

 

 

ใครจะคาดว่าอสูรประหลาดตัวนั้นไม่หลบไม่หลีก ศรทองคำเสียบไปบนตัวมันแล้วดังเต๊งขึ้นเป็นเสียงของทองกระทบหิน จากนั้นเฉียดร่วงลงไป

 

 

หรือว่าผิวหนังของมันทำจากก้อนหินจริงๆ?

 

 

มั่วชิงเฉินเม้มปากแน่น ศรไม้ท้อตามไปถึงติดๆ กัน กลายเป็นกิ่งดอกไม้นับหมื่นพันล้อมอสูรประหลาดไว้ภายใน

 

 

คนที่ยืนอยู่ข้างนอกไม่รู้สึกอะไร ทว่าอสูรประหลาดที่อยู่ในค่ายกลกลับพบว่าฉากเปลี่ยนไปแล้ว ไม่คิดว่ามันจะอยู่กลางทะเล

 

 

อสูรประหลาดตัวนี้แม้เปิดปัญญาวิญญาณแล้ว ความคิดกลับเรียบง่ายมาก เห็นฉากเปลี่ยนไปก็เพียงแค่งงงันชั่วครู่ จากนั้นเล็งหัวไปที่ที่แห่งหนึ่งชนปึงๆ ขึ้นมาส่งเดช

 

 

กิ่งดอกไม้ที่ล้อมอสูรประหลาดไว้สั่นสะเทือน มั่วชิงเฉินรีบตีเคล็ดวิญญาณออกสายหนึ่งเพิ่มความแข็งแรงให้ค่ายกล ไม่ให้อสูรประหลาดแหกค่ายออกมา

 

 

อสูรประหลาดตัวนั้นกลับไม่รู้สึกรู้สม แผดเสียงคำรามรวบรวมกำลังเต็มเปี่ยมชนไปที่ที่หนึ่ง

 

 

เสียงโครมครามดังสนั่น กิ่งดอกท้อสั่นไม่หยุด กลีบดอกและใบไม้ร่วงกราว

 

 

“ศิษย์น้อง อสูรศิลาเปลี่ยนสีพละกำลังมหาศาล การป้องกันแข็งแกร่ง อย่าแลกกับมัน!” เสียงของเยี่ยเทียนหยวนลอยมา จากนั้นถูกเสียงสู้กันกลบหายไป

 

 

และในยามนี้เอง อสูรศิลาเปลี่ยนสีที่จู่โจมที่เดิมที่เล็งไว้ติดต่อกันร้อยกว่าทีในที่สุดก็แหกค่ายกลออก แล้วพุ่งตรงเข้าหามั่วชิงเฉินอย่างโกรธา

 

 

มั่วชิงเฉินไม่กล้ามุทะลุ ร่างกายบินขึ้นอย่างเบาหวิว ขณะเดียวกันก็โยนระเบิดสะท้านฟาออกมาอีกหลายลูก ระเบิดออกรอบๆ อสูรศิลาเปลี่ยนสี

 

 

พลังป้องกันของอสูรศิลาเปลี่ยนสีนั่นยากจะจินตนาการ ระเบิดสะท้านฟ้าระเบิดขึ้นข้างๆ มันไม่เห็นผลใดๆ กลับกระตุ้นนิสัยโหดเ**้ยมของมันออกมา ทันใดนั้นมันอ้าปากออก พ่นก้อนหินออกมานับไม่ถ้วน

 

 

ก้อนหินพวกนั้นเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ พุ่งเข้าหามั่วชิงเฉินเหมือนลูกกระสุนปืนใหญ่

 

 

มั่วชิงเฉินแตะปลายนิ้ว ไหมเกล็ดน้ำแข็งแปลงเป็นกำแพงเกล็ดบานหนึ่งขวางหน้าไว้

 

 

ก้อนหินนับไม่ถ้วนชนไปที่กำแพง กะพริบแสงวิญญาณและสะเก็ดไฟขึ้นมากมายดังเปรี๊ยะๆ ยามนี้ฝนก้อนหินระลอกที่สองจู่โจมมา กำแพงเกล็ดกะพริบแสงวิญญาณแล้วหายไปในที่สุด กลายเป็นไหมเกล็ดน้ำแข็งขึ้นมาใหม่บินเข้ามือมั่วชิงเฉิน

 

 

ฝนก้อนหินระลอกที่สามกระหน่ำตามมาติดๆ มืดฟ้ามัวดินไปหมดหลบก็หลบไม่พ้น

 

 

มั่วชิงเฉินคิดไม่ถึงว่าอสูรศิลาเปลี่ยนสีขั้นหกตัวนี้จะรับมือยากเช่นนี้ นี่ก็คือหนึ่งพละกำลังพิชิตสิบเยี่ยมยุทธที่ว่ากันเช่นนั้นหรือ?

 

 

ไม่มีเวลาให้คิดมาก นางขดตัวขึ้นหลบก้อนหินก้อนหนึ่งอย่างแยบยล ขณะเดียวกันก้อนอิฐในมือก็ตบก้อนหินอีกก้อนหนึ่งกระเด็น

 

 

ม้วนทะยานไปมาระหว่างช่องว่างของฝนก้อนหิน ก้อนอิฐกระทบก้อนหิน ส่งเสียงเต๊งๆ ไม่ขาดสาย

 

 

เกร็งปลายเท้าเตะก้อนหนิก้อนหนึ่งกระเด็น มืออีกข้างหนึ่งที่ว่างอยู่ห้านิ้วพลิ้วไหวปรากฏแหใหญ่ที่ทอจากเถาวัลย์สามสีปากหนึ่ง โยนไปบนฟ้ารับก้อนหินไว้ได้มากมาย ฝนก้อนหินที่น่าดูชมนั่นในที่สุดก็มีช่องว่างแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินหรี่ตา โยนก้อนอิฐในมือออกไป

 

 

ก้อนอิฐหมุนติ้วยิ่งหมุนยิ่งใหญ่ ไปถึงหน้าอสูรศิลาเปลี่ยนสีก็มีขนาดเท่าภูเขาเล็กๆ แล้ว ทับมันไว้ใต้ภูเขาดังโครม

 

 

“โฮก!” อสูรศิลาเปลี่ยนสีแผดเสียงคำราม ตัวบิดไปมาไม่หยุด ภูเขาเล็กๆ ที่ทับอยู่บนตัวก็ส่ายไปมาไม่หยุดตาม

 

 

มั่วชิงเฉินนิ้วมือพลิ้วไหวตีเคล็ดวิญญาณออกอย่างรวดเร็วสายแล้วสายเล่าหายเข้าไปในภูเขาเล็ก ภูเขาทั้งลูกเปล่งแสงทองออกข้างนอกระลอกแล้วระลอกเล่า

 

 

ยื้อยุดเช่นนี้ได้พักหนึ่ง ในที่สุดอสูรศิลาเปลี่ยนสีใต้ภูเขาก็สงบลง

 

 

มั่วชิงเฉินไม่มีเวลาเช็ดเหงื่อที่ซึมออกเต็มหน้าผาก ธนูชิงอิ่นลอยขึ้นจากฝ่ามือ ง้างธนูใส่ศรเหมันต์พร้อมด้วยเปลวน้ำแข็งเหมันต์กำลังจะยิงออก ทว่าจากนั้นกลับหยุดลง

 

 

มั่วชิงเฉินหรี่ตาขึ้น เป็นไปได้เช่นไร อสูรศิลาเปลี่ยนสีอยู่ดีๆ ก็หายไปอย่างไม่คาดคิด?

 

 

ไม่ถูก ไม่ใช่หายไป มันต้องเปลี่ยนร่างเหมือนอสูรศิลาเปลี่ยนสีสองตัวก่อนหน้านั้น กลมกลืนเข้ากับภูเขาเล็กแล้วเป็นแน่

 

 

มั่วชิงเฉินถือธนูเปลี่ยนทิศทางตั้งหลายทิศ กลับอย่างไรก็ไม่พบตำแหน่งของอสูรศิลาเปลี่ยนสี

 

 

เดรัจฉานนี่ รับมือยากจริงๆ!

 

 

เสียงต่อสู้อย่างดุเดือดยังคงดังมาจากทางเยี่ยเทียนหยวนและนักพรตเชียนหาน เห็นชัดว่าไม่สามารถมาช่วยได้ และมั่วชิงเฉินก็ไม่ได้คาดหวังคนอื่นเช่นกัน

 

 

แม้ตบะนางสู้สองคนนั้นไม่ได้ ความมุ่งมั่นในการเผชิญความลำบากกลับไม่ด้อยกว่าพวกเขาแน่นอน นักบำเพ็ญเพียรคนหนึ่งเดินถึงระดับก่อแก่นปราณ ก็อาศัยการสู้รบที่วนเวียนอยู่ระหว่างความเป็นและความตายครั้งแล้วครั้งเล่า หากเกิดใจขลาดเขลา เช่นนั้นนางก็ไม่ต้องหวังทางแห่งอายุยืนยาวแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินกึ่งหลับตา สมองกระจ่าง จากนั้นถอนเส้นผมออกเส้นหนึ่ง วางไว้บนธนูชิงอิ่นยิงออกไปอย่างมั่นคง

 

 

เส้นผมที่อยู่กลางอากาศถูกแสงทองกลุ่มหนึ่งล้อมไว้ ลากออกเป็นลำแสงที่ทั้งยาวและเล็ก เล็งตรงที่หนึ่งแล้วมุดเข้าไป

 

 

เสียงคำรามสนั่นดังขึ้น โครม ภูเขาเล็กทั้งลูกถูกพลิกขึ้นระเบิดกระเด็นออกไป กลายเป็นก้อนอิฐกลับเข้ามือมั่วชิงเฉินอีกครั้ง

 

 

อสูรศิลาเปลี่ยนสีปรากฏตัว ในตาแดงไปหมด กลิ่นอายอำมหิตเช่นนั้นต่อให้มั่วชิงเฉินห่างจากมันยังมีระยะหนึ่งก็สามารถรับรู้ได้

 

 

แย่แล้ว ใช้เส้นผมที่ติดจินตระหนักหาที่ซ่อนตัวของมันเจอแล้ว ทว่าดูท่าทาง มันกลับคลั่งขึ้นมาแล้ว!

 

 

เสียงคำรามด้วยความโกรธ อสูรศิลาเปลี่ยนสีอ้าปากถึงขีดสุด พ่นฝนก้อนหินมืดฟ้ามัวดินออกมาอีกครั้ง

 

 

ไหมเกล็ดน้ำแข็งในมือมั่วชิงเฉินบินออกอีกครั้ง กลับไม่ได้แปลงเป็นกำแพงเกล็ด หากแต่แปลงเป็นผ้าไหมบางเบารับก้อนหินไว้ทั้งแถบ มืออีกข้างหนึ่งอัญเชิญตะข่ายฟ้าแหดินออกอีกครั้ง รับก้อนหินนับไม่ถ้วนไว้เช่นกัน

 

 

ใครจะรู้ว่าก้อนหินในครั้งนี้ดูเหมือนธรรมดา กลับเหมือนเผาในไฟแรงมาก่อน คลื่นความร้อนแผ่กระจายขึ้นมาตามเถาวัลย์มาถึงมือ มั่วชิงเฉินที่รับมือฝนก้อนหินอย่างเต็มกำลังมือสั่นทันที

 

 

ก็ในช่องว่างนี้เอง ก้อนหินก้อนหนึ่งซัดลงบนหน้าอกนางโดยพลัน เสื้อวิเศษป้องกันที่ใส่แนบตัวอยู่เปล่งแสงเจ็ดสี ต้านการโจมตีไว้

 

 

ทว่าเวลานี้อสูรศิลาเปลี่ยนสีก็บุกมาถึงตรงหน้าแล้ว กางกรงเล็บสองข้างออกกอดนางไว้แน่น

 

 

รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาล มั่วชิงเฉินกระทั่งได้ยินเสียงกร๊อบๆ ของกระดูก ต่อจากนั้นคือความรู้สึกหายใจไม่ออกที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

 

 

เจ้าสิ่งนี้ หรือว่าจะไม่มีจุดอ่อนเช่นนั้นหรือ?

 

 

ครางเสียงหนึ่ง อสูรศิลาเปลี่ยนสีแบ่งกรงเล็บข้างหนึ่งทุบลงหลังมั่วชิงเฉินอย่างแรง นางอ้าปากกระอักเลือดออกมา

 

 

ได้กลิ่นคาวของเลือด อสูรศิลาเปลี่ยนสียิ่งบ้าคลั่งขึ้น กรงเล็บข้างหนึ่งรัดมั่วชิงเฉินแน่นยิ่งขึ้น กรงเล็บอีกข้างหนึ่งทุบหลังนางไม่หยุด

 

 

ตรงหน้ามั่วชิงเฉินมีดาวระยิบระยับบินอยู่นับไม่ถ้วน ร่างกายเพรียวบางส่ายไปมาไม่หยุด ราวกับจะถูกหักได้ตลอดเวลา เลือดกระอักแล้วกระอักอีก ดอกไม้โลหิตบานออกด้านหน้าหน้าอกดอกแล้วดอกเล่า

 

 

กระจกหลิงฮวาที่ประณีตบานหนึ่งปรากฏขึ้นที่ปลายเท้า นางเกร็งปลายเท้ายกขึ้นช้าๆ ต่อให้ร่างกายถูกทุบจนส่ายไปมาไม่หยุด ขายังคงงอขึ้นบนอย่างมั่นคง ไม่ทำให้เกิดปราณวิญญาณแม้แต่น้อย

 

 

อสูรศิลาเปลี่ยนสีที่เข้าสู่สภาวะบ้าคลั่งไม่สังเกตถึงสิ่งนี้ มันเพียงแต่หงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ เจ้าตัวเล็กที่ดูแล้วอ่อนปวกเปียกนี่เหตุใดยังไม่ถูกทุบแตกเป็นเสี่ยงๆ อีก

 

 

ในที่สุดมันใช้แรงทั้งตัว กรงเล็บที่รัดตัวมั่วชิงเฉินไว้ดันนางไปข้างหลัง กรงเล็บอีกข้างหนึ่งกำเป็นกำปั้น ทุบไปที่หน้าอกนางอย่างแรง

 

 

แสงจ้าขึ้น กระจกหลิงฮวาลอยไปถึงหน้าอกมั่วชิงเฉิน

 

 

กำปั้นที่ทุบลงบนกระจกหลิงฮวายุบเข้าไป จากนั้นถูกดีดออกอีก ขณะเดียวกันหน้ากระจกก็ยิงแสงสีขาวออกสายหนึ่ง

 

 

อสูรศิลาเปลี่ยนสีหลับตาลงอย่างไม่รู้ตัว ยามที่ลืมขึ้นอีกครั้งนิ้วมือเรียวยาวสองนิ้วก็มาถึงตรงหน้าแล้ว เสียบพรวดเข้าตาสองข้าง

 

 

เปลวไฟสีฟ้าน้ำแข็งที่วนเวียนอยู่ที่ปลายนิ้วมุดเข้าไปทันทีตามกรอบตาที่เลือดไหลไม่หยุด ต่อให้เปลือกนอกของอสูรศิลาเปลี่ยนสีแข็งแกร่งดุจศิลา เลือดเนื้อภายในกลับต้านความหนาวเย็นของเปลวน้ำแข็งเหมันต์ไม่อยู่

 

 

ความหนาวเย็นสุดขั้วแผ่กระจายจากภายในสู่ภายนอก อสูรศิลาเปลี่ยนสีคำรามออกมาอย่างเจ็บปวด ปล่อยมั่วชิงเฉินออกโดยสิ้นเชิงแล้วล้มลงเกลือกกลิ้งกับพื้น กรงเล็บโบกสะบัดข่วนผิวหนังไม่หยุด คิดจะบรรเทาความหนาวเย็นที่ไม่อาจสลัดหลุดนี้ได้

 

 

เห็นบนผิวหนังอสูรศิลาเปลี่ยนสีค่อยๆ แข็งเป็นน้ำแข็งชั้นหนึ่ง ถึงตอนหลังกรงเล็บทั้งสี่ก็แข็งจนขยับเขยื้อนไม่ได้แล้วเช่นกัน มั่วชิงเฉินค่อยๆ ย่อลงหยิบก้อนอิฐขึ้นตบไปอย่างไม่คิดชีวิต

 

 

เดรัจฉาน เจ้าก็ลองชิมรสชาติการถูกตบเถอะ!

 

 

เปรี้ยงเสียงหนึ่ง อสูรศิลาเปลี่ยนสีที่กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งแล้วโดนก้อนอิฐ ร้าวออกมาทีละชุ่นทีละชุ่นตั้งแต่ส่วนหัวลงมา

 

 

การร้าวเช่นนี้ไม่ใช่น้ำแข็งเหมันต์ที่ห่อหุ้มตัวมันแตกออก หากแต่เป็นทั่วทั้งตัวล้วนแตกออกเป็นชิ้นๆ ไม่คิดว่าน้ำเลือดภายในก็แข็งเป็นน้ำแข็งไปด้วย!

 

 

มั่วชิงเฉินหน้ามืดล้มนั่งบนพื้น โลหิตที่มุมปากลากเป็นเส้นยาว จากนั้นรวมกันเป็นหยดเลือดหยดลง

 

 

รออีกชั่วครู่ เยี่ยเทียนหยวนถึงสิ้นสุดการต่อสู้ อสูรศิลาเปลี่ยนสีตัวที่เขาสู้ด้วยนั้นอยู่ขั้นเจ็ด

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินล้มนั่งบนพื้นไม่ขยับเขยื้อน บนเสื้อเขียวคราบเลือดเต็มไปหมด เยี่ยเทียนหยวนหน้าถอดสีวิ่งเข้ามา มือหนึ่งโอบเอวของนางไว้แล้วถามอย่างรีบร้อนว่า “ศิษย์น้อง เจ้าเป็นอะไรไป?”

 

 

ไม่รอนางตอบ เขาก็ยัดโอสถย้อนอายุเม็ดหนึ่งเข้าปากมั่วชิงเฉิน จากนั้นนั่งขัดสมาธิหันฝ่ามือทั้งสองเข้าหาด้านหลังมั่วชิงเฉินแล้วเริ่มถ่ายพลังวิญญาณและเพลิงวาสนาตะวัน

 

 

“ศิษย์น้อง ลั่วหยางรู้ว่าไฟจริงของข้ามีผลอัศจรรย์ต่อเจ้า เจ้าอดทนไว้”