ตอนที่ 351 ถ้ำไร้ก้นลดเลี้ยวเคี้ยวคด

พันธกานต์ปราณอัคคี

จู่ๆ กิ่งไม้รอบทิศก็ขยับขึ้นมา เหมือนงูที่ร่ายรำอย่างคล่องแคล่ว จู่โจมไปที่ทั้งสามคน

 

 

มั่วชิงเฉินกระโดดขึ้นโดยพลัน กริชในมือกรีดไปที่กิ่งไม้ที่จู่โจมมา

 

 

เสียงดังสวบ กริชที่ตัดเหล็กเหมือนดินเพียงแต่ฝากรอยสีขาวตื้นๆ ไว้บนกิ่งไม้เท่านั้น กิ่งไม้บิดไปมาพลางลื่นไหลออกไป จากนั้นกิ่งไม้ที่มากขึ้นก็ล้อมเข้ามา

 

 

ไม่คิดว่าการจู่โจมของอาวุธเวทจะไม่ได้ผล คาถาของนางก็ล้วนเป็นธาตุไม้อีก ในชั่วแวบหนึ่ง เปลวไฟสีฟ้าน้ำแข็งพุ่มหนึ่งพุ่งออกจากกลางฝ่ามือ จากนั้นแปลงเป็นรูปร่างของมีด เล็งกิ่งไม้ที่จู่โจมมาให้แม่นแล้วตัดไปอย่างดุดัน

 

 

ฟึ่บเสียงหนึ่ง กิ่งไม้ขาดตามเสียง เผยให้เป็นตอซังสีขาวที่เรียบร้อย

 

 

กิ่งไม้พวกนี้กลัวไฟตามคาด เปลวน้ำแข็งเหมันต์แม้เป็นไฟเย็น อานุภาพดูเหมือนยิ่งรุนแรง

 

 

มั่วชิงเฉินยกมือขึ้นฟันมีดลง กิ่งไม้นับไม่ถ้วนก็ถูกกวาดเรียบ ครึ่งที่ตกลงข้างล่างยังบิดอย่างไม่ยอม

 

 

ทางด้านเยี่ยเทียนหยวนนั้นไม่ได้อัญเชิญห่วงทองออกมา หากแต่มือสองข้างกำหมัดเล็งกิ่งไม้ที่พุ่งเข้ามาแล้วเหวี่ยงหมัด กิ่งไม้พวกนั้นก็ขาดตั้งแต่โคน ครึ่งบนยังถูกเผาเกรียมดำปี๊ดปี๋อีก

 

 

ที่แท้หลังหมัดของเขาไม่รู้มีคมมีดห้าเล่มงอกออกมาตั้งแต่เมื่อไร ดูแล้วเป็นประกายวิบวับ ด้านบนยังมีเปลวไฟสีแดงผลุบขึ้นมาอีก

 

 

นักพรตเชียนหานเหน็บพัดไว้ที่เอว ในมือถือกระบี่ยาวแสงทองระยิบระยับเล่มหนึ่ง

 

 

บอกว่าแสงทองระยิบระยับนั้นไม่ได้ปรักปรำคนแม้แต่น้อย กระบี่เล่มนั้นเมื่อดูวัสดุก็เหมือนทำจากทองคำบริสุทธิ์ บนด้ามกระบี่ยังฝังอัญมณีสีต่างๆ ไว้เต็มไปหมด

 

 

ดีที่กระบี่ยาวเล่มนี้อานุภาพไม่น้อย กริชเล่มนั้นของมั่วชิงเฉินทำได้เพียงขีดรอยสีขาวจางๆ ไว้บนกิ่งไม้ มันกลับสามารถฟันกิ่งไม้ที่จู่โจมมาขาดอย่างราบเรียบ

 

 

ทั้งสามคนต่างมีแผนการรับมือ ผ่านไปไม่นานก็ฟันกิ่งไม้ที่ร่ายรำพวกนั้นจนหมด ไม่มีเวลามามัวโล่งอก ก็บินพุ่งออกข้างนอกไปพร้อมกัน

 

 

ทว่าเดิมทีพวกเขาก็อยู่บนต้นไม้ ต้นไม้เฒ่าต้นนี้ไม่รู้อยู่มากี่ปีแล้ว กิ่งก้านรากไม้เกี่ยวพันสอดสลับกันไปมา แน่นขนัดไปหมด เพิ่งฟันกิ่งไม้ก่อนหน้าขาด กิ่งไม้ใบไม้รอบๆ นับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้ามา

 

 

ทั้งสามคนร่อนกลับลงไปอย่างจำใจ ทว่าเท้าเพิ่งแตะถูกพื้นที่นั่งสมาธิในทีแรก ไม่คิดว่าใต้เท้าจะจมลง จากนั้นตรงนั้นเปิดเป็นรูกว้างโดยพลัน ทั้งสามคนก็ตกลงไปตรงๆ

 

 

มั่วชิงเฉินชูมือขึ้น เถาวัลย์เส้นหนึ่งเกี่ยวกิ่งไม้ด้านบนไว้กิ่งหนึ่ง ขณะเดียวกันเถาวัลย์อีกเส้นหนึ่งก็บินลงล่าง เยี่ยเทียนหยวนและนักพรตเชียนหานมือไวตาเร็วรีบคว้าไว้

 

 

ทั้งสามคนก็เหมือนมดที่ผูกอยู่บนเชือกเส้นเดียวกัน ห้อยอยู่กลางอากาศแกว่งไปไกวมา

 

 

เสียงเอี๊ยดๆ ดังขึ้น มั่วชิงเฉินหน้าถอดสีว่า “แย่แล้ว กิ่งไม้ด้านบนพวกนั้นกำลังกัดแทะเถาวัลย์อยู่!”

 

 

นักพรตเชียนหานกลั้นหายใจกระโดดขึ้นไป ทว่าโดดไม่ถึงหนึ่งจั้งก็ตกลงมาว่า “แย่แล้ว เมื่อไรที่โคจรพลังวิญญาณด้านล่างก็จะเกิดแรงดูดที่ยากจะต่อต้านได้!”

 

 

“ข้าเอง” มั่วชิงเฉินบินขึ้นข้างบนไป เห็นกำลังจะบินออกจากถ้ำต้นไม้ ไม่คิดว่าด้านบนจะประสานปิดเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ในถ้ำมืดมิดไปหมดในทันที

 

 

กลางฝ่ามือมั่วชิงเฉินปรากฏมีดที่แปลงจากเปลวน้ำแข็งเหมันต์ แทงขึ้นบนอย่างดุดัน ทว่าครั้งนี้ ต่อให้ปลายมีดหายเข้าไปในต้นไม้แล้ว กลับแทงไม่สุด

 

 

แทงติดกันหลายสิบที เศษไม้นับไม่ถ้วนร่วงกราวลงมา มั่วชิงเฉินหน้าเลอะไปหมดทันที ที่ยิ่งหงุดหงิดคือ เปลวน้ำแข็งเหมันต์ในมือดังฟรึบเสียงหนึ่งดับเสียแล้ว

 

 

“คิกๆๆๆ…” เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของหญิงสาวลอยมา จากนั้นทั้งสามคนพบโดนพลันว่าด้านล่างเกิดพลังดูดมหาศาลขึ้น พลังดูดที่รุนแรงขึ้นในพริบตาทำให้พวกเขาไม่อาจต้านทานได้ ร่างกายร่วงลงล่างไปโดยพลัน

 

 

สี่ทิศมืดมิดไปหมด มั่วชิงเฉินเคลื่อนจิตตระหนัก ไม่คิดว่าจะไม่รู้สึกถึงความมีตัวตนของเยี่ยเทียนหยวนและนักพรตเชียนหาน ได้ยินเพียงเสียงกระแสอากาศและเสื้อผ้าปลิวที่เกิดจากการที่ร่างกายตกลงไป

 

 

ในความมืดมิดที่ไม่สิ้นสุดไม่รู้ซ่อนอันตรายอะไรไว้ มั่วชิงเฉินเก็บงำกลิ่นอายไม่กล้าส่งเสียง ตามการตกลงไปไม่หยุด คอเหมือนลุกเป็นไฟ รู้สกเจ็บขึ้นมา

 

 

การตกลงไปเช่นนี้ เหมือนกับไม่มีที่สิ้นสุด

 

 

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร มั่วชิงเฉินใต้เท้านิ่มขึ้น ในที่สุดก็แตะถูกพื้นจริงๆ แล้ว

 

 

ตะเกียงฟักทองปรากฏขึ้นในมือ ถือมันไว้ส่องไปรอบๆ

 

 

สถานที่ที่อยู่ รอบทิศรอบทางมีแต่ทางแยก สลับซับซ้อนเหมือนไยแมงมุม มั่วชิงเฉินยื่นมือลูบสิ่งกีดขวางที่อยู่ข้างๆ ดู คือรากไม้ที่ลื่นเป็นเงา

 

 

นี่นางตกลงไปในเขาวงกตที่อยู่ส่วนลึกของถ้ำในต้นไม้?

 

 

นึกถึงคำพูดของนักพรตเชียนหาน มั่วชิงเฉินรีบโคจรพลังวิญญาณดู พบว่าสามารถโคจรได้ตามใจนึกถึงได้โล่งอก ต่อให้เป็นสถานที่ที่อันตรายเพียงไร ขอเพียงยังสามารถใช้พลังวิญญาณได้ เช่นนั้นก็ไม่ถึงกับต้องปล่อยให้ผู้อื่นฆ่าแกง

 

 

จิตตระหนักสอดส่องออกไปรอบทิศ เมื่อแตะถูกรากไม้ที่เหมือนกำแพงพวกนั้น ก็ถูกดีดกลับมาอีก

 

 

เขตแดนติดกันของนิกายเลี่ยนเป่าและนิกายหมิงฝู เหตุใดจึงมีต้นไม้ปีศาจเช่นนี้อยู่ต้นหนึ่ง ในถ้ำต้นไม้ไม่อาจใช้พลังวิญญาณได้ดั่งใจ ก้นถ้ำต้นไม้ไม่อาจใช้จิตตระหนักได้ดั่งใจ?

 

 

หรือว่า ต้นไม้เฒ่าต้นนี้ก็เหมือนอสูรศิลาเปลี่ยนสีที่แปลงเป็นสิงโตหินหน้าประตูนิกายหมิงฝูนั้น มาพร้อมวิกฤตอสูร เป็นอสูรปีศาจที่เฝ้าอยู่ที่นี่คอยกลืนกินนักบำเพ็ญเพียรโดยเฉพาะ?

 

 

ความจริงเป็นเช่นไรไม่สำคัญแล้ว ที่สำคัญคือจะออกไปได้เช่นไร พวกเยี่ยเทียนหยวนสองคนเป็นเช่นไรอีก

 

 

มั่วชิงเฉินมือถือตะเกียงฟักทอง เลือกเดินเข้าทางสายหนึ่ง

 

 

ยามเพิ่งเริ่มทางสายนี้ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย รอบด้านคือรากไม้ลื่นเป็นเงาที่ตั้งขึ้น ใต้เท้ามีกิ่งก้านและใบไม้ที่แห้งฉาวสะสมอยู่บางส่วน ทว่ายิ่งถึงตอนหลังใต้เท้ายิ่งเหนียว ถึงสุดท้ายรองเท้าปักลายดอกไม้ของมั่วชิงเฉินข้างหนึ่งก็ติดอยู่ด้านบนดึงไม่ออกแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินถอดรองเท้าอีกข้างหนึ่งออก โยนทิ้งไว้บนพื้นให้รู้แล้วรู้รอดไป แล้วลอยตัวขึ้นแผ่วเบา บินไปข้างหน้า

 

 

ยังดีที่นางได้ผลไม้เซียนที่หุบเขาไร้วิญญาณ บัดนี้ถึงสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้โดยไม่ต้องอาศัยสมบัติวิเศษเหินหาว

 

 

เมื่อเดินลึกเข้าไป พื้นผิวใต้เท้าเต็มไปด้วยโคลนเหมือนหนองน้ำ และยังปูดฟองดังบุ๋งๆๆ ด้วย

 

 

เดินเข้าข้างในอีก กำแพงสองข้างมีฟองตกลงมาไม่น้อย ไม่ใช้ชนิดโปร่งใส หากแต่เป็นสีเหลืองเหนียว

 

 

สถานที่เช่นนี้หากเกิดสิ่งผิดปกติขึ้น จะไม่สะดวกใช้ธนูชิงอิ่น มั่วชิงเฉินมือหนึ่งกำกริช มือหนึ่งถือก้อนอิฐ ไหมเกล็ดน้ำแข็งแปลงเป็นหมอกบางเบาสายหนึ่งล้อมไว้รอบตัว

 

 

ไม่ผิดจากที่คาดไว้ เดินเข้าข้างในอีกสักพัก ก็เกิดเหตุขึ้นกะทันหัน

 

 

ฟองที่ติดอยู่บนกำแพงพวกนั้นบินขึ้นมาดีดไปที่นาง

 

 

หมอกบางที่แปลงจากไหมเกล็ดน้ำแข็งกระเพื่อม ขวางฟองพวกนั้นไว้ จากนั้นก็ได้ยินเสียงพรึบ ๆ

 

 

เคล็ดวิญญาณตีเข้าไหมเกล็ดน้ำแข็งสายแล้วสายเล่า หมอกบางหนาขึ้น ขวางฟองไว้ข้างนอกอย่างแน่นหนา

 

 

มั่วชิงเฉินรีบวิ่งไปข้างหน้า จู่ๆ มีฟองขนาดเท่าลูกบอลแพรปักสองสามอันตกลงบนศีรษะ

 

 

ไหมเกล็ดน้ำแข็งไม่มีเวลาสนใจ มั่วชิงเฉินโบกมือ เข็มสีเขียวขนาดเท่าขนวัวนับไม่ถ้วนก็บินออกไป หายเข้าไปในฟองสองสามอันนั้นจนหมด

 

 

เสียงโผล๊ะดังขึ้น ฟองพวกนั้นถูกยิงแตก ทว่าเข็มสีเขียวที่ความแหลมคมเปรียบได้กับอาวุธเวทชั้นเลิศ ไม่คิดว่าก็กลายเป็นโคลนสีเขียวด้วย ตกลงมาอย่างไม่มีชีวิตชีวาแม้แต่น้อย

 

 

ไม่คิดว่าฟองพวกนี้จะมีฤทธิ์กัดกร่อน!

 

 

ดังนั้นมั่วชิงเฉินจึงยิ่งระวัง ควบคุมไหมเกล็ดน้ำแข็งอย่างรอบคอบขวางฟองไว้ข้างนอกจนหมด

 

 

ไม่รู้วิ่งเช่นนี้อยู่นานเพียงใด ในที่สุดข้างหน้าก็กระจ่างแจ้ง ทางเดินในตอนแรกขยายออกจนหน้าตาเหมือนโถงเล็กๆ เพียงแต่สถานที่นี้กลับไม่มีพื้นผิว หากแต่เป็นของเหลวสีเหลืองทั้งสระกำลังม้วนทะยาน ฟองนับไม่ถ้วนดิ้นหลุดจากผิวสระบินขึ้นข้างบนไป ด้านบนสูงจนมองไม่เห็น ไม่รู้ฟองพวกนี้บินไปถึงไหนแล้ว

 

 

ฟองมากมายที่มีฤทธิ์กัดกร่อนอย่างรุนแรงเช่นนี้ ต่อให้ไหมเกล็ดน้ำแข็งคุ้มกันตนข้ามไป เกรงว่าก็คงได้รับความเสียหายอยู่ดี

 

 

มั่วชิงเฉินหยุดอยู่ที่ทางเข้า สีหน้าเคร่งเครียด

 

 

เวลาไหลผ่านไปทีละนิดๆ มั่วชิงเฉินมองผิวสระน้ำเงียบๆ ไม่ขยับเขยื้อน

 

 

ในที่สุด นางขยับตัวแล้ว ไหมเกล็ดน้ำแข็งที่ล้อมอยู่รอบตัว พุ่งเข้าหาสระเล็กๆ ราวกับอุกกาบาต

 

 

มาถึงตรงหน้า ฟองมากมายกำลังทะลักขึ้นมาพอดี เข็มสีเขียวนับไม่ถ้วนที่กำไว้ในมือซัดออกไป ไม่คิดว่าฟองทั้งหมดล้วนถูกเข็มสีเขียวยิงถูก โพล๊ะเสียงหนึ่งแตกสลายไป

 

 

และด้านหน้านางมีฟองชุดหนึ่งบินไปถึงด้านบนศีรษะแล้วพอดี ฟองที่เกิดขึ้นใหม่ที่ผิวสระน้ำข้างล่างบินขึ้นข้างบนช้าๆ ยังไม่ถึงใต้ฝ่าเท้า

 

 

ในเวลาเพียงชั่วอึดใจ มั่วชิงเฉินก็บินข้ามสระน้ำแล้ว ร่อนลงบนพื้นว่างเปล่าฝั่งตรงข้าม

 

 

หันกลับมามองสระน้ำปราดหนึ่ง มั่วชิงเฉินยิ้มขึ้นมา

 

 

นางสังเกตมานานปานนั้น พบว่าการลอยขึ้นของฟองในสระน้ำก็มีกฎเกณฑ์เช่นกัน ด้านที่อยู่ใกล้นาง หากแปลงเวลาเป็นชิ้นๆ เช่นนั้นในชิ้นเวลาแต่ละชิ้น ตำแหน่งที่ฟองพวกนี้อยู่แม้มีสูงมีต่ำ ทว่าตำแหน่งและจำนวนล้วนเหมือนกับครั้งที่แล้วเปี๊ยบ หรือก็หมายความว่า ฟองในสระตั้งแต่เกิดขึ้นถึงโผล่ออกมา มีร่องรอยให้ตามได้

 

 

นับจำนวนของฟองแต่ละชุด จำตำแหน่งของพวกมันไว้ให้แม่น ยังมีเวลาที่ฟองข้างหลังเว้นช่องว่างไว้อีก

 

 

มั่วชิงเฉินควบคุมความเร็วของไหมเกล็ดน้ำแข็งอย่างดี ไม่อาจเร็วเกินไปและก็ไม่อาจช้าเกินไป มิเช่นนั้นต่อให้บุกผ่านชั้นที่หนึ่งแล้ว ฟองที่อยู่ด้านหลังไม่ใช่ยังไม่ลอยขึ้นฟ้า ก็คือชุดใหม่ทะลักขึ้นมาแล้ว

 

 

ก็เป็นเช่นนี้ ยามที่นางเพิ่งบุกไปถึงชั้นที่หนึ่ง เข็มสีเขียวที่เตรียมไว้นานแล้วจิ้มฟองทั้งหมดแตกได้พอดี และต่อจากนั้นก็บินออกมาจากช่องว่างที่เกิดขึ้นในชั่วอึดใจอีก

 

 

ทว่าต่อจากนั้นเรื่องปวดศีรษะก็มาอีกแล้ว ไม่คิดว่าทางนี้จะมีทางออกสามทาง

 

 

ในเวลานี้ นางยอมให้ที่ตรงนี้มีคนตั้งค่ายกลไว้เสียยังดีกว่า ไม่ใช่เขาวงกตที่เกิดจากธรรมชาติ เขาวงกตเช่นนี้ ไม่มีกฎเกณฑ์ให้ตามแม้แต่น้อยจริงๆ

 

 

เพ่งมองอยู่ครึ่งค่อนวัน ไม่พบความแตกตางใดๆ จริงๆ มั่วชิงเฉินคิดๆ แล้ว ถือกริชขีดไปที่กำแพงที่ทำจากรากต้นไม้ เขียน ‘ชิงเฉิน’ สองคำไว้ด้านบน

 

 

ทว่าเมื่อยามที่นางเก็บกริชกลับมา กำแพงตรงนั้นที่เขียนอักษรไว้ไม่คิดว่าจะสั่นทีหนึ่ง อักษรบนนั้นเลือนลางลงเรื่อยๆ ถึงสุดท้ายไม่คิดว่าจะหายไปโดยสิ้นเชิง ไม่เหลือร่องรอยไว้แม้แต่น้อย

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วแผ่วเบา เปลวไฟสีฟ้าน้ำแข็งที่ปรากฏขึ้นที่ปลายนิ้ว จากนั้นกลายเป็นมีดแหลมเปลวไฟ ยังคงสลัก ‘ชิงเฉิน’ สองคำไว้ที่ตรงนั้น

 

 

จ้องเขม็งอยู่พักใหญ่ๆ ครั้งนี้ในที่สุดก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

 

 

มั่วชิงเฉินเดินเข้าเส้นทางที่สลักชื่อไว้เส้นนั้น

 

 

หากที่นี่ไม่มีเบาะแสให้หา เช่นนั้นก็ใช้วิธีที่โง่เขลาที่สุดเถอะ ขอเพียงเป็นสถานที่ที่เดินผ่านล้วนสลักชื่อไว้ เช่นนี้ก็ไม่ถึงกับต้องเดินทางซ้ำแล้ว

 

 

เมื่อเดินทางให้หมดทุกสาย อย่างไรก็ต้องมีทางออกอยู่

 

 

ที่นี่มืดมิด โดดเดี่ยว แอบซ่อนอันตรายไว้นานัปการ ทว่าเช่นนั้นแล้วอย่างไรล่ะ ยังคงไม่มีทางขัดขวางความมั่นใจและมุ่งมั่นที่จะต้องออกไปให้ได้ของข้า!

 

 

ครึ่งปีให้หลัง มั่วชิงเฉินมองดู ‘ชิงเฉิน’ สองคำบนกำแพง แล้วหมุนตัวเดินเข้าอีกทางหนึ่ง

 

 

ครึ่งปีมานี้เจอความยุ่งยากไม่น้อย บางทีเป็นอสูรปีศาจที่คล้ายค้างคาวฝูงใหญ่ บางครั้งเป็นทางอันตรายที่ประหลาด กระทั่งมีครั้งหนึ่งยังพบภูตผีปีศาจที่ไม่มีรูปร่างเหมือนควันสีเขียว และสถานที่ที่สลัก ‘ชิงเฉิน’ สองคำก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

“ไอยา เหตุใดยังมีอีกอันหนึ่ง!”

 

 

มั่วชิงเฉินเดินไปข้างหน้า จู่ๆ ได้ยินเสียงคน จากนั้นความปั่นป่วนของพลังวิญญาณก็ใกล้เข้ามาจากที่ไกลๆ