ตอนที่ 352 ดาวซวยส่องตรงมา

พันธกานต์ปราณอัคคี

“เฮ่ย เฮ่ย ช่วยด้วย…” เสียงเข้าใกล้มาเรื่อยๆ จนสามารถได้ยินเสียงฝีเท้าดังตึกๆ แล้ว จากนั้นคนคนหนึ่งเลี้ยวเข้ามา เห็นมั่วชิงเฉินแล้วสีหน้าปรีดายิ่งนัก กางแขนออกแล้วถลาเข้ามา “สหายเต๋าชิงเฉิน ในที่สุดก็หาเจ้าเจอแล้ว!”

 

 

ไม่คิดว่าจะเป็นนักพรตเชียนหาน

 

 

มั่วชิงเฉินหลบไปอยูข้างๆ อย่างไม่แสดงอารมณ์ นักพรตเชียนหานพุ่งตรงเข้ามา กลับเบือนหน้ามาว่า “วิ่งเร็ว!”

 

 

ไหมเกล็ดน้ำแข็งที่อยู่ใต้เท้าส่องประกายลำแสงห้าสี ล้ำหน้านักพรตเชียนหานไปอย่างรวดเร็ว

 

 

“เฮ่ย พาข้าไปด้วย!” ในชั่วพริบตาที่บินผ่านข้างตัวนักพรตเชียนหาน ไม่คิดว่าเขาจะกระโดดลงจากสมบัติวิเศษเหินหาวของตน มุดไปบนไหมเกล็ดน้ำแข็งของมั่วชิงเฉิน

 

 

มั่วชิงเฉินเส้นเอ็นที่ขมับเต้นตุ๊บๆ กลับไม่ได้พูดอะไร เรื่องมาถึงบัดนี้ อย่างไรก็คงถีบเขาลงไปไม่ได้หรอกกระมัง

 

 

“อะไรไล่เจ้าอยู่?” มั่วชิงเฉินถามอย่างไม่สบอารมณ์

 

 

“ดูเหมือนเป็นปลาหมึก?” นักพรตเชียนหานยังหอบหายใจอยู่

 

 

“ปลาหมึก? ดูเหมือน?” มั่วชิงเฉินกัดฟัน

 

 

นักพรตเชียนหานพยักหน้าว่า “เอาเป็นว่าขาไม่น้อย ค่อนข้างเหมือนทีเดียว สหายเต๋าชิงเฉิน อย่าสนใจว่าเป็นอะไรเลย รีบหนีเถอะ ข้าน้อยไม่ระวังฆ่าตัวเล็กไป สุดท้ายตัวใหญ่โผล่มา ดูท่าทางจะเป็นมารดาของมัน”

 

 

“ขั้นไหน?” มั่วชิงเฉินรู้สึกว่าดวงตกมากอีกครั้ง

 

 

“เอ่อ ตัวเล็กขั้นห้า ข้าน้อยจัดการไปอย่างง่ายๆ ตัวใหญ่นั่น…ขั้นเจ็ดกระมัง อ่ะ ท่าทางดูเหมือนจะเป็นสุดยอดขั้นเจ็ด” นักพรตเชียนหานระลึกว่า

 

 

ดีมาก มั่วชิงเฉินขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ของขวัญพบหน้านี่ชิ้นใหญ่จริงๆ!

 

 

“สหายเต๋าชิงเฉิน เจ้าเร็วหน่อย เฮ่อ จะว่าไปแล้วไม่ว่าอย่างไรก็สมบัติวิเศษชิ้นนี้ของเจ้าดีกว่า ความเร็วเร็วกว่าของข้ามากเลย ข้าว่าเหตุใดวันนี้ราวกับได้ยินสี่เช่ว์[1]ร้องอยู่นะ ที่แท้คือได้พบกับสหายเต๋าเจ้า…” นักพรตเชียนหานพูดไม่หยุด

 

 

“หุบปาก!” มั่วชิงเฉินโคจรพลังวิญญาณในกายอย่างบ้าคลั่ง เร่งไหมเกล็ดน้ำแข็งเต็มกำลัง แล้วตะคอกอย่างสุดที่จะทนได้

 

 

นักพรตเชียนหานหุบปากอย่างเจี๋ยบเจี้ยม เมื่อเบือนหน้ามองปุ๊บก็เบิกตากลมโต รีบกระตุกเสื้อของมั่วชิงเฉิน

 

 

“เป็นอันใดหรือ?” มั่วชิงเฉินหันหน้ามองเขา

 

 

นักพรตเชียนหานชี้ปากตนเอง แล้วชี้ข้างหลังอีก

 

 

มั่วชิงเฉินหันกลับไปมอง เกือบทิ่มลงมาจากไหมเกล็ดน้ำแข็ง

 

 

เห็นเพียงข้างหลังห่างออกไปไม่เกินสิบจั้ง อสูรปีศาจหน้าตาเหมือนปลาหมึกตัวใหญ่มโหฬารตัวหนึ่งแปดขาสลับสับเปลี่ยนกันเหยียบพื้น ทำฝุ่นควันคลุ้งมาตลอดทาง ไล่ตามขึ้นมาด้วยความเร็วยิ่ง

 

 

บีบโลหิตจากปลายนิ้วหยดหนึ่งหยดลงบนไหมเกล็ดน้ำแข็ง ทันใดนั้นไหมเกล็ดน้ำแข็งแสงส่วางเจิดจ้า ลากลำแสงยาวๆ ออกสายหนึ่งแล้วพุ่งออกไปไกล

 

 

“ข้าไม่ไหวแล้ว พลังวิญญาณ!” มั่วชิงเฉินอ้าปากกลืนโอสถเติมวิญญาณลงไปเม็ดหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงรีบร้อน

 

 

โอสถเติมวิญญาณแม้เติมพลังวิญญาณได้ ทว่าในเวลาน่าสิ่วน่าขวัญเช่นนี้กลับเทียบไม่ได้กับพลังวิญญาณในกายที่สูญเสียไป

 

 

นักพรตเชียนหานรับรู้ทันที สองมือแนบไปที่แผ่นหลังของมั่วชิงเฉินถ่ายพลังวิญญาณข้ามไป

 

 

พลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านเข้าสู่ร่างกาย มั่วชิงเฉินรู้สึกสบายขึ้นมากทันที ตีเคล็ดวิญญาณเข้าไหมเกล็ดน้ำแข็งสายแล้วสายเล่า

 

 

บินอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ทั้งสองคนหมดเรี่ยวแรงแล้ว เห็นด้านหลังไม่มีเงาของปลาหมึกอีก จึงร่อนไหมเกล็ดน้ำแข็งลงมาฟื้นฟูพลังวิญญาณ

 

 

รอพลังวิญญาณฟื้นคืนหมดแล้ว มั่วชิงเฉินมองไปรอบๆ พบว่าที่แห่งนี้แม้ยังเป็นเขาวงกตที่สลับซับซ้อน กลับต่างจากสถานที่ที่เดินมาก่อนหน้านี้รางๆ

 

 

ดูเหมือนกลิ่นในอากาศ คาวและเค็มเล็กน้อย

 

 

พลังวิญญาณแม้ฟื้นคืนแล้ว ทว่าทั้งสองคนล้วนใช้แรงกายแรงใจเกินขนาด สีหน้ายังคงซีดเซียว

 

 

ไม่กล้าเดินหน้าต่อ ทั้งสองคนนั่งพักเอาแรงอยู่ที่เดิม

 

 

“นักพรตเชียนหาน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าผ่านไปนานถึงเพียงนี้ ยังสามารถพบกันได้” มั่วชิงเฉินพูดไม่ถูกว่าดีใจหรือเศร้าใจ

 

 

ที่ดีใจคือในที่สุดก็เห็นคนตัวเป็นๆ คนหนึ่งแล้ว ที่เศร้าใจคือพอพบหน้ากันก็เจอเรื่องโชคร้ายเช่นนี้เข้า

 

 

ช้าก่อน ยามนั้นพวกเขาสามคนพักผ่อนอยู่บนต้นไม้ ก็เป็นข้อเสนอของหมอนี่สินะ?

 

 

นักพรตเชียนหานแสยะปากยิ้มว่า “ก็นั่นน่ะสิ ข้าน้อยหาสหายเต๋ามาครึ่งปี ในที่สุดก็หาเจอจนได้”

 

 

“หาข้า?” มั่วชิงเฉินเลิกคิ้ว

 

 

นักพรตเชียนหานพยักหน้าโดยพลันว่า “ใช่ สหายเต๋าชิงเฉินเขียนชื่อไว้บนกำแพงมิใช่หรือ แม้เป็น ‘ชิงเฉิน’ สองคำ ทว่าข้าน้อยคิดว่าต้องเป็นสหายเต๋าอย่างไม่ต้องสงสัยแน่ ดังนั้นข้าน้อยจึงเลือกเข้าไปในทางแยกที่มีสลักอักษรไว้โดยเฉพาะ”

 

 

มั่วชิงเฉินมองดูใบหน้ายิ้มแย้มของนักพรตเชียนหาน จู่ๆ ก็เสียใจภายหลังต่อการกระทำของตนในยามนั้นเล็กน้อย นึกถึงความคิดที่โผล่มาเมื่อครู่สุดท้ายก็ไม่ค่อยวางใจ ถามว่า “สหายเต๋าเชียนหาน เมื่อครู่ยามที่เรายังไม่เจอกัน ข้าก็ได้ยินเจ้าร้องช่วยด้วย หรือว่าเจ้ายังสามารถล่วงรู้เหตุการร์ล่วงหน้าหรือ?”

 

 

นักพรตเชียนหานโบกมือว่า “ที่ไหนล่ะ ข้าน้อยก็แค่ตะโกนเล่นๆ เผื่อเจ้าหรือสหายเต๋าลั่วหยางได้ยินไงล่ะ บางทีพอตะโกนเช่นนี้ อย่าให้พูดเลย ยังมีอสูรปีศาจพุ่งออกมาจริงๆ จะได้ตีกับตัวที่ไล่ตามข้ามาพอดี”

 

 

มั่วชิงเฉินนิ่งเงียบ ถามอีกว่า “เช่นนั้นวันนั้นเหตุใดสหายเต๋าเชียนหานถึงเลือกพักผ่อนบนต้นไม้? หากไม่เพราะเช่นนี้ เกรงว่าเราก็คงไม่ตกลงมาที่นี่”

 

 

นักพรตเชียนหานลังเลครู่หนึ่ง มั่วชิงเฉินมองเหล่มา

 

 

“ไม่ปิดบังสหายเต๋าชิงเฉิน ข้าน้อยเคยค้างแรมกลางแจ้งมาก่อน สุดท้ายไม่ใช่กลางดึกถูกนกยักษ์ที่ไม่รู้ชื่อคาบไป ก็จู่ๆ แผ่นดินแยกตกลงไปในซอกธรณี ข้าน้อยคิดว่า บนพื้นไม่ปลอดภัย บนต้นไม้น่าจะไม่มีปัญหา…”

 

 

มั่วชิงเฉินน้ำตานองหน้าทันที วุ่นวายอยู่ครึ่งค่อนวันคนผู้นี้เป็นดาวไม้กวาดหรือนี่!

 

 

ไม่ได้ ขอเพียงไปจากที่นี่ ต้องรีบไปจากหมอนี่ให้ไกลๆ มิน่าช่วงนี้ดวงซวยติดๆ กันเลย

 

 

มั่วชิงเฉินออกห่างจากนักพรตเชียนหานเล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว หลับตาพักเอาแรง

 

 

ในเมื่อเจอนักพรตเชียนหานได้ ไม่แน่ศิษย์พี่ลั่วหยางก็อยู่ใกล้ๆ เช่นกัน

 

 

ได้สติกลับมา ทั้งสองคนเดินหน้าต่อไป

 

 

“สหายเต๋าชิงเฉิน เจ้าดูเร็ว” นักพรตเชียนหานสีหน้าตื่นเต้นเล็กน้อย คลี่พัดพับออกดังฟรึบ

 

 

เห็นเพียงด้านหน้าไม่ไกลออกไป มีปากทางอยู่ ที่ปากทางกะพริบแสงสีขาว

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกปิติ ครึ่งค่อนปีมานี้เห็นปากทางนับร้อย กลับไม่เคยมีสักอันที่เป็นเช่นนี้ หรือว่าแสงสว่างนี้ส่องมาจากข้างนอก นี่จะออกไปได้แล้ว?

 

 

นึกถึงตรงนี้รีบเร่งฝีเท้า นักพรตเชียนหานกุลีกุจอตามขึ้นมา

 

 

เหลือบเห็นหน้าของนักพรตเชียนหาน มั่วชิงเฉินฝีเท้าชะงัก

 

 

“เป็นอันใดหรือ สหายเต๋าชิงเฉิน?” นักพรตเชียนหานไม่รู้เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสะอาดตั้งแต่เมื่อไร ผมทั้งลื่นทั้งตรง

 

 

มั่วชิงเฉินบ่นในใจ เป็นอันใด มิใช่กลัวมีเจ้าอยู่ แล้วจะพบเรื่องแปลกประหลาดพันลึกอะไรเข้าอีกหรือไร!

 

 

เห็นมั่วชิงเฉินไม่ตอบ นักพรตเชียนหานรุดมาถึงตรงหน้าก็จะก้าวออกไป

 

 

มั่วชิงเฉินรีบลากเขากลับมา

 

 

“สหายเต๋าชิงเฉิน?” นักพรตเชียนหานกะพริบตาดอกท้อคู่นั้น สับสนเล็กน้อย

 

 

ในแววตางงงวยนั้นแฝงด้วยความสง่างามที่บอกไม่ถูกอีก หากเป็นหญิงสาวปกติได้พบ ต้องใจเต้นระส่ำ กระวนกระวายเป็นแน่

 

 

ทว่ามั่วชิงเฉินกลับเพิกเฉยเสีย เอ่ยปากว่า “สหายเต๋าเชียนหาน อย่างไรก็ให้ชิงเฉินออกไปก่อนดีกว่านะ”

 

 

ใจคิดว่าหากเจ้าออกไปก่อน ไม่แน่ที่ที่เดิมทีปกติก็ไม่ปกติแล้ว

 

 

“ได้” นักพรตเชียนหานพยักหน้า

 

 

มั่วชิงเฉินสูดหายใจเข้าลึกๆ ไหมเกล็ดน้ำแข็งล้อมอยู่รอบกาย มือหนึ่งถือก้อนอิฐมือหนึ่งถือธนูชิงอิ่นเดินก้าวไปใกล้ทางแสงสีขาวที่ปากถ้ำก้าวหนึ่ง

 

 

ใครจะรู้ว่าร่างกายเพิ่งแตะถูกแสงสีขาว ก็รู้สึกวิงเวียนมืดฟ้ามัวดิน ยังไม่ทันมีปฏิกิริยาใดๆ ก็ถูกดูดเข้าไปทั้งตัว

 

 

นักพรตเชียนหานอึ้งเล็กน้อย จากนั้นส่ายศีรษะว่า “สหายเต๋าชิงเฉินดวงไม่ดีจริงๆ เลยนะ ช่างเถอะ อย่างไรก็เสียสละเสียหน่อย ไปช่วยคนงามแล้วกัน”

 

 

พูดพลางก็ก้าวไปทางปากถ้ำเช่นกัน

 

 

มั่วชิงเฉินสมองว่างเปล่าไปชั่วสั้นๆ จากนั้นรู้สึกว่าตัวอยู่ในน้ำวน ถูกเหวี่ยงจนหน้ามืดตามัว ร่างกายถูกเหวี่ยงออกไปโดยพลัน

 

 

ในชั่วขณะนั้น ร่างกายเหมือนหลุดจากการควบคุม แล้วตกลงไปตรงๆ เช่นนี้

 

 

เสียงดังปัง น้ำกระเซ็นขึ้น ตกลงน้ำไปอย่างไม่คาดคิด

 

 

มั่วชิงเฉินถีบขาโผล่ศีรษะออกมา เพิ่งพ่นน้ำคาวและเค็มอึกหนึ่งออกมา กลับรู้สึกหน้ามืด บนฟ้าตกลงมาอีกคนหนึ่งทับลงบนศีรษะนางอย่างแม่นยำอย่างหาใดเปรียบไม่ได้

 

 

บุ๋งๆๆๆ มั่วชิงเฉินจมลงข้างล่าง บนตัวยังมีคนคนหนึ่งเกาะไว้แน่น

 

 

หรือว่าโชคร้ายถ่ายโอนกันได้เช่นนั้นหรือ?

 

 

ทันเพียงแวบความคิดนี้เข้ามา มั่วชิงเฉินก็ตกเข้าสู่ห้วงความมืดแล้ว

 

 

ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง มั่วชิงเฉินรู้สึกเพียงว่าปวดศีรษะแทบแตก เขยิบศีรษะช้าๆ มองดู พบว่านอนอยู่บนหาดทรายสีเหลืองทอง น้ำทะเลซัดร่างกายเป็นระลอกๆ

 

 

เอ๊ะ ไยรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ?

 

 

สายตาของมั่วชิงเฉินลดต่ำลงช้าๆ มือใหญ่ข้างหนึ่งกำลังโอบเอวของนางไว้แน่น มองตามมือข้างนั้นไปข้างๆ นักพรตเชียนหานสองตาหลับสนิท นอนอยู่ข้างๆ

 

 

แทบจะเป็นปฏิกิริยาสะท้อนกลับ มั่วชิงเฉินยกเท้าขึ้นแล้วก็เตะไป

 

 

นักพรตเชียนหานถูกเตะกระเด็นทันที ตกลงบนพื้นห่างออกไปหนึ่งจั้งดังปัง

 

 

“แค่กๆ” นักพรตเชียนหานไอเสียงหนึ่ง แล้วฟื้นขึ้นมา

 

 

“สหายเต๋าชิงเฉิน เจ้าไม่เป็นไรนะ?” นักพรตเชียนหานแววตายังงงงันเล็กน้อย

 

 

“ไม่เป็นไร” มั่วชิงเฉินหน้าดำ เมื่อนึกถึงว่าถูกเขาทับหมดสติในน้ำก็รู้สึกหงุดหงิด

 

 

นักพรตเชียนหานรอยยิ้มสดใสว่า “ไม่เป็นไรก็ดี ไอยา ไยถึงเจ็บเพียงนี้?” พูดพลางจับบั้นเอวไว้

 

 

มั่วชิงเฉินมุมปากกระตุกทีหนึ่ง เบือนหน้าหนีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

 

ผ่านความงงงันยามแรกสุด ทั้งสองคนลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆ

 

 

ที่พวกเขาอยู่เป็นเกาะเดี่ยวเกาะหนึ่ง รอบๆ มีแต่น้ำทะเล บนเกาะมีเพียงต้นมะพร้าวสูง ที่เหลือก็คือทรายทองเต็มไปหมด

 

 

ส่งจิตตระหนักสำรวจ บนเกาะมีกลิ่นอายสิ่งมีชีวิตเพียงเบาบาง คิดว่าคงไม่ใช่อสูรปีศาจที่เข้าขั้นอะไร และแผ่กระจายออกรอบนอกไป ในรัศมีหลายพันลี้ ไม่คิดว่ายังคงเป็นน้ำทะเลสุดลูกหูลูกตา

 

 

“ที่นี่เป็นเกาะเดี่ยวนี่นา” นักพรตเชียนหานถอนใจว่า

 

 

ไร้สาระ มั่วชิงเฉินแอบว่า ตั้งแต่พบว่าเจ้าหมอนี่เป็นดาวซวย นางก็ทำสีหน้าดีๆ ไม่ได้จริงๆ

 

 

“เกาะเดี่ยวช่างยุ่งยากจริงๆ เลย” นักพรตเชียนหานกางแขนกางขานอนหงายลงบนหาดทราย สองมือหนุนไว้ที่ท้ายทอย

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วไม่พูดอะไร ตกลงมาที่นี่ยุ่งยากมากจริงๆ

 

 

เพิ่งใช้จิตตระหนักสำรวจมา ในรัศมีพันลี้ไม่มีสิ่งอื่นเลย แม้บอกว่าไกลพันลี้สำหรับพวกเขาแล้วไม่มีอะไร ทว่าไกลออกไปอีกล่ะ ตกลงต้องบินนานเพียงใดถึงสามารถเห็นแผ่นดินหรือหมู่เกาะได้ล่ะ?

 

 

ต้องรู้ว่าต่อให้พวกเขาเป็นนักบำเพ็ญเพียร บินบนทะเลติดต่อกันก็ไม่ไหวเช่นกัน หากไปจากเกาะนี้แล้วหาที่ร่อนลงที่อื่นไม่ได้ ก็ยุ่งยากแล้ว

 

 

บ้าที่สุด ตามเจ้าหมอนี่แล้วซวยติดๆ กันจริง ๆ มั่วชิงเฉินขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน

 

 

“เฮ่อ แม้ตกมาอยู่ที่นี่ค่อนข้างยุ่งยาก ดีที่มีสหายเต๋าชิงเฉินอยู่…” นักพรตเชียนหานเอ่ยอย่างรู้สึกโชคดีว่า

 

 

มั่วชิงเฉินน้ำตาไหลเงียบๆ พี่ใหญ่ ท่านอย่ายกย่องข้าเช่นนี้จะได้หรือไม่ รอไปจากที่นี่เราก็รีบมุ่งหน้าไปตามทางเต๋าใครทางเต๋ามันเถอะ

 

 

ต่อให้มั่วชิงเฉินหงุดหงิดเพียงใด ก็เปลี่ยนความจริงเรื่องนี้ไม่ได้ ทั้งสองคนสำรวจเกาะเล็กอย่างละเอียดรอบหนึ่ง ยังคงไม่พบอะไรใดๆ ทั้งสิ้น จึงเริ่มนั่งสมาธิ ปรึกษากันว่าเจ็ดวันให้หลังไปจากที่แห่งนี้

 

 

ใครจะรู้ว่าถึงวันที่ห้า จะมีเรือลำหนึ่งปรากฏขึ้นที่ที่ขอบฟ้าและทะเลบรรจบกันอย่างไม่คาดคิด

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] สี่เช่ว์ จีนมีนกมงคลชนิดหนึ่ง เรียกว่าสี่เช่ว์ ซึ่งคล้ายๆ นกกางเขน เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิสี่เช่ว์ก็จะเกาะกิ่งไม้ร้อง ชาวจีนเห็นว่าเสียงร้องของสี่เช่ว์ไม่เพียงแต่ไพเราะน่าฟัง หากยังบ่งบอกว่าจะมีแขกมาหาหรือจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้น ดังนั้น เมื่อได้ยินเสียงของนกสี่เช่ว์ ผู้คนก็จะรู้สึกดีใจ และบอกว่าสี่เช่ว์แจ้งเหตุดี