เซี่ยงชีหันมามอง

“ข้าเป็นเพียงแค่ขุนนางชั้นผู้น้อย มีชีวิตอันสงบสุข แม่นางเป็นผู้ใด ข้าไม่ทราบ และไม่ต้องการจะทราบ” เขาเอ่ย

“แต่ข้าต้องบอกเจ้าเอาไว้” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ไม่รู้ว่าเจ้าเคยได้ยินเรื่องหมอเทวดาที่สามารถชุบชีวิตคนตายได้มาที่เมืองหลวงแห่งนี้เมื่อปีที่แล้วบ้างหรือไม่ หมอเทวดาที่เป็นที่รู้จักในนามลูกศิษย์ของนักพรตหลี่เจ้าสำนักเต๋า ช่วยชีวิตนายท่านแห่งตระกูลเฉิน และผู้ที่เล่นแร่แปรธาตุเสียจนเกือบจะรักษาชีวิตไว้ไม่รอดอย่างบัณฑิตถง”

เซี่ยงชีคิดไม่ถึงว่านางจะพูดเรื่องนี้ขึ้น สีหน้าจึงตะลึงไม่น้อย

ข่าวของคนน่ากลัวเช่นนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงตั้งนานแล้ว ซ้ำยังเกินจริงไปมาก เขาที่ดูแลประตูเมืองย่อมเคยได้ยินได้ฟังมาก่อน

แต่เหตุใดจึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเล่า เขามองเฉิงเจียวเหนียงไม่ตอบคำใด

“ข้าคือหมอเทวดาผู้นั้น” เฉิงเจียวเหนียงบอกพลางยื่นมือออกไป “ลูกศิษย์ท่านอาจารย์หลี่ผู้นี้ มีเคล็ดลับวิธีฟื้นคืนชีพ สามารถแย่งชีวิตคนกับยมบาลได้”

ท่านชายโจวหกกับปั้นฉินที่อยู่ด้านข้างต่างตกใจ

ข่าวลือเกี่ยวกับเฉิงเจียวเหนียงในฐานะหมอเทวดาที่มีฝีมือย่อมมีอยู่มากมาย แต่นางเองไม่เคยออกตัวยอมรับสักครั้ง

วันนี้นางมาบอกออกไป ทำเอาผู้คนตกอกตกใจกันยกใหญ่

หรือว่าจะเป็นเรื่องจริง

สีหน้าเซี่ยงชีเปลี่ยนพลัน ราวกับไม่อยากจะเชื่อ

“ละ…แล้วอย่างไรเล่า” เขาเอ่ย

“แน่นอนว่าต้องเอาชีวิตเจ้าแล้ว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

“จะ…เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเอาชีวิตข้า! อาศัยการเดาของเจ้าน่ะหรือ” เซี่ยงชีกัดฟันตะคอก

“ถูกต้อง” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ข้าอาศัยการเดาของข้า ข้าเดาว่าเจ้าใส่ร้ายพวกเขา ใส่ร้ายเรือนไท่ผิงของข้า ดังนั้น เจ้าก็คือศัตรูของข้า ศัตรูของข้า หรือว่าข้าต้องเป็นผู้มีพระคุณให้กราบให้ไหว้ด้วย”

คาดเดาหรือ นี่มันไม่มีหลักฐาน เขาจะไม่ยอมให้หญิงผู้นี้ขู่ขวัญเอาได้ง่ายๆ!

“ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น!” เซี่ยงชีปฏิเสธ “เจ้าจะมาใส่ร้ายข้าแบบนี้ไม่ได้!”

“ปากแข็งเสียจริง! ยังจะเสียเวลาพูดคุยอะไรกับเขาอีก!” ท่านชายโจวหกตบโต๊ะตะคอกขึ้นอย่างอดไม่อยู่

“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร” เซี่ยงชีตะคอกด้วยความหวาดกลัว เขานึกขึ้นได้แล้ว ท่านชายผู้นี้คือคนที่นั่งอยู่ในห้องของผู้คุมประตูคุกเมื่อเช้านี้ ยามที่เขาถูกเรียกเข้าไปเขียนหนังสือราชการ เขาอาศัยโอกาสตอนที่คนยกน้ำชาเข้ามา แหวกม่านออกแอบดูอยู่แวบหนึ่ง

คนที่บงการผู้คุมประตูคุกได้ย่อมมีตำแหน่งที่สูงกว่าผู้คุมขึ้นไปอีก

“ไม่ได้คิดจะทำอะไร เพียงแค่บอกเจ้าไว้เฉยๆ ว่า…” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยต่อ “อายุขัยของเจ้าจบลงที่วันนี้แล้ว”

“พวกเจ้ากล้าฆ่าคนตามอำเภอใจอย่างนั้นหรือ!” เซี่ยงชีตะโกนพลางถอยหลังไปเรื่อยๆ แต่ประตูกลับถูกคนข้างนอกดึงเอาไว้

“ข้ามีเงิน” เฉิงเจียวเหนียงบอก “ทั้งค่ารักษาที่ได้มามากมายมหาศาล ไหนจะเรือนไท่ผิง เต้าหู้ไท่ผิง เรือนนางฟ้า เงินที่ข้ามี ชาตินี้ของเจ้าและตระกูลต่งของพวกเจ้าทั้งชาติก็หามาไม่ได้”

เซี่ยงชีพิงประตูไว้

“อีกทั้งยังมีอำนาจ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยต่อ ยกมือขึ้นชี้ไปที่ท่านชายโจวหก “เขาคือพี่ชายของข้า…”

พี่ชาย…

นี่คงเป็นครั้งแรกที่หญิงผู้นี้เรียกเขาว่าพี่ชายกระมัง

ท่านชายโจวหกขนลุกไปทั่วร่าง รู้สึกลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุข

“กุยเต๋อหลางเจียงตระกูลโจว… เจ้าน่าจะรู้จัก แม้จะไม่ได้มีอำนาจมากมาย แต่อย่างน้อยเมื่อเทียบกับขุนนางชั้นต่ำอย่างเจ้า เทียบกับตระกูลต่งแล้วก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตระกูลของเฉินเซ่าหรืออำมาตย์เฉินที่มีข้าเป็นผู้มีพระคุณ ไหนจะตระกูลหลินอย่างบัณฑิตถงและคนอื่นๆ อีกมากมายที่รอให้ข้าเอ่ยปาก ตระกูลที่พึ่งพาอาศัยข้าให้ชุบชีวิตฟื้นคืนแก่พวกเขา คนอย่างเจ้า ในสายตาข้านั้นก็เหมือนมดตัวหนึ่ง ไร้คุณค่า”

ชื่อของคนใหญ่คนโตในอดีตที่ยากจะได้ฟังถูกพูดถึงทีละคนทีละคน เซี่ยงชีเบิกตาโต ในที่สุดก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

“เจ้าว่า คนอย่างข้า หากอยากจะบีบมดตัวหนึ่งอย่างเจ้าให้ตาย ยังต้องเกรงกลัวอะไรอีกหรือ”  เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม “เจ้าอยากจะลองดูไหมล่ะ ตอนนี้ข้าจะตีเจ้าจนตายต่อหน้าฝูงชนในโถงใหญ่ของเรือนนางฟ้า ลองดูว่าจะมีใครทำอะไรข้าหรือไม่”

เซี่ยงชีแข้งขาอ่อนแรง พิงประตูนั่งลงไปกองกับพื้น

“เจ้าว่าคนอย่างข้า ปักใจไปแล้วว่าเรื่องนี้เป็นเจ้าที่ทำ ยังจำเป็นต้องมาถามเจ้าอยู่อีกหรือ” เฉิงเจียวเหนียงมองชายหนุ่มที่ไม่หลงเหลือความมั่นอกมั่นใจดั่งตอนที่เดินเข้ามาเลยแม้แต่น้อย นางยิ้มบางออกมา “ชีวิตของเจ้าข้า อยากจะเอาก็ต้องได้”

“แม่นาง แม่นาง เรื่องนี้เป็นข้าโดนบังคับนะ” เซี่ยงชีพลันตะโกนขึ้น นั่งคุกเข่าลงตรงหน้าร้องไห้น้ำหูน้ำตาท่วม

เป็นเขาที่ทำจริงๆ ด้วย!

ท่านชายโจวหกมองเฉิงเจียวเหนียงอย่างอดไม่ได้ แม้จะบอกว่าชายคนนี้ร้อนตัวและไม่เอาไหน แต่คำถามกรีดแทงที่ไล่ต้อนของหญิงสาวก็ทำเขาเอาตกใจเป็นอย่างมาก

“ใครบังคับเจ้ากัน” ท่านชายโจวหกตะคอกถาม “รีบบอกมา!”

“ข้าไม่รู้ ข้าน้อยไม่รู้ ข้าน้อยไม่เคยเห็นหน้า เพียงแค่…เพียงแค่…” เซี่ยงชีก้มหน้าร้องห่มร้องไห้เอ่ย ในใจความคิดยุ่งเหยิงตีกันวุ่นวาบ จะทำเช่นไรดี เรื่องนี้หากผลักออกไปก็ไม่มีหลักฐานมายืนยันอีก “เพียงแค่ได้รับจดหมายมาฉบับหนึ่ง เนื้อหาในนั้นบอกว่าให้ข้าน้อยทำเช่นนี้ มิฉะนั้น มิฉะนั้นจะเอาชีวิตทั้งครอบครัวของข้าน้อย…”

“ยังจะปากแข็งอีก!” ท่านชายโจวหกพลันลุกขึ้นตะคอก “ดูแล้วไม่กลัวตายจริงๆ!”

มองดูชายหนุ่มกลิ่นอายแฝงจิตสังหารตรงหน้าเดินตรงเข้ามาหา เซี่ยงชีก็ตกใจจนขวัญผวา

“ช่างเถอะ” เฉิงเจียวเหนียงพลันเอ่ยขึ้น

ท่านชายโจวหกชะงักฝีเท้า

“เจ้าจะสารภาพหรือไม่ก็ตามแต่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ข้าบอกไปแล้ว ข้าเรียกเจ้ามาก็เพื่อจะบอกเจ้าไว้ เรื่องเจ้าเขียนจดหมายสนเท่ห์เล่นงานฟ่านเจียงหลินและคนอื่นๆ ข้ารู้หมดแล้ว และข้าเป็นใคร คนอย่างข้าจะจัดการกับเจ้าเช่นไร แต่ทว่า ข้าเพียงบอกให้เจ้ารู้เท่านั้น ไม่ได้จะทำอะไรเจ้า”

เช่นนั้นต้องการจะทำอะไรกันแน่ล่ะ!

อย่าว่าแต่เซี่ยงชีที่สมองถูกทรมานให้เดี๋ยวมั่นใจเดี๋ยวหวาดผวาให้วุ่นวายเสียจนสับสนมึนงง แม้แต่ท่านชายโจวหกก็สับสนเช่นกัน

“เจ้าไปเถอะ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย

เซี่ยงชีตาเบิกกว้าง

หมายความว่าอย่างไร

“เจ้าไปเถอะ คนอย่างเจ้าไม่ต้องให้ข้าทำอะไรหรอก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “เพราะอายุขัยของเจ้ามีถึงแค่วันนี้แล้ว ไม่ต้องให้มือข้าสกปรก”

หญิงสาวนางนี้บ้าไปแล้วกระมัง

อายุขัยของข้ามีถึงแค่วันนี้แล้วมันคืออะไร เล่นตลกหรือ

คงเกรงกลัวคนหนุนหลังของเขากระมัง

ดูแล้วที่เมื่อครู่เขาโอ้อวดว่ามีคนหนุนหลังก็ทำถูกแล้ว!

ไม่ไปยามนี้ แล้วจะไปยามไหน!

เซี่ยงชีลุกขึ้นมาในทันที แล้วหันหลังเดินไปทางประตู

ครั้งนี้ประตูไม่โดนดึงเอาไว้จึงเปิดออกไปได้

“เจ้าคงรู้สึกว่าคำที่ข้าพูดมาน่าขันใช่หรือไม่”

เสียงแหบพร่าของหญิงสาวดังขึ้นด้านหลัง

“เจ้าอย่าลืมว่าข้าเป็นใคร”

“ในเมื่อข้าทำให้คนตายฟื้นขึ้นมาได้ เหตุใดจะทำให้คนชะตาขาดไม่ได้”

เท้าข้างหนึ่งของเซี่ยงชีที่ก้าวออกประตูไปพลันสั่นไหว แล้วอ่อนยวบลง ทั้งร่างร่วงลงพื้นไป เขาไม่ได้หันกลับไป ทว่ากลับล้มลุกคลุกคลานออกไปทั้งอย่างนั้น

เซี่ยงชีไม่รู้ว่าตนออกมาจากเรือนนางฟ้าได้อย่างไร ใบหน้าของเขาซีดเผือด เหงื่อออกไปท่วมตัว เดินโซซัดโซเซไปมา

น่ากลัวนัก ช่างน่ากลัวนัก

สวรรค์ หากเขารู้ว่าพวกสวีเม่าซิวมีความสัมพันธ์กับเรือนไท่ผิงล่ะก็ ตีเขาให้ตายก็จะไม่เขียนจดหมายนิรนามนั่น!

เรื่องในเรือนไท่ผิงไม่ต้องไปซักถาม สุ่มเลือกมาสักคนตามถนนก็บอกเล่าออกมาได้

อันธพาลห้าคนที่ถนนตะวันตกอย่างจูอู่ นักเลงที่แต่งการเหมือนพ่อค้านายหน้าผู้นั้น ไปยั่วโมโหเรือนไท่ผิงเข้า จึงถูกสังหารตายคาที่ ถูกบังคับตามกฎหมายให้ฆ่าตัวตาย เรือนนางฟ้าถูกคนของเรือนไท่ผิงถล่มไปคราหนึ่ง สุดท้ายทวงความยุติธรรมคืนมาไม่ได้ เรือนนางฟ้าทั้งร้านกลับตกเป็นของเรือนไท่ผิง

ดูแล้วจะไปล่วงเกินพวกคนร่ำรวยมีอำนาจไม่ได้จริงๆ แม้เขาจะเป็นขุนนางชั้นผู้น้อย แต่ก็รู้ว่าชีวิตเขาในเมืองหลวงยังเทียบไม่ได้กับอันธพาลเสเพลพวกนั้น

สมควรตายนัก เหตุใดถึงซวยเช่นนี้! เหตุใดไม่ดูให้ดีเสียก่อนแล้วค่อยตัดสินใจลงมือทำ!

เป็นเพราะโมโหจนเลือดขึ้นหน้า จึงได้ทำเรื่องสะเพร่าเช่นนี้ แกว่งเท้าหาเสี้ยนเข้าให้แล้ว!

หรือสุดท้ายตัวเขาต้องตายจริงๆ

‘อายุขัยของเจ้ามีถึงแค่วันนี้แล้ว’

เห็นท่าจะไม่ดี ไม่ดี จุดหว่างคิ้วเปลี่ยนเป็นสีดำ ต้องมีหายนะเกิดขึ้นเป็นแน่

ในหัวของเขามีเสียงของสองคนนั้นดังขึ้นวนซ้ำไปมา

นึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญเช่นนี้ ทั้งคู่ต่างพูดเหมือนกัน หรือจะคราวเคราะห์เข้าให้แล้วจริงๆ

เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้หรอก คำพูดเหลวไหลทั้งเพ!

เซี่ยงชีหายใจแรงขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นถี่รัว เขายกมือขึ้นกุมหน้าอกไว้ ราวกับว่าหากไม่จับเอาไว้ใจจะหลุดออกจากอกอย่างไรอย่างนั้น เดินโซซัดโซเซฝ่าฝูงชนบนถนนไป

เสียงหัวเราะพูดคุยจอแจล้วนเข้าหูมา แต่กลับฟังอะไรไม่ชัดแจ้ง

“เซี่ยงชี!”

เสียงตะโกนดังลั่นขึ้นมาจากด้านหน้า

เซี่ยงชีพึมพำมองอย่างงุนงง เห็นคนกลุ่มหนึ่งวิ่งมาทางนี้

“อยู่นั่น!”

ชายหนุ่มร่างกายกำยำที่วิ่งนำมา ชี้นิ้วมาที่เขาแล้วตะโกนขึ้น ในมือถือกระบองไม้เอาไว้

ไม่ได้มีแค่คนเดียว คนที่ตามมาด้วยในมือล้วนถือกระบองไม้ไว้

พวกเขาจะทำอะไร

ถึงอย่างไรก็อยากจะฆ่าเขาอยู่ดีใช่หรือไม่

เมื่อครู่ก็แค่พูดให้ดูดีเท่านั้น!

เซี่ยงชีหยุดฝีเท้าอย่างอดไม่ได้ ก่อนจะเริ่มค่อยๆ ก้าวถอยไป

กลางถนนเช่นนี้ก็กล้าทำร้ายเขาหรือ นี่ช่างบ้าดีเดือดเกินไปแล้ว ไม่มีทางเด็ดขาด!

“เซี่ยงชี เจ้าทำเรื่องงามหน้านัก!”

เสียงตะโกนดังขึ้นกลางฝูงชน เป็นเสียงอันคุ้นเคย

เซี่ยงชีมองอย่างตกใจ นึกไม่ถึงว่าจะเป็นนายใหญ่ต่งที่อยู่ท่ามกลางคนกลุ่มนั้น

นายใหญ่ต่งสีหน้าบึ้งตึง แม้จะอายุมากแล้ว แต่ฝีเท้ากลับไม่ช้าไปกว่าชายฉกรรจ์พวกนั้นเลย อีกฝ่ายเดินเข้ามาหาเขา

เจ้าทำเรื่องงามหน้านัก!

เขารู้แล้ว! นายใหญ่ต่งรู้เรื่องแล้ว!

เซี่ยงชีพลันหวาดกลัวสุดขีด หัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ

พ่อตาเขาคนนี้ ไม่ ไม่ ท่านพ่อ เขาเป็นลูกเขยที่แต่งเข้าบ้าน ต้องเรียกท่านพ่อ

ท่านพ่อของเขาผู้นี้ อยู่เมืองหลวงลำพังตัวคนเดียว อาศัยที่คำดูถูกจากผู้คนเป็นแรงผลักดันทำให้ครอบครัวร่ำรวยขึ้นมา เดิมก็ไม่ใช่คนดีอะไร มือก็ใช่ว่าจะสะอาด

ท่านพ่อดูถูกเขามาตั้งแต่ไหนแต่ไร พอไม่ได้สวีเม่าซิวก็เอาเขาที่เป็นอันดับสองแต่งเข้ามาเป็นลูกเขย เพียงเพื่อให้มีทายาทสืบตระกูลเท่านั้น

ยามนี้เขามีทายาทให้แก่ตระกูลต่งสองคน สำหรับตระกูลต่งแล้ว เขาหมดประโยชน์ลงแล้ว!

เขาคงอยากจะถีบลูกเขยคนนี้มาตั้งนานแล้วกระมัง

โดยเฉพาะตอนนี้มีสวีเม่าซิวแล้ว ดูวันนั้นที่สวีเม่าซิวมาหาที่บ้านสิ ตาแก่ตายยากนี่ท่าทางดีใจเสียเต็มประดา อยากให้สวีเม่าซิวเรียกว่าพ่อจนแทบแย่!

ยิ่งยามนี้ตาแก่นี่รู้แล้วว่าเขาทำอะไรลงไป ยิ่งมีข้ออ้างมากำจัดเขาแล้ว!

ลูกเขยอย่างเขาคนนี้ เดิมก็มีตำแหน่งไม่ต่างจากหมูจากหมา ต่อให้ตีจนตายก็ไม่มีใครมาสนใจ!

พวกเขาจะตีเขาให้ตายแล้ว! พวกเขาจะตีเขาให้ตายแล้ว!

เซี่ยงชีตะโกนขึ้น แล้วหันหลังวิ่งหนี

“เจ้ายังจะกล้าวิ่งหนีอีก! จะวิ่งไปไหน!”

เสียงตะโกนด้วยความโมโหของนายใหญ่ต่งดังขึ้นจากด้านหลัง

เซี่ยงชียิ่งเร่งฝีเท้าวิ่งเร็วขึ้น แต่ไม่รู้ว่าเหยียบโดนอะไรเข้า ขาพลันโซเซล้มลงบนบันไดอิฐของร้านค้าแห่งหนึ่งที่อยู่ข้างถนนเข้า

เสียงกรีดร้องดังลั่นถนน

ปั้นฉินปิดปากตัวเองแน่นสนิทกั้นเสียงกรีดร้องนั้นไว้ ตาเบิกโพลงมองเซี่ยงชีที่นอนคว่ำหน้าอาบเลือดไหลนองท่วมหัวอยู่บนพื้น

พระเจ้าช่วย ! พระเจ้าช่วย ! พระเจ้าช่วยด้วย !

…………………