นายใหญ่ต่งเดินเข้าห้องโถงมา ความโกรธและโศกเศร้าบนใบหน้าพลันมลายหายไป สีหน้าหมองหม่นเข้ามาแทนที่
“ท่านพ่อ”
เสียงของแม่นางต่งดังขึ้นมาจากหน้าประตู เพราะกะทันหันเกินไป แม้แต่เสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดของนางก็ยังไม่ทันได้เปลี่ยน นางเดินก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจ
“ไอ้ผีทะเลนั่นมันตายแล้วหรือ”
ดูท่าทางของลูกสาวแล้ว ทั้งยังได้ยินนางเอ่ยเช่นนั้น นายใหญ่ต่งโมโหจนเลือดขึ้นหน้า ยกมือขึ้นตบบ้องหูนางทีหนึ่ง
แม่นางต่งถูกตีจนมึนงงไปหมด
“ท่านพ่อ ท่านทำอะไรน่ะ” นางกุมหน้าถาม
นายใหญ่ต่งยกมือขึ้นชี้หน้านาง
“เป็นเพราะเจ้า!” เขาตะคอก “ทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือเจ้า!”
แม่นางต่งถูกเลี้ยงดูมาอย่างเอาอกเอาใจจนเหลิง เดิมทีนิสัยก็เกรี้ยวกราดอยู่แล้ว ยามนี้จึงยิ่งกระทืบเท้าด้วยความโมโห
“หากข้าจะทำร้ายเขา ต้องรอมาถึงตอนนี้หรือ” นางตะคอกเสียงแข็ง
“ไม่สู้เจ้าทำร้ายเขาให้ตายไวหน่อย ตอนนี้จะได้ไม่ต้องไปทำร้ายคนอื่นเพิ่มขึ้น” นายใหญ่ต่งเอ่ยตะคอกเสียงเข้ม
“ท่านพ่อ” แม่นางต่งเอ่ยอย่างโมโห “ข้าไปทำร้ายใครอีก!”
“เจ้าทำร้ายสวีเม่าซิว แล้วก็เซี่ยงชี ต่อไปก็คงเป็นคนในครอบครัวทั้งหมดกระมัง!” นายใหญ่ต่งตะคอก
ได้ยินชื่อสวีเม่าซิว แม่นางต่งก็ใจเย็นลงมาก ระงับความโกรธลงได้
“ท่านพ่อ ท่านโมโหจนเลอะเลือนแล้วหรือไร” นางเอ่ยถาม
นายใหญ่ต่งสะบัดมือนั่งลง อารมณ์ก็ยิ่งขุ่นมัวมากขึ้น
“ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้นกันแน่” แม่นางต่งถาม “เซี่ยงชีตายจริงๆ หรือ”
“ตายแล้วจริงๆ” นายใหญ่ต่งตอบ
“เหตุใดจึงตายได้” แม่นางต่งถาม
นายใหญ่ต่งเงยหน้าขึ้นมองนาง ต่อให้จะได้ยินว่าสามีของตนตายแล้วจริงๆ แต่สีหน้าของบุตรสาวเขาก็ไม่ได้มีความเสียใจอยู่แม้แต่น้อย นางกลับมีความรู้สึกโล่งใจเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอกแทน
ดูเหมือนเรี่ยวแรงทั้งหมดของนายใหญ่ต่งได้ถูกสูบไปจนสิ้น
“เจ้าไม่ได้ทำร้ายเขา” เขาส่ายหน้าเอ่ย “เป็นข้าเองที่ทำ”
แม่นางต่งได้ฟังก็ยิ่งมึนงง
“ท่านพ่อ…” นางเรียกคำหนึ่ง
“ข้าไม่ควรประชดแล้วรับปากเซี่ยงชีให้เข้ามาในบ้านตั้งแต่แรก” นายใหญ่ต่งเอ่ยพลางส่ายหน้ายิ้มขื่น “ผลของการประชดประชันครานั้นทำให้ข้าจำต้องมีอนาคตที่เลวร้ายเช่นนี้”
เขาเอ่ยจบก็มองแม่นางต่งที่ยังอยากจะถามอะไรเขาต่อ จึงผายมือให้นางนั่งลง
“หญิงสี่” เขาเอ่ย “ทำผิดแล้วไม่กลัว ที่กลัวคือไม่มีโอกาสได้แก้ไข ยามนี้ ถึงคราวเป็นคราวตายของตระกูลต่งเราแล้ว”
คราวเป็นคราวตายอย่างนั้นหรือ
แม่นางต่งเบิกตาโพลง
“ท่านพ่อ ท่านตีเซี่ยงชีจนตายต่อหน้าฝูงชนหรือ ท่านฟั่นเฟือนไปแล้วหรืออย่างไร” นางเอ่ยถาม
แม้ว่าลูกเขยจะฐานะต่ำต้อย แต่บ้านเมืองมีขื่อมีแป การฆ่าลูกบุญธรรมนั้น แน่นอนว่ากฎของบ้านของตระกูลจะจัดการอย่างไรก็ได้ ตราบใดที่ไม่ไปฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะทุบตีฆ่าแกงต่อหน้าฝูงชนบนถนนกลางวันแสกๆ เช่นนั้นได้
“ข้าไม่ได้ตีเขาตาย เขาถูกคนทำร้ายจนตายต่างหาก” นายใหญ่ต่งเอ่ย
“หา ผู้ใดกันที่ใจกล้าเพียงนั้น” แม่นางต่งถาม “ข้าไม่จบง่ายๆ แน่! เดี๋ยวข้าจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เรียกพี่ใหญ่ พี่รองไปร้องไห้หน้าประตูบ้านมัน! ต้องให้มันอยู่ที่เมืองหลวงไม่ได้อีกต่อไป!”
นายใหญ่ต่งหัวเราะเยาะ
“เจ้าจะไม่จบกับนาง นางได้มาเล่นงานครอบครัวเราไม่สิ้นสุดแน่!” เขาเอ่ย “นางฆ่าอันธพาลได้ บีบคั้นจูอู่จนตายได้ ขู่ขวัญจนโต้วชีเสียสติออกไปจากเมืองหลวงได้ ตั้งแต่เรือนไท่ผิงไปจนถึงเรือนนางฟ้า รวมถึงอี๋ชุนถัง…อีกทั้ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าอี๋ชุนถังเป็นของผู้ใดมาก่อน”
แม่นางต่งกำลังตกตะลึงกับบรรดาชื่อเอย ฆ่าเอย ตายเอย พอได้ยินคำถามจึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างงงๆ
“ราชเลขาหลิวประจำหออาลักษณ์” นายใหญ่ต่งบอก “คนอื่นข้าไม่รู้ เราคนทำมาค้าขายจะไม่รู้ได้อย่างไร ราชเลขาหลิวเอาเปรียบผู้คนได้มากมายและแยบยลเพียงใด กลับถูกนางแย่งกิจการไป ไม่…”
เขาเอ่ยถึงตรงนี้ก็หยุดลง
“ไม่ ไม่ ใช่ ใช่ ไม่ผิด ไม่ผิด ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ราชเลขาหลิวป่วยอย่างน่าสงสัย…” เขาเอ่ยติดต่อกัน
“ท่านพ่อ ท่านเป็นอะไรอีก โมโหจนเลอะเลือนไปแล้วหรือ” แม่นางต่งขมวดคิ้วถาม
แค่การตายของลูกเขยคงไม่ถึงขนาดทำให้ท่านพ่อเสียใจจนสติแตกได้หรอกกระมัง พูดจาไม่ปะติดปะต่อ จนคนฟังมึนงงสับสนไปหมด
“ข้าไม่เป็นอะไร ข้ามีสติดี เพียงแต่ไปยั่วคนผู้นี้ให้โมโหเข้า จุดจบมีแต่จะตายสถานเดียว” นายใหญ่ต่งเอ่ย สูดหายใจเข้าลึก “คราวนี้เราได้แกว่งเท้าไปหาเสี้ยนเข้าให้แล้ว เดิมทีข้ายังสงสัยอยู่ ยามนี้เซี่ยงชีตายแล้ว ข้าก็มั่นใจได้แล้ว คนที่แอบบอกเรื่องพวกสวีเม่าซิวก็คือเซี่ยงชีนี่เอง”
แม่นางต่งเบิกตาโพลง เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง พลันลุกขึ้นพรวด
“ข้าเดาไม่ผิด ต้องเป็นฝีมือไอ้ผีทะเลนั่น…” นางร้องขึ้น
“คนที่แอบบอกคือเซี่ยงชี แต่ที่เป็นเช่นนี้ทั้งหมดมันเพราะเจ้า!” นายใหญ่ต่งตะคอก “หากเจ้ายังไม่เชื่อฟังข้าอีก รายต่อไปที่จะตายก็คือเจ้าแล้ว!”
แม่นางต่งเอามือลูบอกพลางมองท่านพ่อ
“บาปกรรม” นายใหญ่ต่งพ่นลมออกมาคราหนึ่งเอ่ยขึ้น “หากเจ้าไม่ได้หลงใหลต่อสวีเม่าซิวเกินไปล่ะก็ เซี่ยงชีก็คงไม่หึงหวงจนบ้าคลั่งแล้วทำเรื่องเช่นนี้ เรื่องก็เกิดไปแล้ว เดิมทีเป็นเพียงแค่กลอุบายที่ใช้ระบายความโกรธเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะถูกศัตรูจับมาแก้แค้นจนกลายเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ได้ ไม่แปลกใจที่เรือนไท่ผิงจะโกรธแค้นเซี่ยงชีจนลงมือฆ่าเขา”
แม่นางต่งยังคงมึนงงสงสัยเหมือนตกลงไปในเมฆหมอก
เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร คนผู้หนึ่งเอ่ยปากบอกว่าจะฆ่าคนก็ฆ่าได้แล้วอย่างนั้นหรือ
“คนผู้หนึ่งอย่างนั้นหรือ” นายใหญ่ต่งยิ้ม ยื่นมือออกแล้วพลิกไปมา “ชีวิตคนที่จากไปเพราะเรือนไท่ผิง ไม่ได้มีแค่คนเดียว”
แม่นางต่งเพิ่งเข้าใจที่นายใหญ่ต่งเอ่ยถึงรายชื่อมากมาย ทั้งฆ่าเอย ตายเอยเหล่านั้นว่าหมายความว่าอะไร สีหน้าก็ยิ่งซีดเผือด
“ท่านพ่อ ท่านหมายความว่า แม่นางน้อยนั่นฆ่าเซี่ยงชีหรือ” นางเอ่ยถาม “ท่านบอกว่าเซี่ยงชีล้มหัวฟาดถนนตายไม่ใช่หรือ”
แม่นางน้อยนั่นหรือ
คนงามอายุน้อยรูปร่างบอบบางที่ลมพัดก็ปลิวผู้นั้นน่ะหรือ
ฆ่าคนอย่างนั้น
“ข้าไม่แน่ใจว่าเป็นนางหรือไม่ นางทำได้อย่างไรข้าก็ไม่ได้ต้องการจะไปสืบรู้ ข้าต้องการรู้แค่ว่าในสายตานาง เราล้วนเป็นคนที่สมควรตายหรือไม่” นายใหญ่ต่งเอ่ย
“เช่นนั้นยามนี้ ยามนี้เราควรทำเช่นไรดี ปะ…ไปอ้อนวอนนางหรือ” แม่นางต่งเอ่ยถามด้วยสีหน้าตื่นตะหนก
หากยามอื่นท่านพ่อบอกนางว่ามีคนอยากจะฆ่าพวกเรา นางคงคิดว่าท่านพ่อดื่มจนเมาแล้ว แต่ยามนี้เพราะการตายของเซี่ยงชีที่แปลกประหลาด นางจึงจำต้องเชื่อแล้ว
“อ้อนวอนนางหรือ เช่นนั้นยิ่งจะตายเร็วน่ะสิไม่ว่า!” นายใหญ่ต่งเอ่ย
“เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรเล่า” แม่นางต่งถาม
นายใหญ่ต่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“ตอนนี้เจ้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วพาพี่ใหญ่พี่รองไปร้องห่มร้องไห้ให้เซี่ยงชี” เขาบอก
แม่นางต่งตะลึงงัน เหตุใดมาพูดเรื่องนี้ได้ล่ะ
“ท่านพ่อ ยังจะไปร้องไห้อะไรให้เขาอีก!” นางเอ่ย “เป็นเขาที่ทำร้ายเรานะ!”
“ร้องไห้ให้เขาไม่ใช่เพื่อเขา แต่เพื่อเราต่างหาก” นายใหญ่ต่งเอ่ยพลางกวักมือเรียกลูกสาวให้เข้ามาใกล้อีกหน่อย “ไปร้องห่มร้องไห้อยู่หน้าร้านจางก่อน เซี่ยงชีล้มตายอยู่ตรงนั้น พวกเขาเป็นคนฆ่า รอจนคนแถวนั้นฟังจนพอใช้ได้แล้วก็ค่อยไปร้องที่หน้าประตูศาลาว่าการ…”
“ท่านพ่อ ยามนี้ไม่ใช่เวลามาหลอกเอาเงินผู้อื่นกระมัง” แม่นางต่งเอ่ยขัดขึ้น
“นังลูกโง่” นายใหญ่ต่งก่นด่า “มีแต่เงินในสายตา ยามนี้ต้องทำตัวหนักแน่นว่าเรื่องที่เซี่ยงชีตายนั้นเป็นอุบัติเหตุ ให้แม่นางนั่นรู้ว่าเราไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ เรื่องราวทั้งหมดสำหรับพวกเราแล้วล้วนเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด! เราไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น!”
แม่นางต่งพลันเข้าใจในทันทีแล้วรีบรับคำลุกขึ้น
นางเดินไปยังประตูด้วยความรีบร้อน แต่ก็ชะงักฝีเท้าลงแล้วหันกลับมา
“ท่านพ่อ นางร้ายกาจถึงเพียงนั้น ครั้งนี้พี่สวีคงจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” นางเอ่ยขึ้น
นายใหญ่ต่งมองนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ทางที่ดีที่สุดเขาต้องไม่เป็นไร” เขาเอ่ย “มิฉะนั้นล่ะก็ ตระกูลต่งของเราต้องบ้านแตก กลายเป็นศพไร้วิญญาณกันแน่”
แม่นางต่งก้มหน้าหันกลับไป พลางสูดหายใจลึก
“สามีผู้น่าสงสารของข้า!”
เสียงกรีดร้องคร่ำครวญอย่างน่าสงสารของหญิงสาวดังขึ้นจากในเรือน
ณ สะพานอวี้ไต้ เรือนตระกูลเฉิง
กำแพงมีเสียงเคาะตึ้งๆ ดังขึ้น สาวใช้เงยหน้าขึ้นด้วยความหัวเสีย
“ให้ตายเถอะ น่ารำคาญจริงๆ!” นางเอ่ย
บนกำแพงมีหน้าของชายหนุ่มผู้หนึ่งโผล่ขึ้นมา
“แม่นาง แม่นาง ข้ามาขอบคุณแม่นาง” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงเงยหน้าขึ้นมองเขา
“ข้ากินชาของเจ้า ไม่ทันไรก็หายป่วยแล้ว” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย
“เช่นนั้นแล้วจะให้ค่ารักษากับข้าหรือ” เฉิงเจียวเหนียงถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะยกใหญ่
“เรื่องเงินๆ ทองๆ จะหยิบยกมาพูดกันระหว่างสหายได้อย่างไร” เขาเอ่ย
ผู้ใดเป็นสหายเจ้ากัน
สาวใช้ขมวดคิ้ว
“แต่ข้าเอาสิ่งนี้มาให้เจ้า” ชายหนุ่มยิ้มเอ่ยพลางหยิบโถดินเผาออกมาด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ
จินเกอร์เข้าไปรับมาอย่างมั่นคง ถือมาให้ตรงหน้าเฉิงเจียวเหนียง
สาวใช้เปิดฝาออก กลิ่นหอมจางๆ ก็โชยเข้ามาในจมูก
อะไรเนี่ย ก็แค่ชาเท่านั้น
นายหญิงไม่ดื่มชาจากข้างนอก…
“ไม้หอม” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย เงยหน้ามองชายหนุ่มบนกำแพง แม้ว่าเสียงจะราบเรียบแต่ก็ดูเหมือนจะแฝงไปด้วยความตกใจไม่น้อย
ไม้หอมคือสิ่งใดกัน
สาวใช้มึนงง
“หอมมากใช่หรือไม่” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มถาม “เป็นชาที่ทำมาจากดอกมู่ซี”
ชาหอมอย่างนั้นหรือ
เช่นนั้นจะดื่มอย่างไร ชามีกลิ่นหอมจะไม่ไปกลบรสชาติที่แท้จริงของชาหรอกหรือ
สาวใช้ก้มหน้ามองโถดินเผาอย่างอดไม่ได้
“ดูของหวานก็จะรู้เอง เจ้าต้องกินอย่างเพลิดเพลินเป็นแน่” จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มเอ่ย “ของดีๆ เช่นนี้ เจ้าต้องชอบแน่นอน”
“ขอบใจนัก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางยิ้มบางให้เขา
“ช่วงนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ชายหนุ่มค้ำกำแพงถาม
“หมู่นี้ไม่ค่อยดีนัก” เฉิงเจียวเหนียงตอบ
จิ้นอันจวิ้นอ๋องสีหน้าตกใจ
เจ้าหมอนี่ต้องถามซักต่อเป็นแน่…
หรือว่านายหญิงจะบอกเขาทั้งหมดเองโดยไม่ต้องถาม
สาวใช้รู้สึกเครียดขึ้นมา
หรือว่าหนุ่มน้อยผู้นี้จะมาจาก…
“บางเรื่องก็พูดยากสินะ” ชายหนุ่มกลับไม่มีรอยยิ้มเหมือนเช่นเก่าก่อน ทั้งยังสีหน้าเคร่งขรึม เขาค่อยๆ เอ่ยปาก “แม้จะบอกว่าข้าเป็นสหายเจ้า แต่ข้าอาจจะช่วยอะไรเจ้าไม่ได้สักอย่าง ดังนั้น จึงไม่กล้าพูดจาใหญ่โต”
โธ่…
สาวใช้มองเขาอย่างตกตะลึง
คำพูดที่ฟังดูแล้วคือการปฏิเสธชัดๆ แต่กลับเอ่ยได้เหมือนตัวเองถูกคนอื่นทำให้ลำบากใจเช่นนี้ นางเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก…
หมดคำจะพูดจริงๆ
“ไม่ใช่ว่าเจ้าเปิดปากถามแล้วหรือ ข้าก็รับปากแล้ว เจ้ายังมีอะไรต้องพูดอีก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
เป็นอย่างไรบ้าง ไม่ค่อยดี
ก็คำนี้ไม่ใช่หรือ
สาวใช้มองเฉิงเจียวเหนียงอีกรอบ
นางชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบโถดินเผาเข้าห้องโถงไป อย่างไรเสียเวลาสองคนนี้พูดคุยกันนางก็ฟังไม่รู้เรื่อง สู้ไปทำงานของตัวเองดีกว่า
“ครั้งนี้เจ้าทำสำเร็จหรือไม่” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ยถาม
“เพิ่งจะลองครั้งเดียว” นางบอก
“เช่นนั้นเจ้าไปลองใหม่ หากสุดท้ายไม่สำเร็จ เจ้ายังมีข้า” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย มองนางพยักหน้ารับ “เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้คราหนึ่ง ข้าจะตอบแทนชีวิตแก่เจ้าคราหนึ่ง”
สาวใช้ดึงสายตากลับมามองปั้นฉิน
“คนผู้นี้หน้าตาดีแต่ไร้ความสามารถจริงๆ ยามปกติพูดคุยกับนายหญิงเสียไพเราะน่าฟัง พอมาเจอเรื่องเข้าจริงๆ แค่คำพูดน่าฟังสักประโยคเขากลับไม่กล้าจะพูดออกมา”
“พี่สาว ท่านดูสิ เขาเป็นคนที่เกือบจะรักษาชีวิตตัวเองไว้ไม่รอด หากเขาสามารถช่วยเหลือได้ดังใจต้องการล่ะก็ จะถึงขนาดไม่กล้าเข้าประตูมาพบนายหญิงดีๆ เช่นนี้หรือ” ปั้นฉินกระซิบเอ่ย
ดูเหมือนจะเคยบอกไว้ ที่เขาไม่เข้าประตูมาดีๆ ไม่ใช่เพราะเขากลัวว่าตัวเองจะดูไม่ดี แต่เขากลัวนายหญิงจะดูไม่ดีต่างหาก
คนที่ขนาดมาพบผู้อื่นยังระมัดระวังเช่นนี้ หากรีบร้อนมาช่วยเหลือล่ะก็ เกรงว่าจะช่วยอะไรไม่ได้สักอย่าง ซ้ำยังเพิ่มปัญหามาให้อีกด้วย
สาวใช้ดูออก ใบหน้าของชายหนุ่มบนระเบียงไม่ได้ประดับด้วยรอยยิ้มอีกต่อไป มีเพียงความเคร่งขรึมเข้ามาแทนที่
“อันที่จริง ประโยคสุดท้ายที่เขาพูดนั้นหนักแน่นมากแล้ว” นางยิ้มแย้มเอ่ย
ตอบแทนชีวิตเจ้าคราหนึ่ง
ขอเพียงมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างล้วนมีความหวัง
………………..