รถม้าของเฉิงเจียวเหนียงไม่ได้ตรงไปยังสะพานอวี้ไต้ แต่กลับเคลื่อนไปยังถนนเส้นหนึ่ง รถค่อยๆ ชะลอความเร็วลง
ยามมองจากม่านหน้าต่างออกไป ด้านตรงข้ามคือศาลาว่าการชิงสือที่ยังไม่ได้แขวนป้าย คนไม่ค่อยพลุกพล่าน ยามบ่ายในต้นฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้ดูวังเวงไม่น้อย
ที่นี่คือเรือนจำเล็กๆ ภายใต้สังกัดกรมทหาร
“นายหญิงเจ้าคะ เราไม่มีวิธีที่จะเข้าไปข้างในจริงๆ หรือ” ปั้นฉินกระซิบถามอย่างอดไม่ได้
“ไม่มีเลย” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
ขนาดนายใหญ่โจวยังเข้าไปไม่ได้ พวกนางยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ปั้นฉินถอนหายใจ
“ไม่รู้ว่าบรรดาท่านชายที่อยู่ที่นี่จะเป็นอย่างไรบ้าง” นางพึมพำ “นี่ก็สามวันเข้าไปแล้ว…”
“ได้อยู่ไม่นานหรอก” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
ปั้นฉินดีใจยิ่งนัก
เฉิงเจียวเหนียงเหลือบมองสีหน้าดีใจของนางด้วยใบหน้าเฉยชา ก่อนจะปล่อยผ้าม่านลง
นายหญิงยังคงไม่ร่าเริง…
ปั้นฉินจึงเก็บความดีใจเอาไว้แล้วก้มหน้าลง
รถม้าค่อยๆ เคลื่อนออกไป
ด้านท่านชายโจวหกกลับมาถึงบ้านก็บอกเล่าเรื่องราววันนี้ให้แก่นายใหญ่โจวฟังทั้งหมด
นายใหญ่โจวได้ฟังดังนั้นก็ตะลึงแล้วถอนใจ
“นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเรื่องราววุ่นวายนี้จะเป็นฝีมือเขาเพียงคนเดียว” นายใหญ่โจวเอ่ยขึ้นพลางส่ายหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “ไม่ได้มีใครชักจูงอยู่เบื้องหลังแน่หรือ”
ท่านชายโจวหกส่ายหน้า
“ไม่มีขอรับ” เขาตอบ
นายใหญ่โจวลูบเคราพลางส่งเสียงพ่นลมหวีดๆ
“ช่างโชคร้ายจริงๆ…” เขาพึมพำ
แต่พอได้ยินว่าเซี่ยงชีคนนั้นหกล้มหัวฟาดกับถนนจนตายแล้ว ปฏิกิริยาของนายใหญ่โจวเหมือนกับท่านชายโจวหกไม่มีผิด ฟันธงว่าเฉิงเจียวเหนียงเป็นคนฆ่า
“ความจริงแล้วคนไร้ประโยชน์นี่ ยามนี้คงรู้ซึ้งแล้วว่าตนหมดความจำเป็น” เขาเอ่ยขึ้น “นึกไม่ถึงว่าพอรู้แน่ชัดแล้วก็ฆ่าทิ้งทันที…” นายใหญ่โจวกล่าวพลางส่ายหน้า
“ช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก…” นายใหญ่โจวกล่าว “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ฆ่าแล้วจะได้อะไรขึ้นมาเล่า”
“ก็ไม่ได้อันใดหรอก แค่ระบายอารมณ์เท่านั้น” ท่านชายโจวหกบอก พูดมาถึงตรงนี้ก็ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
“เหลวไหล ระบายอารมณ์เช่นนี้จะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา” นายใหญ่โจวส่ายหน้าเอ่ย “เรื่องมาถึงขั้นนี้ ฆ่าคนไร้ประโยชน์ไปคนหนึ่งให้ได้อะไรขึ้นมา”
“บางครั้งคนเราทำการใด ก็ไม่จำเป็นต้องทำเพื่อให้ได้ประโยชน์เสมอไป ระบายอารมณ์ให้ตัวเอง อารมณ์ดีขึ้น ก็นับว่ามีประโยชน์แล้วกระมัง” ท่านชายโจวหกกล่าวพลางแย้มยิ้ม
ดูๆ แล้วว่าอารมณ์ของนางคงจะไม่ดีขึ้นง่ายๆ …
ถึงจะสังหารเซี่ยงชี แต่เรื่องก็ไม่จบลงง่ายๆ เรียกได้ว่าเรื่องยังไม่ทันได้เริ่มด้วยซ้ำ อีกทั้งทิศทางของเรื่องก็เกือบจะควบคุมไม่ได้
ครั้งนี้นับได้ว่าเจอเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว
ท่านชายโจวหกหุบยิ้มลง สีหน้าเคร่งขรึม
จะทำอย่างไรดี
ขณะที่กำลังลังเลอยู่นั้น บ่าวคนหนึ่งก็เดินเข้ามาจากประตูด้านนอก
“ท่านชายขอรับ ท่านชายฉินสิบสามมาขอรับ”
ท่านชายโจวหกจึงลุกขึ้น
“เขาต้องรู้เรื่องแล้วเป็นแน่” เขาเอ่ยขึ้นพลางยิ้มบาง
เจ้าหมอนี่ฉลาดหลักแหลมนัก บางทีเรื่องนี้เขาอาจจะมีความคิดดีๆ ก็ได้
“ชายหก” นายใหญ่โจวเรียกเขาไว้ “ไม่ต้องบอกรายละเอียดเรื่องนี้กับท่านชายฉินสิบสามมากนัก รวมถึงการคาดเดาของเราก็ด้วย”
ท่านชายโจวหกตกใจ หันกลับไปมองท่านพ่อ
นายใหญ่โจวสีหน้าเคร่งขรึม
“เขาไม่ใช่เจ้าเป๋แห่งตระกูลฉินอีกต่อไปแล้ว เขากลับมาปกติดี ทั้งยังฉลาดเฉลียว ย่อมต้องเข้ารับราชการเป็นแน่” เขาเอ่ย “ชายหก เรื่องหนีทหารครานี้ ไม่ว่าเราจะยินยอมหรือไม่ ก็คงถูกดึงเข้าไปเกี่ยวด้วย จะยืนฝ่ายตระกูลหวัง หรือจะฝั่งอำมาตย์เฉินก็ยังไม่อาจทราบได้”
ท่านชายโจวหกสีหน้าแปรเปลี่ยน
“ซ้ำตระกูลฉินเป็นเชื้อพระวงศ์ แม้จะไม่รู้ว่าอยู่ฝ่ายไทเฮาหรือคนอื่น” นายใหญ่โจวมองเขาแล้วกล่าวต่อว่า “สรุปแล้ว ทั้งหมดล้วนยังไม่มีอะไรแน่ชัด ดังนั้นบางเรื่องแค่พูดถึงก็พอแล้ว ไม่ต้องลงรายละเอียดลึก”
บางเรื่องแค่พูดถึงก็พอแล้ว ไม่ต้องลงรายละเอียดลึก
ท่านชายโจวหกยืนอึ้งครู่หนึ่งแล้วจึงส่งเสียงอืมค่อยหันหลังเดินออกไป
ไม่เหมือนกับแต่ก่อน เขาเดินช้ามาก เมื่อเดินไปถึงเรือนแล้ว ท่านชายฉินสิบสามที่รออย่างอดทน กำลังเด็ดดอกไม้หัวเราะพูดคุยกับบรรดาสาวใช้อยู่
เหมือนเช่นเคยที่เขามักจะเอาดอกไม้ใบหญ้าในเรือนมาชิมแทนชา แม้ว่าจะไม่มีครั้งไหนได้เข้าปากเลยก็ตาม
ไม่ ไม่เหมือนเช่นเคย เมื่อก่อนเขาจะชี้นิ้วสั่งให้บรรดาสาวใช้ไปเก็บ แต่ยามนี้เขาไปเก็บด้วยตัวเอง
ท่ามกลางตะวันสาดแสง ใบหน้าของชายหนุ่มขาวผ่องราวกับหยกสลัก รูปร่างสูงโปร่งแผ่นหลังตั้งตรง มือหนึ่งถลกแขนเสื้อ อีกมือยื่นไปเด็ดดอกไม้ที่ยังไม่บานเต็มที่ขึ้นมาจรดจมูกเพื่อสูดดม
ท่าทางเช่นนี้หากเป็นชายหนุ่มคนอื่นมาทำล่ะก็ ดูอย่างไรก็มีกลิ่นอายของสตรี แต่ท่านชายฉินสิบสามทำแล้วกลับสง่างามอยู่ไม่น้อย
ท่านชายโจวหกหยุดฝีเท้าลง มองท่านชายฉินสิบสามที่กำลังหัวเราะพูดคุยกับเหล่าสาวใช้อยู่ในเรือน
เขาไม่ใช่เจ้าเป๋แห่งตระกูลฉินอีกต่อไปแล้ว…
คำพูดของท่านพ่อดังขึ้นข้างหู
ตระกูลฉิน…
ที่แท้เขาก็เป็นคนตระกูลฉิน ตระกูลฉินเป็นเชื้อพระวงศ์ที่มีอำนาจสูงส่ง
ตั้งแต่รู้จักกันมา เขาเรียกอีกฝ่ายว่าสิบสาม ยามไม่พอใจก็เรียกฉินซางจื่อ คำว่า ‘ฉิน’ นั่น ในสายตาของเขาเป็นเพียงแค่คำว่า ‘ฉิน’ ลืมไปเสียสิ้นว่านั่นคือแซ่ตระกูล แซ่ตระกูลที่มีชื่อเสียงและอำนาจ
“ชายหก เจ้ามองอะไรน่ะ”
ท่านชายฉินสิบสามเงยหน้าขึ้นเรียก พลางโยนดอกไม้ในมือให้แก่สาวใช้
ท่านชายโจวหกก้าวเข้าไปหา
“เจ้าจะทำอะไรอีก” เขาเอ่ยขึ้น “ดอกไม้พวกนี้เจ้ายืนกรานจะปลูกให้ได้ ปลูกแล้วก็มาทำลายให้เสียหายวุ่นวาย”
“เจ้าจะไปเข้าใจอะไร ปล่อยให้มันเบ่งบานจึงเรียกได้ว่าทำลาย สิ่งต่างๆ นั้นต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดจึงจะดีที่สุด” ท่านชายสิบสามยิ้มกล่าว พลางยกมือขึ้นดึงไหล่เขาเข้ามา “มา มา ข้าจะให้เจ้าชิมชาที่ข้าได้วิธีทำมาใหม่”
“ชาเจ้าเหลือเอาไว้ให้หมูกินเถอะ” ท่านชายโจวหกกล่าวเสียงเย้ยหยัน
ท่านชายฉินสิบสามยกมือขึ้นตบท้ายทอยเขาทีหนึ่ง
“ไม่เลวนี่ รู้จักด่าคนอ้อมๆ แล้ว! ไม่เสียแรงที่โดนน้องสาวตัวเองด่าอยู่ได้ตั้งนาน…” เขายิ้มกล่าว
“เจ้าสิที่ไม่เลว นึกไม่ถึงว่าจะกล้าตีข้า!” ท่านชายโจวหกตะคอกพลางยกมือขึ้น
ท่านชายฉินสิบสามกระโดดหนีไปนานแล้ว
“ฮ่า ฮ่า” เขาหัวเราะ “ตีไม่โดน ยามนี้ข้าวิ่งได้แล้วนะ”
ท่านชายโจวหกหุบยิ้มแล้วส่งเสียงถุยออกมา ก่อนจะยกเท้าก้าวขึ้นบันไดไป
“นี่ เจ้าคงได้ยินเรื่องที่เรือนไท่ผิงแล้วใช่หรือไม่” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยถาม พลิกตัวข้ามมาจากอีกฝั่งลงบนระเบียงทางเดิน
ท่านชายโจวหกพยักหน้า
“ได้ยินมาบ้าง ข้าไปพบนางมาแล้ว” เขาบอกพลางยักคิ้ว “ซ้ำยังช่วยงานนางอีกด้วย”
ท่านชายฉินสิบสามประหลาดใจไม่น้อย อีกทั้งยังไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“เจ้าไปก็ไม่เรียกข้าสักคำ” เขาเอ่ย
“เจ้าจะไปทำอะไร นี่มันเรื่องบ้านข้า” ท่านชายโจวหกส่งเสียงเฮอะคำหนึ่งพลางเอ่ย แล้วสะบัดเสื้อผ้านั่งลง
ท่านชายฉินสิบสามนั่งลงตรงข้ามเขา แล้วรับไหดินเผากับสากมาจากสาวใช้
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” เขาถามขึ้น
พร้อมกับเสียงตำของสากดังโป๊กๆ ท่านชายโจวหกเริ่มเล่าเรื่องราววันนี้ทีละเรื่อง
“ซินแสเฒ่านั่นก็เป็นเจ้าที่หามาหรือ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยถามขัดขึ้นเป็นครั้งคราว “หลังจากจับเซี่ยงชีไปแล้ว คนที่ไปบอกกับที่บ้านเขาก็คงเป็นคนของเจ้าใช่หรือไม่”
“ใช่น่ะสิ” ท่านชายโจวหกพยักหน้าตอบ พูดไปเบะปากไป “ให้ไปบอกคนตระกูลต่งว่าเซี่ยงชีถูกคนจับตัวไปกลางถนน แม้ว่าจะเป็นลูกเขยที่ไม่มีตำแหน่งฐานะอะไร อยู่ที่บ้านตัวเองจะทุบตีด่าทออย่างไรก็ได้ แต่ด้านนอกมีสายตาผู้คนมองอยู่ ทุบตีเช่นนี้ก็เหมือนเป็นการตบหน้าตระกูลต่ง ผู้เฒ่าต่งนั่นรีบพาคนมา ท่าทางโมโหเลยทีเดียว…”
คิดไม่ถึงว่าความโมโหนี้จะทำให้ลูกเขยคนนี้ตกใจจนคุมสติไม่อยู่แล้วล้มฟาดพื้นตาย
“ร้อยเรื่องราวเข้าด้วยกัน นางยังจะบอกอีกว่าเรื่องที่เซี่ยงชีล้มฟาดพื้นตายนั้นไม่เกี่ยวกับนาง นับวันยิ่งโกหกคนตาไม่กระพริบแล้ว” ท่านชายโจวหกกล่าว
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะยกใหญ่
“แต่นี่คงเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้นกระมัง” เขายิ้มกล่าว “นับได้ว่านางโชคดี”
หากโชคดีจริงๆ ก็คงไม่ถูกอันธพาลลากมายุ่งเกี่ยวกับปัญหาใหญ่นี่หรอก
ท่านชายโจวหกกำลังอ้าปากจะพูด คำยังไม่ทันหลุดจากปากก็ต้องปิดปากฉับ
“ใครจะไปรู้ล่ะ” เขากล่าวอ้อมแอ้ม “ในปากนางไม่เคยมีเรื่องจริงสักเรื่อง”
ท่านชายฉินสิบสามมองเขาคราหนึ่ง
“แล้วต่อจากนั้นล่ะ” เขาถามต่อ
“นางให้ข้าช่วยแค่เรื่องนี้ พอช่วยเสร็จข้าก็กลับแล้ว” ท่านชายโจวหกบอกพลางรับชาที่สาวใช้ส่งให้ “ข้าว่ากลับมาคงเบิกบานไม่น้อยทีเดียว อารมณ์ก็ได้ระบายแล้ว ซ้ำยังขอให้ท่านพ่อข้าช่วยอีก รอพรุ่งนี้พ่อข้าไปดูแลเสียหน่อยก็เรียบร้อยแล้ว”
กล่าวจบก็ยกชาขึ้นดื่ม
ท่านชายฉินสิบสามก้มหน้าตำดอกไม้ใบหญ้าเสียงตึงตัง
“ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น” เขาเอ่ย ไม่รอให้ท่านชายโจวหกพูดอะไรต่ออีกก็หันไปมองสาวใช้ด้านข้าง “ไปเอาน้ำส้มมา”
ท่านชายโจวหกยกชาขึ้นดื่มจนหมดก็ถอนหายใจออกมา
“อย่าเพิ่งพูดเรื่องนั้น” เขาบอก “ข้าต้องไปแล้ว มีคันธนูสองสามคันที่เอาไปไม่ได้ เจ้าลองดูว่าจะเอาคันไหน”
“ยังต้องเลือกอีกหรือ” ท่านชายฉินสิบสามเงยหน้าขึ้นขมวดคิ้วมองเขา “ไม่ใช่ว่าควรเอามาให้ข้าหมดหรือ”
ท่านชายโจวหกส่งเสียงถุยคำหนึ่ง
“ฝันไปเถิด” เขากล่าวพลางลุกพรวดยื่นมือไปตีไหล่อีกฝ่าย “รีบมา”
ท่านชายฉินสิบสามยิ้มพลางโยนสากทิ้ง แล้วลุกขึ้นเดินตามเขาไป
ภายในห้องมีเสียงชายหนุ่มพูดคุยหยอกล้อกันดังขึ้นมาเป็นระยะระยะ
…………