หน้าประตูเรือนนางฟ้าคนแน่นขนัด เสียงผู้คนโห่ร้องไม่ขาดสาย แทรกด้วยเสียงก่นด่าประปราย
คนที่มาทีหลังเบียดตัวเข้าไปไม่ได้ มองไม่เห็นฟังไม่ได้ยินก็อยากรู้อยากเห็นจนต้องเขย่งขึ้นมอง เอาแต่ถามคนด้านหน้าไม่หยุดว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น
“ตาเฒ่าคนหนึ่งไล่ตีลูกเขย.. จนลูกเขยล้มหัวฟาดตายน่ะสิ…”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ไล่ตี ลูกเขยหนีหนี้เลยถูกตามไล่ตีต่างหาก ตาเฒ่านั่นตามคนมาช่วย แต่ลูกเขยตกใจนึกว่าคนมาไล่ตีเลยวิ่งหนี สุดท้ายล้มหัวฟาดตายต่างหาก…”
“ดีๆ อยู่แท้ๆ เหตุใดถึงล้มหัวฟาดตายได้เล่า…”
“ก็อย่างว่านั่นแหละ เถ้าแก่ร้านนั้นกำลังแต่งร้านเตรียมต้อนรับเจ้าใหญ่นายโต เห็นบอกว่าจะปิดถนนทั้งเส้น ทำบันไดเสียยาวเชียว แล้วอย่างไรเล่ามีคนสะดุดล้มจนหัวฟาดตายไปแล้ว…”
“เช่นนี้ก็ได้หรือ…”
“ตาเฒ่านั่นคือเฒ่าแก่ต่งหน้าเงินนี่ แม้แต่ดอกไม้ใบหญ้าก็เอามาขายหากินได้ ลูกเขยล้มหัวฟาดตานจนเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ อย่างไรก็ต้องหากำไรเสียหน่อย”
ผู้คนบนถนนถกเถียงกันไปต่างๆ นานา ยิ่งพูดก็ยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นประเด็นร้อนไปถึงหูทางการจนต้องส่งคนมาสอบสวนถึงที่ ฉุดกระชากลากถูกันอยู่นาน กว่าจะพาตัวนายใหญ่ต่งกับพรรคพวกและเถ้าแก่เจ้าของร้านที่เอาแต่ร้องไห้ รวมถึงศพคนตายไปที่ศาลาว่าการ ผู้คนมากมายตามไปยังศาลาว่าการด้วยความอย่างรู้อย่างเห็น คนบนถนนจึงได้เริ่มบางตาลง
ภายในห้องส่วนตัวชั้นสองที่ติดริมถนน ท่านชายโจวหกปลดม่านลง ก่อนจะหันไปมองเฉิงเจียวเหนียง
ตั้งแต่ตั้งจนจบ หญิงผู้นี้ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะเตี้ยดังเดิม นางกำลังกินข้าวอย่างตั้งอกตั้งใจ
ไม่อยากจะเชื่อ…เลยจริงๆ
“เจ้าทำได้อย่างไร” เขาถามออกมาอย่างอดไม่ได้
“ทำเรื่องอะไรได้อย่างไร” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยทว่าไม่เหลียวหันมามองแม้แต่น้อย
“เจ้าจะบอกว่าเขาล้มหัวฟาดพื้นจนตายเองอย่างนั้นหรือ” ท่านชายโจวหกเดินตรงเข้าไปก่อนนั่งคุกเข่าลงตรงหน้านางแล้วเอ่ยถาม
“หากไม่ใช่ล้มหัวฟาดพื้นตาย แล้วจะเป็นอะไรตายไปได้เล่า” เฉิงเจียวเหนียงถามกลับ “ข้าไม่ได้เอาแต่มองไปนอกหน้าต่าง ข้าไม่รู้”
แสร้งทำเป็นไขสือไม่รู้เรื่องอีกแล้ว
ท่านชายโจวหกโมงไปที่นาง
“เจ้าตั้งใจเลือกห้องนี้เป็นการเฉพาะ ไม่ใช่เพื่อเอาไว้คอยมองเขาตายหรอกหรือ” เขาเอ่ย
“นี่คือห้องที่ดีที่สุดของเรือนนางฟ้า ข้าย่อมเลือกใช้ห้องนี้อยู่แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะเชื่อคำพูดนี้!
ท่านชายโจวหกส่งเสียงฮึดฮัด
ตั้งแต่เขามา เขาไม่ได้ดื่มชา ไม่ได้กินขนม ไม่มีอะไรเข้าปากเลยแม้แต่น้อย หรือว่านี่จะเป็นกลิ่น…
เขาเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมองรอบกาย ก่อนจะพยายามสูดดม
นี่คือห้องซิ่งฮวาของเรือนนางฟ้า ภายในห้องตกแต่งด้วยดอกซิ่งฮวาและธูปหอม
จะเป็นกลิ่นของดอกซิ่งฮวาหรือไม่ ชายหนุ่มอย่างท่านชายโจวก็แยกไม่ออกเช่นกัน ทว่ากลิ่นนั้นเบาบางจนแทบไม่ได้กลิ่นเสียด้วยซ้ำ
“เจ้าใช้อะไรกันแน่” เขาถามอย่างอดไม่ได้ “ยาพิษหรือ”
“บนโลกนี้จะมีผู้ใดใช้ยาพิษกับเป้าหมายแล้วผู้อื่นจะไม่โดนพิษด้วยได้เล่า” เฉิงเจียวเหนียงถาม “หากทำเช่นนั้นตามใจหมายได้ ก็คงบรรลุเป็นเทพเซียนแล้วกระมัง”
“แล้วเจ้าไม่ใช่เทพเซียนหรือไร” ท่านชายโจวหกเอ่ยเสียงเย้ยหยัน
“หากข้าเป็นเทพเซียนจริง จะมาเปลืองน้ำลายกับคนเช่นนั้นทำไมกัน” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย ก่อนจะค่อยๆ คีบข้าวออกจากถ้วย
“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาจะตายวันนี้” ท่านชายโจวหกถาม
“เพราะว่าคืนนี้ข้าจะตีเขาจนตาย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยก่อนจะเหลือบตามองเขา “คิดไม่ถึงเลยว่าจะโชคร้ายถึงเพียงนี้ กลายเป็นว่าล้มหัวฟาดพื้นตายไปเองเสียอย่างนั้น”
ตีให้ตายอย่างนั้นหรือ โชคร้ายอย่างนั้นหรือ
“เจ้าจะบอกว่าที่เขาตายตอนนี้ไม่ได้อยู่ในแผนการเจ้าอย่างนั้นรึ” ท่านชายโจวหกถาม สีหน้าดูไม่เชื่อเลยแม้แต่นิด
จะบอกว่าเซี่ยงชีเคราะห์ร้ายล้มหัวฟาดพื้นตายไปเองอย่างนั้นหรือ
จะมีเหตุบังเอิญเช่นนั้นได้อย่างไรกัน!
เป็นไปได้อย่างไร!
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นยามอื่นก็ว่าไปอย่าง แต่ดันมาเกิดหลังจากที่ได้พบกับหญิงผู้นี้ แถมยังเกิดขึ้นหลังจากโดนขู่จนตกใจขวัญหนีดีฝ่ออีกต่างหาก…
ใช่แล้ว เพราะตกใจ!
“เขาถูกเจ้าทำให้ตกใจกลัวจนตายนี่เอง!” ท่านชายโจวหกเอ่ยอย่างมั่นใจ
ไม่ผิดแน่ นางสามารถทำให้ราชเลขาหลิวเป็นลมล้มชักไปได้ แถมยังสามารถทำให้ท่านชายฉินสิบสามโมโหจนอกแตกตายได้ ย่อมทำให้เซี่ยงชีตกใจกลัวจนตายได้อยู่แล้ว
ยิ่งคิดก็ยิ่งเป็นไปได้
“ที่แท้ที่เจ้าให้ข้าไปหาเขาที่ประตูเมืองทิศใต้เพื่อคัดหนังสือ แถมยังให้ข้าหาหมอดูมาหลอกข่มขวัญเขา ก็เพื่อรอเวลานี้สินะ” เขาเอ่ยพลางพยักหน้า
“ไม่ใช่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางวางตะเกียบลง
“หากไม่ใช่เพื่อการนี้ แล้วเจ้าแกล้งให้เขาตกใจเล่นหรืออย่างไร” ท่านชายโจวหกเอ่ยเสียงเย้ยหยัน
“ใช่แล้ว” เฉิงเจียวเหนียงมองเขา ปลายคางเชิดขึ้นเล็กน้อย “แกล้งให้เขาตกใจเล่น ระบายอารมณ์ก็เท่านั้น”
ท่านชายโจวหกถลึงตามองนาง
“นี่เจ้า” เขาขมวดคิ้วเอ่ย ทำท่าราวกับไม่รู้จักคนตรงหน้า “ไร้สาระได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
เฉิงเจียวเหนียงก้มหน้าลงก่อนจะลุกยืนขึ้น
“นี่” ท่านชายโจวหกที่นั่งอยู่แหงนหน้ามองนางก่อนจะตะโกนเรียก
เฉิงเจียวเหนียงหลบสายตาชำเลืองมองเขา
ท่านชายโจวหกมองหน้านาง
“เจ้าโมโหอยู่หรือ” เขาถามด้วยสีหน้าตกใจ
ทันใดนั้นก็เผยยิ้มออกมา
“ที่แท้เจ้าก็โมโหเป็นด้วยหรือนี่” เขาเอ่ย
หญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้ายืนตัวตรง สีหน้ายังคงเรียบเฉยดังเดิม สายตาที่เหล่มองมาภายในกลับแฝงไปด้วยความไหวหวั่น
แต่ไหนแต่ไรมาหญิงผู้นี้ไม่เคยตื่นกลัวสิ่งใน นิ่งสงบราวกับผืนน้ำ แต่คราวนี้กลับโมโหอย่างนั้นหรือ
ยามนางโมโหเป็นเช่นนี้นี่เอง…
“โมโหสินะ…” ท่านชายโจวหกเอ่ยพลางกอดอกจ้องมองนาง “อันที่จริงเรื่องนี้เป็นเพียงการแก้แค้นไร้สาระของใครคนหนึ่ง แต่กลับกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตจนเจ้าหาทางออกไม่เจอ เจ้าก็เลยโมโหใช่หรือไม่ ที่ถูกคนเช่นนั้นทำให้จนตรอกเสียขนาดนี้…”
เขาเอ่ยก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง
“แม้จะไม่น่าฟังสักเท่าไหร่ แต่ก็คงต้องใช้คำพูดนี้ เมื่อก่อนไปล่าห่าน ยามนี้กลับมาถูกห่านล่าเสียเอง แต่ก่อนมั่นอกมั่นใจหนักหนา ยามนี้กลับพลาดท่าเสียเอง…”
เฉิงเจียวเหนียงละสายตาจากเขา ก่อนจะยกชายกระโปรงขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก ปั้นฉินรีบร้อนลุกขึ้นเดินตามไป
ท่านชายโจวหกหันไปมองนาง ก่อนใช้มือยันตัวลุกขึ้นแล้วเดินตามออกไปเช่นกัน
“นี่ ข้าถึงได้แปลกใจว่าเหตุใดวันนี้เจ้าถึงได้พูดเช่นนั้น” เขาตามมาติด ก่อนจะเบียดให้ปั้นฉินหลบไปอีกทางแล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “คราวนี้ไม่ใช่การเล่นละครตบตาคนแล้วสินะ แต่โมโหเข้าจริงๆ เสียแล้ว เลยแกล้งให้เขาตกใจเพื่อระบายอารมณ์อย่างนั้นสินะ”
เฉิงเจียวเหนียงเอาแต่มองไปข้างหน้า ไม่เหลียวมองเขาแม้แต่นิด
เรือนนางฟ้าในยามบ่ายลูกค้าบางตา ระเบียงทางเดินที่ทอดยาวไร้ผู้คน แสงอาทิตย์ยามฤดูใบไม้ร่วงสาดส่องผ่านหน้าต่างสะท้อนลงบนพื้น สายลมพัดกลีบกระโปรงไหวไปมา
“เจ้านี่ก็พูดจาเพ้อเจ้อเป็นกับเขาด้วยหรือ” ท่านชายโจวหกเอ่ย “คำพูดเช่นนั้นเจ้ากล้าพูดออกมาได้อย่างไร เหมือนกับเด็กน้อยทะเลาะกันไม่มีผิด พ่อข้าเป็นใคร ข้าเป็นใคร ข้าทำอะไร ข้าเก่งกาจแค่ไหน…”
เขาเอ่ยพลางหัวเราะยกใหญ่
“หากคนอื่นรู้เข้า คงแย่แน่ๆ!” เขาเอ่ย
บอกว่าตัวเองเป็นศิษย์ของเทพเซียน บอกว่าตัวเองมีวิชาชุบชีวิตคนตาย บอกว่าตัวเองกำหนดชะตาชีวิตคนได้ คำพูดเหล่านี้หากคนอื่นเอาไปพูดนินทาก็ว่าไปอย่าง แต่หากออกมาจากปากของตัวเองแล้วกลับให้ความรู้สึกแตกต่าง
วิชามารเวทมนต์ดำไม่ใช่หนทางที่ถูกทำนองคลองธรรม ราชสำนักคงไม่ปล่อยไว้เป็นแน่
“อืม ไม่ผิดแน่ วันนี้เจ้าหมอนั่นคงถึงฆาตแล้วล่ะ” ท่านชายโจวกพยักหน้าพลางเอ่ย “ได้ยินเจ้าพูดแบบนั้น เขาคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ”
เฉิงเจียวเหนียงหยุดเดินก่อนจะหันไปมองเขา
“แม้ขั้นตอนจะไม่เป็นไปตามที่หวัง” นางเอ่ย “แต่ผลลัพธ์เหมือนกัน เรื่องแบบนี้เจ้าอยากจะลองดูกับตัวเองบ้างไหม”
ท่านชายโจวหกมองนาง
“เจ้ากำลังขู่ข้างั้นหรือ” เขาเอ่ยก่อนจะยกยิ้ม “ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่มีทางตกใจกลัวจนตายหรอก”
“อันที่จริง เจ้าเคยคิดหรือไม่ ว่าความจริงข้าอาจจะตายไปแล้ว” นางเอ่ยพลางมองมาที่เขา “หากไม่ใช่เพราะข้าหายดีแล้ว ยามนี้บนโลกนี้อาจไม่มีเฉิงเจียวเหนียงแล้วก็ได้”
รอยยิ้มของท่านชายโจวหกหายไปในทันที
“คนนอกไม่แยแสไม่เท่าไหร่ แต่ญาติพี่น้องสายเลือดเดียวกันไม่เหลียวแล แถมยังร่วมมือกันฆ่าให้ตายอีกต่างหาก” นางพูดต่อ “ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทั้งๆ ที่เป็นศัตรูกับข้าแท้ๆ แต่พวกเจ้ากลับดีอกดีใจเสียขนาดนี้”
เดิมทีนายรองเฉิงออกจากตำแหน่งเพื่อกลับบ้านเกิด ก็ตั้งใจจะทิ้งเด็กบ้าไว้ที่วัดเต๋าอยู่แล้ว
พอฮูหยินใหญ่โจวตายไป ท่านใหญ่โจวก็แสร้งลืมบริจาคเงินบำรุงรักษาวัด
ตอนนั้นตระกูลเฉิงถามว่าพวกนางสองนายบ่าวกลับมาได้อย่างไร ปั้นฉินบอกว่าฮูหยินใหญ่โจวทิ้งเงินก้อนใหญ่ไว้ให้ก้อนหนึ่ง ตอนนั้นทุกคนต่างก็เชื่อเช่นนั้น แต่ต่อมาปั้นฉินก็ยอมรับว่าเรื่องมิได้เป็นเช่นนั้น เพียงแค่หาข้ออ้างให้คนเชื่อใจก็เท่านั้น
สติไม่สมประกอบ กำพร้าแม่ สาวใช้ก็อ่อนแอ แถมยังต้องอยู่ต่างบ้านต่างเมือง จุดจบคงมีเพียงอย่างเดียวคือความตาย…
ท่านชายโจหกสีหน้าไม่สู้ดีนัก ใบหน้าซีดเผือด
เหมือนที่นางพูดไว้ไม่มีผิด ยามตกทุกข์ได้ยาก คนนอกไม่แยแสไม่เท่าไหร่ เพราะไม่ได้เกี่ยวพันทางสายเลือด ไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบ ไม่มีหน้าที่ต้องดูแล แต่หากเห็นญาติมิตรลำบากแต่ไม่เหลียวแล ยิ่งเป็นคนสายเลือดเดียวกันแล้ว ก็เหมือนฆ่ากันไม่มีผิด
อย่างน้อยในใจของหญิงผู้นี้ก็คิดว่านี่คือการฆ่ากันอย่างไม่ต้องสงสัย
พวกเขาคือญาติพี่น้องของนาง และเพราะเหตุนี้ พวกเขาจริงกลายเป็นศัตรูของนาง
ผู้หญิงคนนี้!
หากจะบอกว่าที่เซี่ยงชีตกใจตายไม่ใช่ฝีมือนาง แม้แต่ผีสางก็คงไม่เชื่อ!
ท่ายโจวหกเงยหน้าขึ้น มองเฉิงเจียวเหนียงที่ขึ้นไปนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว
“หญิงสาวยามโมโหช่างน่ากลัวเสียจริง” เขาเอ่ยพึมพำกับตัวเอง
…………….