ตอนที่ 350 เรื่องเกิดบนต้นไม้

พันธกานต์ปราณอัคคี

เพลิงวาสนาตะวันของเยี่ยเทียนหยวนเข้าสู่ร่างกาย ผสานเข้ากับเพลิงแก้วใจกระจ่าง เกิดเป็นปราณวิญญาณสีม่วงที่ไม่รู้จักสายหนึ่ง ปราณวิญญาณสายนั้นค่อยๆ ว่ายไปตามชีพจร หลังจากไปกลับรอบหนึ่งมั่วชิงเฉินรู้สึกว่าอวัยวะภายในสบายขึ้นมาก กดเลือดลมที่ม้วนทะยานตลอดเวลาลงไป

 

 

มั่วชิงเฉินเช็ดมุมปาก ห้ามเยี่ยเทียนหยวนถ่ายพลังวิญญาณต่อว่า “ศิษย์พี่ ชิงเฉินไม่เป็นไรแล้ว มีเสื้อวิเศษป้องกันไว้ไม่ถูกจุดสำคัญ ท่านฟื้นฟูสักหน่อยก่อนดีกว่า”

 

 

นางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าช่วงหลังที่เยี่ยเทียนหยวนถ่ายพลังวิญญาณอ่อนแรง เห็นชัดว่ายามนี้เขาก็ไม่ได้ดีไปถึงไหน

 

 

เยี่ยเทียนหยวนนั่งให้ดีอย่างเชื่อฟัง แล้วหลับตาปรับลมหายใจ

 

 

มั่วชิงเฉินใช้กระบี่ชิงมู่ยันตัวยืนขึ้น พิจารณาอสูรศิลาเปลี่ยนสีที่เยี่ยเทียนหยวนฆ่าตัวนั้น

 

 

อสูรศิลาเปลี่ยนสีตัวนี้อยู่ขั้นเจ็ด เทียบได้กับนักบำเพ็ญเพียรมนุษย์ระดับก่อแก่นปราณระยะปลาย ทว่าเยี่ยเทียนหยวนที่พลังความสามารถโดดเด่นในนักบำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันรับมือขึ้นมา ยังคงเปลืองแรงไปไม่น้อย ก็เหมือนกับอสูรศิลาเปลี่ยนสีที่เทียบได้กับนักบำเพ็ญเพียรมนุษย์ระดับก่อแก่นปราณระยะกลางที่ตนเจอตัวนั้น

 

 

มั่วชิงเฉินเชื่อว่า หากเป็นอสูรปีศาจปกติ ต่อให้เป็นตัวที่เทียบได้กับระดับก่อแก่นปราณระยะปลาย ก็จะไม่ทำให้นางทุลักทุเลปานนี้

 

 

ใช้กระบี่ชิงมู่เขี่ยศพของอสูรศิลาเปลี่ยนสีทีหนึ่ง ต่อให้ไม่มีพลังปีศาจคุ้มกายแล้ว ศพของมันยังคงแข็งแกร่งทำลายไม่ได้ กระทั่งลิ้นก็ยังแข็งปั๋ง กระบี่ชิงมู่ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้บนตัวเลย

 

 

ดูไปดูมา ไม่คิดว่าจุดอ่อนเพียงจุดเดียว ก็คือตาของมัน

 

 

แผลถึงแก่ชีวิตของอสูรศิลาเปลี่ยนสีขั้นเจ็ดตัวนี้ อยู่ที่ตาเช่นตา

 

 

“เฮ่ย เฮ่ย พวกเจ้าทำเช่นนี้ไม่ได้นะ รีบมาช่วยกันหน่อยสิ!” เสียงสู้รบผัวะผละผัวะผละดังมาจากทางนักพรตเชียนหาน ผสานด้วยเสียงร้องเอะอะโวยวายของเขา

 

 

มั่วชิงเฉินเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง ถูกอสูรศิลาเปลี่ยนสีบีบจนมือไม้วุ่นวายไปหมดแท้ๆ ยังแบ่งมือออกข้างหนึ่งจัดผมที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อยอย่างหลงตัวเอง

 

 

มุมปากกระตุกทีหนึ่ง แล้วเบือนหน้าหลับตานั่งสมาธิติดกับเยี่ยเทียนหยวน

 

 

ตั้งแต่ยามสร้างรากฐาน นางก็สังเกตเห็นชีพจรในกายหนาทนทานกว่านักบำเพ็ญเพียรทั่วไป หลังจากก่อแก่นปราณเพราะเคยรักษาอาการบาดเจ็บให้เยี่ยเทียนหยวน พบว่าระดับความหนาของชีพจรของตนเทียบกับเยี่ยเทียนหยวนที่อยู่ระดับก่อแก่นปราณระยะกลางก็ไม่ด้อยกว่ากัน นี่ก็เป็นสาเหตุที่เมื่อครู่ตลอดเวลาที่นางสู้กับอสูรศิลาเปลี่ยนสีอย่างดุเดือด แม้ถูกทรมานปางตาย พลังวิญญาณในกายกลับไม่ขาด

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาในการฟื้นฟูพลังวิญญาณก็ต้องนานกว่านักบำเพ็ญเพียรอื่นที่อยู่ระดับเดียวกันสักหน่อย

 

 

รอเยี่ยเทียนหยวนลืมตา มั่วชิงเฉินยังหลับตานั่งสมาธิอยู่ ส่วนทางด้านนักพรตเชียนหานในที่สุดก็หยุดลง

 

 

“แฮ่กๆ เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว” นักพรตเชียนหานนอนอ้าซ่าบนพื้น พูดหอบหายใจแฮ่กๆ จากนั้นเหล่เยี่ยเทียนหยวนปราดหนึ่งว่า “สหายเต๋าลั่วหยาง รักษาอาการบาดเจ็บให้ข้าน้อยด้วยได้หรือไม่?”  

 

 

“เจ้าไม่จำเป็น” เยี่ยเทียนหยวนเสียงเย็นเยียบ

 

 

นักพรตเชียนหานกะพริบตาที่กลมโต ใบหน้าน้อยใจว่า “สหายเต๋าลั่วหยาง เราเป็นสหายร่วมรบกันนะ น่าเสียใจเหลือเกิน ถูกเลือกปฏิบัติเช่นนี้ หรือว่า… เพราะเชียนหานไม่ใช่นักบำเพ็ญเพียรหญิง?”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนสีหน้าตกตะลึง เห็นชัดว่าเขาไม่เคยพบนักบำเพ็ญเพียรชายประเภทนี้มาก่อน

 

 

มั่วชิงเฉินที่ฟื้นฟูพลังวิญญาณเสร็จลืมตาขึ้นได้ยินคำพูดนี้กลับเกือบหัวเราะออกมา มองดูหน้ากวนประสาทของนักพรตเชียนหานแล้ว อยากบอกเขามากว่าหากเจ้าเป็นนักบำเพ็ญเพียรหญิง เกรงว่าศิษย์พี่ลั่วหยางแม้แต่พูดก็ไม่พูดกับเจ้า แม้แต่ ‘เจ้าไม่จำเป็น’ เจ้าก็จะไม่ได้

 

 

“สหายเต๋าชิงเฉิน…” นักพรตเชียนหานเห็นมั่วชิงเฉินลืมตาขึ้น จึงแย้มยิ้มออกมา

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเม้มปาก ชูมือโยนของสิ่งหนึ่งข้ามไป

 

 

นักพรตเชียนหานยื่นมือรับไว้ นั่นคือโอสถขวดหนึ่ง กวาดจิตตระหนักแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ หยิบออกมาเม็ดหนึ่งกลืนลงไปแล้งเริ่มนั่งสมาธิ

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

 

 

เพราะนักพรตเชียนหานฟื้นฟูพลังวิญญาณยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง พวกมั่วชิงเฉินสองคนจึงรออยู่ข้างๆ

 

 

“ศิษย์น้อง” เยี่ยเทียนหยวนแอบส่งเสียงทางจิต

 

 

“หืม?” มั่วชิงเฉินมองไปที่เยี่ยเทียนหยวน กลับเห็นเขาขมวดคิ้วแผ่วเบา ดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

 

 

“เป็นอันใดหรือ ศิษย์พี่?”

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเหลือบมองนักพรตเชียนหานปราดหนึ่ง ส่งเสียงทางจิตว่า “เจ้าว่า มีวิชาลับที่ใช้แล้ว หญิงสามารถแต่งเป็นชายโดยที่เราแยกแยะไม่ออกหรือไม่?”

 

 

มองดูท่าทางจริงจังของเยี่ยเทียนหยวนแล้ว มั่วชิงเฉิน…

 

 

“เอาล่ะ สหายเต๋าทั้งสองรอจนร้อนใจแล้วกระมัง?” นักพรตเชียนหานปัดก้นลุกขึ้นยืน แล้วเดินเข้ามา

 

 

คำพูดของเยี่ยเทียนหยวนสะท้อนอยู่ในใจมั่วชิงเฉิน เมื่อเหลือบมองใบหน้ายิ้มแย้มของนักพรตเชียนหานแล้วก็ใจเย็นขึ้นมาไม่ไหวจริงๆ แสยะมุมปากยิ้มๆ

 

 

นักพรตเชียนหานมองดูรอยยิ้มประหลาดของมั่วชิงเฉินแล้วชะงัก จากนั้นถามอย่างงงงันว่า “เป็นอันใดหรือ สหายเต๋าชิงเฉิน?”

 

 

“ไม่มีอะไร” มั่วชิงเฉินอมยิ้มส่ายศีรษะ

 

 

นักพรตเชียนหานยิ่งงงงวย ก้าวขึ้นสมบัติวิเศษเหินหาวว่า “ไปแล้วนะ”

 

 

ทั้งสามคนมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกตลอดทาง และร่อนลงบนต้นไม้เฒ่าต้นนั้น

 

 

“แปลกแฮะ” เห็นพวกมั่วชิงเฉินสองคนมองมา นักพรตเชียนหานเอ่ยต่อว่า “อสูรปีศาจศิลาเปลี่ยนสีขึ้นชื่อเรื่องรับมือยาก การสู้ของเราครั้งนั้นเสียเวลาไปไม่น้อย บวกกับนั่งสมาธิฟื้นฟูพลังวิญญาณอีก เวลาที่ระบุไว้ผ่านไปนานแล้ว ตามหลักแล้วพวกเขาสามคนน่าจะกลับมานานแล้วนี่นา”

 

 

“อาจพบปัญหาก็ได้กระมัง” มั่วชิงเฉินเอ่ยนิ่งเรียบ

 

 

เยี่ยเทียนหยวนเพียงแต่ยืนเงียบๆ อยู่ข้างๆ ไม่พูดสักคำ

 

 

นักพรตเชียนหานถอนใจทีหนึ่งว่า “นานถึงเพียงนี้ไม่กลับมา ดูแล้วคงยุ่งยากไม่น้อยเลยนะ เฮ่อ ช่างน่าเสียดายสาวงามดุจบุปผาหยกงามสองคนนั้น…”

 

 

มั่วชิงเฉินหันหน้าไปอย่างหนักแน่น ไม่สนใจคนผู้นี้อีก

 

 

รออีกครึ่งชั่วยามใหญ่ๆ อีก ฟ้ามืดลงมาแล้ว

 

 

ถึงกลางคืน ก็จะมีอสูรปีศาจที่ซุ่มกลางวันออกกลางคืนเริ่มเคลื่อนไหว และอสูรปีศาจเช่นนี้ปกติค่อนข้างดุร้าย มีพลังที่ไม่อาจคาดได้ ดังนั้นนักบำเพ็ญเพียรต่างรู้ดี กลางคืนกลางป่ากลางเขา ไม่เหมาะจะเดินทาง

 

 

สามคนนั้นแม้อยู่ด้วยกันมาสามปีกว่าแล้ว กลับเรียกไม่ได้ว่าเป็นมิตรภาพที่แท้จริง ยามนั้นร่วมแรงรับมืออสูรปีศาจจำแลงก็แล้วไป ทว่าเหตุการณ์เช่นยามนี้ พวกมั่วชิงเฉินสามคนกลับไม่มีใครเป็นตัวตั้งตัวตีบอกจะไปดู

 

 

“หรือไม่พวกเราพักผ่อนที่นี่คืนหนึ่งก่อนเถอะ พวกเขาสามคนหากไม่กลับมาตลอด พรุ่งนี้ค่อยไปดูกัน?” นักพรตเชียนหานมองไปที่พวกมั่วชิงเฉินสองคน

 

 

ข้อเสนอนี้ย่อมไม่มีคนคัดค้านเป็นธรรมดา ทั้งสามคนเริ่มหาสถานที่เหมาะสมซ่อนกาย

 

 

ที่นี่เป็นที่ราบที่จะเฆี่ยนม้าห้อเหยียดได้ เป็นพื้นที่ราบที่หญ้าเขียวขจี หากไม่หาที่ดีๆ ไม่แน่กลางดึกอสูรปีศาจก็งมมาถึงหน้าประตูแล้ว

 

 

“เฮ่อ พวกเจ้ารีบขึ้นมา” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรนักพรตเชียนหานพุ่งขึ้นไปถึงบนต้นไม้ กวักมือเรียกข้างล่าง

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนสบตากันปราดหนึ่ง แล้วกระโดดตัวบินขึ้นไป

 

 

“พวกเจ้าว่า พวกเราก็อยู่ที่นี่สักคืนหนึ่งเป็นเช่นไร?” นักพรตเชียนหานแหวกกิ่งไม้ที่หนึ่งออก แล้วชี้ข้างใน

 

 

กิ่งไม้ข้างในใหญ่มาก มีที่หนึ่งเป็นศูนย์กลางท่าทางเหมือนเปิดให้คนเข้ามาได้ เหมือนพื้นที่ราบที่กว้างใหญ่ผืนหนึ่ง ส่วนรอบด้านเต็มไปด้วยกิ่งและใบ บังสายตาจากภายนอกไว้

 

 

ทั้งสามคนหากนั่งสมาธิอยู่ที่นี่หนึ่งคืน ก็ไม่เบียดเสียดกัน

 

 

มั่วชิงเฉินและเยี่ยเทียนหยวนต่างไม่ใช่คนเรื่องมากในด้านนี้ เห็นสถานที่มิดชิดทีเดียว จึงพยักหน้าทันที ทั้งสามคนแหวกกิ่งไม้มุดเข้าไป ต่างคนต่างหลับตานั่งสมาธิไม่ต้องพูดถึงแล้ว

 

 

กลางคืนดึกสงัดขึ้นเรื่อยๆ ข้างนอกแม้แสงดาวสว่างไสว แสงกลับถูกใบไม้บดบัง ส่องไม่เข้ามาแม้แต่น้อย ข้างในยื่นมือไม่เห็นห้านิ้ว

 

 

มั่วชิงเฉินรื้อตะเกียงฟักทองออกมาอันหนึ่ง โยนหินวิญญาณเข้าไปก้อนหนึ่งแล้วแขนไว้บนกิ่งไม้ ดูแล้ว กลับเหมือนผลไม้ที่งอกอยู่ข้างบนตั้งแต่แรก กลิ่นหอมหวานระลอกหนึ่งกระจ่ายออกมา

 

 

“สหายเต๋าชิงเฉิน นี่เจ้ามีสวนผักพกพา?” นักพรตเชียนหานเบิกตาโต

 

 

สวนผัก?

 

 

มั่วชิงเฉินเส้นเอ็นที่ขมับเต้นตุ๊บ เสียงของนักพรตเชียนหานลอยมาอีกว่า “ข้าน้อยรู้จักแม่นางอยู่คนหนึ่ง ชอบทำอาหารเลิศรสต่างๆ มาก ด้วยเหตุนี้อุตส่าห์ซื้อสวนผักพกพาไว้ ข้างในปลูกผักวิญญาณและธัญพืชวิญญาณหลากหลากชนิดไว้”

 

 

มั่วชิงเฉินมุมปากสั่นแล้วสั่นอีก ฝืนทนอยู่ครึ่งค่อนวันถึงไม่ได้พูด ‘หุบปาก’ สองคำออกมา ในยามนี้เองจู่ๆ ก็รู้สึกว่าอีกาไฟดีทีเดียว อย่างน้อยในเวลาหนวกหูเช่นนี้ มอบคำว่า ‘หุบปาก’ ให้มันก็ไม่ถือสา

 

 

“เจ้านาย ในที่สุดเจ้าก็รู้ข้อดีของคนเขาแล้ว” อีกาไฟที่อยู่ในถุงอสูรวิญญาณตื้นตันจนน้ำตานองหน้า

 

 

มั่วชิงเฉินกำลังจะเหลือกตา กลับจู่ๆ ก็ชะงัก ส่งเสียงทางจิตว่า “อู๋เย่ว์ เจ้ารู้ได้เช่นไร?”

 

 

“หา รู้อะไร?” อีกาไฟกะพริบตาอย่างงงงวย

 

 

มั่วชิงเฉินหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ไยเจ้าถึงรู้ว่าข้าคิดอะไรอยู่ ต้องรู้นะเมื่อครู่ข้าไม่ได้ใช้จิตติดต่อกับเจ้านะ และก็ไม่ได้พูดออกเสียงด้วย เพียงแต่คิดอยู่ในใจเท่านั้น!”

 

 

นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง

 

 

“อู๋เย่ว์” มั่วชิงเฉินลากเสียงยาว บอกมันเป็นนัยว่าอย่าแกล้งตาย

 

 

“ฮือๆๆๆ เจ้านาย คาถาอ่านใจของข้าในที่สุดก็สำแดงฤทธิ์เดชแล้ว!” จู่ๆ อีกาไฟก็อารมณ์พลุ่งพล่าน มั่วชิงเฉินสมองดังวิ้ง แต่ ‘คาถาอ่านใจ’ กลับลากนางกลับจากชายขอบของการอาละวาด

 

 

“อู๋เย่ว์ คาถาอ่านใจมันเรื่องอะไรกัน?”

 

 

อีกาไฟได้ยินเสียงมั่วชิงเฉินสงบราบเรียบ รู้ว่านี่คือนางกำลังจะโกรธแล้ว รีบพูดอย่างว่าง่ายว่า “คนเขาเลื่อนขึ้นขั้นห้าแล้วไม่ใช่หรือ จึงมีพลังใหม่เพิ่มขึ้นมาอย่างหนึ่ง…”

 

 

มั่วชิงเฉินเลิกคิ้วว่า “พลังใหม่ที่เจ้าซ่อนไว้ปิดไว้ตลอดไม่ยอมพูด ก็คือคาถาอ่านใจ?”

 

 

ในใจกลับปิติยิ่งนัก อีกาไฟมีพลังนี้ เป็นกำลังเสริมให้ตนได้มากมายเหลือเกิน สามารถแอบดูความคิดของคนอื่นหรือนี่ ต่อให้มันพลังโจมตีครึ่งๆ กลางๆ มาตลอดตนก็ยอมแล้ว

 

 

ยังไม่รอให้ดีใจได้สักเท่าไร ก็ได้ยินอีกาไฟอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “คนเขาไม่ได้เจตนาปิดไว้ เพียงแต่หลังจากเพิ่งเลื่อนขั้นตื่นมา ได้ยินเจ้าพูดในใจว่า ‘ไม่ได้กลับสำนักมาหลายปีถึงเพียงนี้ ก็ไม่รู้อาจารย์จะเป็นห่วงหรือไม่’ จากนั้นก็ไม่เคยได้ยินอะไรอีกเลย”

 

 

“อู๋เย่ว์!” มั่วชิงเฉินกำหมัดขึ้น สูดหายใจลึกๆ อึดหนึ่งถึงเอ่ยว่า “ก็หมายความว่า คาถาอ่านใจของเจ้านี่ก็เดี๋ยวเฮี้ยนเดี๋ยวไม่เฮี้ยนเช่นกัน?”

 

 

มองดูสีหน้าเคร่งขรึมของมั่วชิงเฉิน อีกาไฟไม่กล้าโม้ส่งเดช ตอบอย่างซื่อสัตย์ว่า “ใช่”

 

 

ดีมาก การสาปแช่งที่เดี๋ยวเฮี้ยนเดี๋ยวไม่เฮี้ยน คาถาพลางตัวที่เดี๋ยวเฮี้ยนเดี๋ยวไม่เฮี้ยน บวกกับคาถาอ่านใจที่เดี๋ยวเฮี้ยนเดี๋ยวไม่เฮี้ยนอีก นี่ช่างเป็นอสูรวิญญาณชั้นเลิศอะไรเช่นนี้!

 

 

นางว่าแล้ว คิดจะฉวยโอกาสเอาเปรียบเช่นนี้เป็นไปไม่ได้หรอก!

 

 

มั่วชิงเฉินมองฟ้าจนด้วยคำพูด ตัดการติดต่อสงบใจนั่งสมาธิให้รู้แล้วรู้รอดไป

 

 

“เอ๊ะ เจ้านาย เจ้านาย…” เห็นมั่วชิงเฉินไม่มีความเคลื่อนไหว อีกาไฟถอนใจด้วยความจำใจว่า “ใจร้อนอะไรกัน คนเขายังมีเรื่องพูดไม่จบ…”

 

 

ถึงกลางดึกแล้ว ในพื้นที่น้อยๆ นี้ทั้งสามคนต่างนั่งสมาธิเงียบๆ แม้แต่เสียงหายใจก็เบาแทบไม่ได้ยิน มีเพียงตะเกียงฟักทองกะทัดรัดน่ารักส่องแสงสลัวๆ แสงสว่างกลับส่องออกไปไม่พ้น

 

 

“แย่แล้ว!” เยี่ยเทียนหยวนลุกขึ้นยืนทันที