เปรียบได้กับว่าคุณเล่นเกม LOL เก่ง ถึงฉันจะไม่เข้าใจเกมนี้และเล่นไม่เป็นด้วย แต่ถอดปลั๊กไฟคุณได้ นั่นไม่ผิด!

ฉะนั้นแล้วเด็กแดงเลยเศร้าใจ ใช้ฤทธิ์ไม่ได้ แล้วจะเรียกข้าวมายังไง?

ลิง หมาป่าเดียวดาย กับกระรอกมองอยู่นาน ถึงจะไม่เข้าใจอยู่บ้าง แต่ฟังคำพูดของเด็กแดงกับฟางเจิ้งเข้าใจ ทำให้เข้าใจคร่าวๆ แล้ว และสถานการณ์ ตอนนี้เห็นได้ชัดเลยว่าเด็กโง่นี่ถูกเจ้าอาวาสหลอกอีกแล้ว! หมาป่าเดียวดายยังจำความแค้นที่เด็กแดงตบมันได้ จึงเห่าในฉับพลัน “จิ้งซิน นายเก่งขนาดนั้นทำไมไม่ใช่วิชาล่ะ? วิชานายล่ะ? ไม่ใช่ว่ามือหักหรอกนะ…”

เด็กแดงถลึงตามองหมาป่าเดียวดายทีหนึ่ง หมาป่าเดียวดายจึงตะโกนต่อทันที “เจ้าอาวาส เด็กนี่ถลึงตามองฉันอีกแล้ว! ฉันจะถูกต่อยแล้ว เขาต้องลงมือแน่ๆ!”

เด็กแดงโกรธจนตาเหลือก หมุนตัวกลับไปใช้วิชาต่อ

ลิงกับกระรอกอยู่กับหมาป่าเดียวดายมานาน มีความผูกพันลึกซึ้ง จึงรีบพูดซ้ำเติมไป “จิ้งซิน สู้ๆ นะ! คุยโม้ไปแล้วนี่ ถ้าทำเรื่องที่โม้ไว้ไม่ได้คงน่าขายหน้าตายเลย!”

กระรอกพูดด้วยมาดขรึม “ถ้าฉันเป็นจิ้งซินแล้วพิสูจน์ตัวเองไม่ได้ ก็คงไม่มีหน้าออกไปไหนแล้ว”

เด็กแดงได้ยินชัดเจน เป็นครั้งแรกที่รู้สึกเสียใจที่ฟังภาษาสัตว์ออก นี่เรียกว่าหาเรื่องใส่ตัวรึเปล่า?

ทว่าตอนนี้เด็กแดงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมาก เขาใช้ฤทธิ์ไม่ได้แล้ว จะเล่นลูกไม้อะไรได้? หลังจากถ่วงเวลามาสักครู่ สุดท้ายก็ยังใช้ไม่ได้ จึงทำหน้าหนาพูดด้วยหน้าแดงว่า “ดูวิชาตักข้าวของข้า!” พูดจบก็หยิบชามใบหนึ่ง หย่อนก้นนั่งบนฐานเตา เขาไม่ลงมาแล้ว แต่เริ่มกินตรงนั้นเลย

หมาป่าเดียวดายพูดทันที “ว้าว อภินิหารเจ๋งโคตร ฉันยังทำไม่ได้เลย ลิง นายทำได้รึเปล่า?”

น่าเสียดาย ด้วยความที่ต่างเผ่าพันธุ์กัน เจ้าลิงไม่เข้าใจว่าหมาป่าเดียวดายพูดอะไร แต่อยู่ด้วยกันมานานก็พอเข้าใจความหมายของหมาป่าเดียวดายบ้าง จึงตอบกลับ “เป็นอภินิหารความยากระดับสูงมาก เหมือนว่าฉันจะทำได้เหมือนกัน…”

กระรอกพูดตาม “ฉันก็ทำได้เหมือนกัน!”

เด็กแดงอายจนหน้าแดงไปหมด เหมือนกับหัวผักกาดสีแดงหัวใหญ่

ฟางเจิ้งไม่สนใจ นั่งลงมองพลางหัวเราะเบาๆ ถึงเขาไม่มีใบชา แต่เอาหน่อไม้มาหักเป็นชิ้นเล็กๆ โยนไปในชาม ดื่มคู่กับน้ำบริสุทธิ์ เมื่อดื่มจะมีรสชาติอีกแบบ เขาจิบชา นั่งดูละคร มีอิสระหายห่วง…

เด็กแดงกินไปชามหนึ่งแล้วพลันพบว่าสถานการณ์ผิดแปลกไป ฤทธิ์หายไปแล้ว ในท้องไม่มีอัคคีฌาน เขาจะผลาญข้าวผลึกในท้องได้อย่างไร? ถ้าผลาญไม่ได้ ดูจากข้าวผลึกหนึ่งหม้อแล้ว เด็กแดงรู้ทันทีว่าภารกิจนี้ค่อนข้างยากแล้ว…

“จิ้งซิน สู้ๆ อาจารย์ไม่ไร้ความเป็นธรรมกับท้องของนายหรอก กินหมดหม้อนี้แล้ว อาจารย์จะหุงให้อีกหม้อ! แน่นอนว่าห้ามสิ้นเปลืองเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น หึๆ…เกรงว่าเย็นนี้อาตมาคงจะอดใจสวดมนต์สนทนาธรรมไม่ได้แน่ๆ…” ฟางเจิ้งลากเสียงยาว แต่กลับคิดในใจว่า ‘เด็กดื้อ? คิดว่าจะมีเด็กที่ดื้อกว่าอาตมาตอนเด็กอีกเหรอ? จะสอนเด็กดื้อต้องใช้วิธีของเด็กดื้อ! ไม่มีอภินิหาร ใครจะกลัวใครกันล่ะ?!’

ตอนฟางเจิ้งยังเด็กเขาเป็นราชาในหมู่เด็ก ตอนนั้นทุกคนไม่แบ่งชนชั้นกัน เขาใช้ความดื้อที่สุดสร้างชื่อเสียงไปหลายหมู่บ้าน แต่ต่อมาพอเข้าเรียนแล้ว นักเรียนเริ่มแบ่งชนชั้นสูงต่ำกัน ปัญหาส่วนตัวของฟางเจิ้งเริ่มถูกเปิดเผยออกมา ดังนั้นชีวิตจึงไม่เป็นดังหวังนัก แต่ถ้าอ้าปากด่าแม่ ใครจะกล้าเหิมเกริมกับเขา แถมยังเคยทำเรื่องพวกทุบอิฐจากข้างหลังหรือหันมาหวดไม้กระบองมาไม่น้อยอีก

พอนึกถึงเรื่องไม่ถูกต้องของตัวเองในวัยเด็ก ฟางเจิ้งอดส่ายหน้าไม่ได้ บางครั้งก็ต้องขอบคุณระบบจริงๆ ถ้าไม่ได้ระบบใช้ฟ้าผ่ามาขู่ขวัญเขา ตอนนี้เขาอาจพูดได้เต็มปากว่า ‘ใช้ชีวิตระยำหมา’ ไปแล้ว

ถึงจิตใจดี แต่บางสิ่งในเนื้อแท้กลับเปลี่ยนไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

ทว่าตอนนี้หรือ…ฟางเจิ้งพอใจกับการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ของตนมาก ด้วยปัจจัยตอนนี้ ถ้าสึกไปอย่างน้อยก็ถือว่าเป็นผู้ชายที่สุภาพมีมารยาทคนหนึ่งล่ะมั้ง…คิดได้ดังนั้นฟางเจิ้งก็อดยิ้มไม่ได้

เด็กแดงที่กำลังพยายามกินชำเลืองมองฟางเจิ้ง เห็นฟางเจิ้งกำลังยิ้มอยู่ตรงนั้น จึงเกิดเพลิงสุมในใจ มั่นใจแล้วว่าเป็นฝีมือไอ้สารเลวหัวโล้นนี่ ทำให้เขาไม่มีฤทธิ์เดช ทำให้หน้าแตก!

ช่วยไม่ได้ ในเมื่อไม่มีฤทธิ์แล้ว เด็กแดงไม่กล้ากำเริบเสิบสานกับฟางเจิ้ง ได้แต่กินต่อด้วยความกลุ้มใจ ทว่ากินไปสองชามก็ยังเหลืออีกหม้อใหญ่ จะกินได้อย่างไรล่ะ!

“จิ้งซิน นายต้องรีบกินหน่อยนะ” ฟางเจิ้งเอ่ยเตือน

เด็กแดงกลอกตา มองลิงหมาป่าเดียวดายและกระรอก ก่อนพลันเกิดความคิด เอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าสามตัวหิวหรือไม่ ถ้าหิว มหาราชา…อะแฮ่ม ศิษย์พี่จะไม่ถือสาแบ่งให้พวกเจ้าสักเล็กน้อย เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมอาจารย์เดียวกัน ควรจะดูแลซึ่งกันและกัน ไม่ต้องเกรงใจ มากินด้วยกันเถอะ”

แต่สัตว์สามตัวมองตากัน ไม่ต้องมองฟางเจิ้งก็พากันส่ายหน้าแล้ว! น่าตลก ไอ้เด็กนี่มาวัดเอกดรรชนีแล้วก็พ่นไฟ ต่อยตีหมาป่า เอะอะก็จะกินข้าวหนึ่งหม้อ! กว่าจะหาโอกาสจัดการเจ้านี่ได้ไม่ง่ายเลย ต่อให้พวกมันหิวก็จะให้ฝ่ายตรงข้ามกินข้าวหนึ่งหม้อให้หมด!

เวลานั้นหมาป่าเดียวพูดอย่างมีเลศนัย “ฉันไม่หิว นายกินเยอะๆ เถอะ หิวขนาดนั้น ควรจะโทษเจ้าอาวาสมากกว่าที่ไม่ให้ข้าวนายกิน ทารุณเด็กน้อย แต่ฉันต้องขอเตือนนายนะว่าพวกเราเข้าวัดก่อนนาย ดังนั้นนายควรเรียกพวกเราว่าศิษย์พี่!”

เด็กแดงโกรธแล้ว “ถุย! เจ้านี่มัน…”

“อมิตาพุทธ!” ฟางเจิ้งได้ยินเด็กแดงจะด่าแม่ จึงสวดไปบทหนึ่งทันที

เด็กแดงกัดฟันกลืนคำพูดต่อมากลับไป ก่อนจะแค่นเสียง “อาจารย์ ท่านคงไม่รับเดรัจ…เอิ่ม รับสัตว์สามตัวนี้เป็นศิษย์ใช่ไหม?”

ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ ถามกลับว่า “มีอะไรไม่ได้กัน? ทุกสรรพสัตว์มุ่งสู่ความดีได้ พวกเขามีใจใฝ่ธรรมะ ทำไมจะรับไม่ได้?”

เด็กแดงถามด้วยความไม่ยอม “ถ้าอย่างนั้นนามทางธรรมของพวกมันคือ?”

ลิงหมาป่าเดียวดายและกระรอกมองฟางเจิ้งด้วยสีหน้ามุ่งมาดปรารถนา สำหรับนักบวชแล้ว นามทางธรรมคือตราประทับ ถ้าได้รับนามทางธรรมแล้วจะถือว่าอยู่วัดเอกดรรชนีจริงๆ

ฟางเจิ้งเข้าใจความหมายของเจ้าสามตัวนี้ จึงยิ้มว่า “ถึงพวกนายสามตัวจะเข้าวัดเอกดรรชนีก่อน แต่อาตมาไม่เคยให้นามทางธรรม นั่นเพราะจะดูพฤติกรรมซะก่อน แต่ว่าตอนนี้มาดูแล้ว อาตมาพอใจกับพวกนายมาก เจ้าหมาป่า นายเข้าวัดเอกดรรชนีคนแรก ตอนแรกมีนิสัยดุร้าย ตอนนี้เห็นแก่เล่น แต่นี่คือนิสัยดั้งเดิมของนาย การบำเพ็ญเพียรไม่จำเป็นต้องละทิ้งเอกลักษณ์ทั้งหมด พุทธแบบนั้นเป็นเพียงร่างจำแลงของพุทธเท่านั้น ไม่มีวันสำเร็จในตัวเองได้ จำเอาไว้ จากนี้ไปจะทำอะไรให้คิดก่อนสามรอบ อย่าใจร้อน ให้ใช้ความดีเป็นพื้นฐานของทุกเรื่อง

เจ้ากระรอก นายฉลาดมีไหวพริบ แต่ใจแคบ จัดการเรื่องราวไม่ใจกว้างพอ ถึงตัวเล็ก แต่ใจกว้างสักหน่อยได้

เจ้าลิง อาตมาให้จีวรนายแล้ว ก่อนหน้านี้ยังเคยให้ชื่อไปด้วย แต่นั่นเป็นเพียงชื่อชั่วคราว ก่อนหน้านี้นายไม่สนใจกฎ เห็นอะไรหยิบอันนั้น ทำอะไรไม่รู้จักหนักเบา จากนี้จำเอาไว้ว่าทุกเรื่องมีกฎ กฎไม่ได้ใช้ผูกมัดนาย แต่ใช้เพื่อเคารพผู้อื่น และก็เพื่อให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ดีขึ้น

วันนี้อาตมาจะขอมอบนามทางธรรมให้พวกนายอย่างเป็นทางการ! เจ้าหมาป่าเข้ามา!”

……………………..………..