หลังจากที่จิ้นอันจวิ้นอ๋องกลับวังมา ยามเดินผ่านตำหนักเป่าสือของไทเฮา ก็เห็นเงาเล็กๆ โบกมือให้เขามาแต่ไกล
“ท่านพี่” องค์ชายรองเรียกขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี “ท่านหายแล้วหรือ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องยิ้มพลางพยักหน้า
“ท่านพี่จะไปเข้าเฝ้าไทเฮาหรือ” องค์ชายรองเอ่ยถาม
จิ้นอันจวิ้นอ๋องส่ายหน้า
“ข้าไม่ไปแล้ว” เขาบอก “เดี๋ยวอีกสักพักฝ่าบาทจะถามไถ่ข้าเรื่องร่ำเรียน ข้าต้องไปเตรียมตัวเสียหน่อย”
ความลำบากของทบทวนบทเรียนนั้นองค์ชายรองเข้าใจเป็นอย่างดี พอได้ยินเช่นนั้นจึงรีบพยักหน้าให้
“ท่านพี่ป่วยไปตั้งหลายวัน จึงเรียนไม่ทัน เสด็จพ่อไม่ตำหนิพี่หรอก ไม่ต้องกลัวนะ” เขาเอ่ยพลางเลียนแบบผู้ใหญ่ยื่นมือไปตบๆ จิ้นอันจวิ้นอ๋อง
เพียงแต่ร่างกายยังเตี้ยเกินไป สูงเพียงแค่ขาของจิ้นอันจวิ้นอ๋องเท่านั้น
จิ้นอันจวิ้นอ๋องหัวเราะออกมายกใหญ่ ค้อมตัวลงมาพยักหน้าให้เขา
ที่ต้องเตรียมตัวนั้นไม่ใช่กลัวว่าจะตอบไม่ได้ แต่กลัวจะตอบในสิ่งที่ไม่ควรตอบต่างหาก
“…วันนี้เจ้ากรมกิจการเกามาเข้าเฝ้าไทเฮา เอาของมาเยอะแยะเลย ข้าเอามาให้ท่านพี่ด้วย…” องค์ชายรองหัวเราะพลางเอ่ย
รอยยิ้มบนใบหน้าของจิ้นอันจวิ้นอ๋องพลันแข็งทื่อ
“ใต้เท้าเกามาหรือ” เขาเอ่ยถาม
ประโยคนี้เขาเอ่ยถามกับขันทีขององค์ชายรอง
“พะย่ะค่ะ ตอนไทเฮาทรงรับอาหารกลางวัน” ขันทีเอ่ย “องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองก็อยู่ด้วย ยังถามถึงจวิ้นอ๋องด้วยขอรับ”
จิ้นอันจวิ้นอ๋องส่งเสียงอ้อคำหนึ่ง
“ให้ของดีอะไรแก่เจ้าหรือ” เขาถามพลางดึงมือองค์ชายรองไว้ “มีของกินหรือไม่”
“ไม่มี ไม่มี มีแต่ของเล่น” องค์ชายรองยิ้มตอบ
“เช่นนั้นให้ข้าไปดูหน่อย” จิ้นอันจวิ้นอ๋องเอ่ย จูงมือองค์ชายรองเดินไปยังตำหนักเขา
องค์ชายรองคลอดยากพระมารดาคลอดเขาแล้วก็เสียชีวิตลง ได้ซ่งฮองเฮาเลี้ยงดูมา ยามนี้ของกินของอาศัยของเขาล้วนอยู่ที่ตำหนักฮองเฮา
ฮองเฮาร่างกายอ่อนแอ เมื่อองค์ชายรองและจิ้นอันจวิ้นอ๋องมาถึงก็ได้ยินว่านางเข้านอนไปแล้ว พวกเขาแค่ถวายคำนับอยู่นอกตำหนักก็ไปแล้ว “อาการป่วยของเหว่ยจวิ้นอ๋องดีขึ้นหรือยัง…”
เสียงของสตรีดังขึ้นหลังม่าน
“ดีขึ้นแล้วเพคะ”
นางกำนัลคนหนึ่งเลิกม่านเดินเข้าไปพลางเอ่ยตอบ
“ดีขึ้นก็ดีแล้ว ลิ่วเกอร์เดิมทีก็ร่างกายอ่อนแออยู่แล้ว แม้ว่าในวังนี้จะมีเด็กไม่มาก แต่ก็ยังมีเด็กอยู่ดี ต้องระวังให้มาก”
ซ่งฮองเฮาที่นอนอยู่บนเตียงเอ่ย
นางกำนัลไม่กล้ารับคำ ทำเพียงก้มหน้าถือถ้วยยาเข้าไปหา
ยามใกล้ค่ำ ในห้องสลัวลงเล็กน้อย ความมืดได้ปกคลุมท่าทางแก่ชราของซ่งฮองเฮาที่อายุเกือบสี่สิบปี
นางเป็นฮองเฮาคนที่สองขององค์ฮ่องเต้ ชาติกำเนิดยากจน ทนอยู่ในวังมานานหลายปีนับว่าไม่ง่าย อีกไม่กี่สิบปีที่เหลือนี้ เกรงว่าจะยิ่งยากขึ้นไปอีก
โอรสคนโตไม่ใช่ลูกของนาง องค์ชายหนุ่มมีพระมารดาเป็นถึงกุ้ยเฟย ไทเฮาที่ลำเอียง ฮ่องเต้ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ…
“เพิ่มคนข้างกายของลิ่วเกอร์ไปสองสามคน” ซ่งฮองเฮาเอ่ย
นางกำนัลรับคำ
“ต่อไป ไม่ว่าอาหารข้างนอกจากที่ไหนก็อย่าได้ให้เขากิน” ซ่งฮองเฮาเอ่ยอีก
นางกำนัลก็รับคำอีก
“เหว่ยจวิ้นอ๋อง ก็เป็นห่วงไทเฮาเช่นกันเพคะ” นางเอ่ย
ซ่งฮองเฮากินยาเสร็จก็เงยหน้ามองนาง
“ข้าไปดูมาแล้ว ทั้งคู่อยู่ในห้อง เหว่ยจวิ้นอ๋องเอาของที่ได้มาจากลิ่วเกอร์ออกมาดูทีละชิ้น ทีละชิ้น” นางกำนัลอมยิ้มเอ่ย
“เด็กคนนี้ดูๆ ไปไร้หัวจิตหัวใจ แต่ความจริงแล้วก็ยังมีอยู่” ซ่งฮองเฮายิ้มบางๆ เอ่ย
“ยามปกติก็ด้วยเพคะ ลิ่วเกอร์กินอะไร เจอผู้ใดมา เขาล้วนใส่ใจเป็นอย่างมาก” นางกำนัลเอ่ย
ซ่งฮองเฮายิ้มแย้ม เอนกายพิงโต๊ะ
“คราแรก บรรดานางสนมขันทีแอบบอกกับเขาว่า เด็กที่เลี้ยงจนโตอายุเท่าเขาในวัง ท่านพ่อของเด็กคนนั้นก็จะมารับเขากลับบ้านไป เพื่อกล่อมเขาให้หยุดร้อง” นางเอ่ย “หลังจากนั้นมาเขาก็ใส่ใจเด็กในวังเป็นพิเศษมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเด็กที่รับมาเลี้ยงสองสามคนชีวิตไม่รอด”
“แต่เขากลับไม่ใส่ใจองค์ชายใหญ่เช่นนั้น เดิมทีพวกเขาอายุห่างกันเพียงสี่ห้าปี ควรจะเล่นด้วยกันได้” นางกำนัลยิ้มเอ่ย
“ตอนแรกเขาก็เคยคิดเช่นนั้น ตามไปดูองค์ชายใหญ่ต้อยๆ เพียงแต่องค์ชายใหญ่ไม่ให้ดู” ซ่งฮองเฮาอมยิ้มส่ายหน้าเอ่ยพลางถอนหายใจ “จากนั้นหลิวเสียนเฟยก็ให้กำเนิดเด็กคนหนึ่ง เกิดใหม่ เกิดใหม่ เหมือนกับแมวไม่มีผิด ทุกคนต่างคิดว่าจะเลี้ยงไม่โตเสียแล้ว สนมหลิวก็มาตาย ยิ่งไม่มีผู้ใดมาคอยใส่ใจ เขาจึงได้มีโอกาสไปดูแล ดูไปดูมา กลายเป็นไมตรีจิตเช่นนี้ไปแล้ว”
“ไมตรีจิตเป็นสิ่งที่ยากจะได้รับนัก” นางกำนัลเอ่ย “ในวังหลวงแห่งนี้เด็กมีน้อย มีคนคอยดูแลข้างๆ ย่อมลดความเหงาลงไปได้บ้าง”
ซ่งฮองเฮาส่งเสียงอืมคำหนึ่งแล้วค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง
นางกำนัลก็ไม่เอ่ยอะไรอีก ห่มผ้าให้ฮองเฮาอย่างแผ่วเบาแล้วค่อยๆ ออกมา
ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำปกคลุมทั่วทั้งตำหนัก
หมอกในฤดูใบไม้ร่วงเลือนหาย จินเกอร์จามออกมาพลางหอบไม้กวาดไปเปิดประตู แต่กลับถูกคนหน้าประตูทำให้ตกใจยกใหญ่
“ทะ…ท่านชายฉิน” เขาเอ่ยถามเสียงติดๆ ขัดๆ เบิกตากว้างมองคนตรงหน้า
แม้จะเป็นฤดูใบไม้ผลิแต่ท่านชายฉินสิบสามกลับเหงื่อชุ่มเต็มหน้าผาก ข้างกายมีบ่าวรับใช้ตามมาด้วยสามคน แต่ไม่มีรถม้า ดูเหมือนว่าจะเดินมากัน
“จะ…จินเกอร์” ท่านชายฉินสิบสามอมยิ้มแล้วเอ่ยล้อเลียนเขาอย่างสนุกสนาน “อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์ขอรับ…” จินเกอร์ตอบอย่างงุนงง
“นายหญิงเจ้าอยู่หรือไม่” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ข้าเดินผ่านมาพอดี เดินเหนื่อยแล้วเลยว่าจะมาขอขนมกินเสียหน่อย”
หลังจากที่ท่านชายฉินสิบสามถูกพาเข้าเรือนมา สายตาก็มองเห็นหญิงสาวกำลังง้างคันธนูภายใต้แสงแดดยามเช้า
ผมยาวสยายระแผ่นหลัง เชือกพันแขนสีสันสดใสมัดเสื้อผ้าสีดำสนิทไว้อย่างสะดุดตา
เสียง พรึ่บ ดังขึ้นเบาๆ ลูกธนูยาวปักเข้าเป้าที่ทำด้วยหญ้าฟาง
แม้จะพลาดเป้าสีแดง แต่ก้าวหน้ากว่าการพลาดเป้าครั้งก่อนเป็นอย่างมาก
“หากรู้แต่แรกข้าก็จะเอาธนูมาด้วยแล้ว” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยขึ้น
เฉิงเจียวเหนียงหันกลับไปมองเขาคราหนึ่ง ลดมือลงเพื่อเก็บลูกธนู
“เอาธนูมาแล้วข้าจะให้เจ้าเล่นหรือ” นางเอ่ย
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ
“ก็จริง ตอนนี้ข้าไม่ได้ป่วยแล้ว” เขาเอ่ย
เฉิงเจียวเหนียงส่งธนูให้สาวใช้แล้วหันหลังเดินไป
ท่านชายฉินสิบสามรอให้นางเดินผ่านไปแล้วจึงค่อยเดินตามไป
“ข้าชักจะคิดถึงตอนที่ป่วยขึ้นมาเสียแล้วสิ” เขาเอ่ย
“จริงหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม เอียงคอมองเขาคราหนึ่ง “รักษาให้หายไม่ง่ายดายนัก แต่ทำให้เจ็บป่วยนั้นง่ายมาก”
ท่านชายฉินสิบสามหัวเราะ
“ข้าล้อเล่นน่ะ” เขารีบบอก “เจ้าอย่าได้คิดจริงจังไป หากตกใจขวัญหายอีกรอบข้าอาจจะตายขึ้นมาจริงๆ ก็ได้”
สาวใช้ที่อยู่ด้านหลังกับปั้นฉินยู่ปากขำอย่างอดไม่ได้
ชาและขนมร้อนๆ ถูกยกเข้ามา
ท่านชายฉินสิบสามหยิบขนมชิมคำหนึ่ง จิบชาตามคำหนึ่ง สีหน้าอมยิ้มชื่นชม
“อย่างเช่นขนมอันนี้ ก่อนจะหายป่วยกับหายดีแล้วรสชาติกลับแตกต่างกัน” เขาเอ่ย พูดจบก็ถอนหายใจคราหนึ่ง มองเฉิงเจียวเหนียงที่อยู่ตรงกันข้าม “ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ”
“เปลี่ยนแล้วก็เปลี่ยนไปเถิด จะมีอะไรได้อีก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย คลายมัดเชือกออก เสื้อผ้าพลันคลายลงมา
“ตัดใจไม่ลงน่ะสิ” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยแล้วดื่มชาคำหนึ่ง “เมื่อก่อนท่านชายโจวหกไม่เคยโกหกข้า มาวันนี้ข้าไปถามเขาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้า ไม่คิดเลยว่าเขาจะโกหกข้า”
เอ่ยจบก็ยิ้มออกมาคราหนึ่ง
“แต่ข้า ก็นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะไม่เปิดโปงเขาเหมือนดั่งสมัยก่อน ที่หัวเราะแล้วตีเขาด้วยไม้เท้า จากนั้นก็ด่าว่าเขาว่ากล้ามาโกหกกับข้า เจ้าจะไปหลอกผู้ใดได้” เขายิ้มเอ่ย ราวกับตรงหน้าเขาตอนนี้คือเหตุการณ์ในวันนั้น ก่อนจะก้มหน้ามองมือตัวเอง “ใช่แล้ว เปลี่ยนไปแล้ว ในมือข้าไม่มีไม้เท้าอีกแล้ว ยืนได้ต่อหน้าเขาแล้ว แต่กลับไร้ความสง่าผ่าเผยดังเก่าก่อน ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดนัก”
เฉิงเจียวเหนียงดื่มชาหมดก็วางถ้วยลง
“เจ้ายังมีธุระอะไรอีกหรือไม่ หากไม่มีล่ะก็ เชิญกลับไปเถอะ” นางเอ่ย
“แม่นางเฉิง เจ้าช่วยรับฟังคนเขาหน่อยได้หรือไม่” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยอย่างจนปัญญา
“เหตุใดข้าต้องรับฟังความเจ็บปวดรวดร้าวของเจ้าด้วย” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ความเจ็บปวดเอย ความทุกข์ใจเอย ความยินดีเอย อะไรก็ตามแต่ ล้วนไม่ใช่เรื่องของข้า ข้าจะฟังให้ได้อะไรขึ้นมา หนำซ้ำนี่ก็ไม่ใช่ความรู้สึกของข้า เจ้าพูดมาข้าก็ไม่รู้สึกอะไร ดังนั้น เจ้าพูดกับข้าก็เหมือนเจ้าพูดกับต้นไม้ต้นหนึ่ง แตกต่างกันตรงไหน”
ท่านชานฉินสิบสามมองนางครู่หนึ่ง
“เฉิงเจียวเหนียง” เขาเอ่ย “ท่าทางเช่นนี้ของเจ้า เหตุใดผู้คนถึงได้รักชอบนัก”
เฉิงเจียวเหนียงมองเขาแล้วไม่เอ่ยคำใด ท่านชายฉินสิบสามจึงเอ่ยขึ้นก่อน
“แน่นอนว่าเจ้ามีวิชาชุบชีวิตคนตายได้ ไม่ต้องเอาอกเอาใจผู้ใด” เขายิ้มบางเอ่ยอีก “เพียงแต่ คนเราไปมาหาสู่กัน พูดคุยกันเป็นส่วนใหญ่ เมื่อพูดคุยกันแล้วก็ต้องอ่อนโยนต่อกันด้วย”
“มีประโยชน์อะไรหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม
“บางครั้งเมื่อกฎเกณฑ์โหดเหี้ยมนัก คนเราจึงต้องอ่อนโยนต่อกันบ้าง” ท่านชายฉินสิบสามเอ่ยพลางมองนาง “อย่างเช่น วันนี้มีทหารจากตะวันตกเฉียงเหนือหนีทัพ ฟ่านเจียงหลิน ฟ่านสือโถว สวีเม่าซิว สวีซื่อเกิน สวีล่าเยว่ ฟ่านซานโส่ว สวีปั้งฉุย…”
น้ำเสียงเขาชัดเจนทว่าเนิบช้า พูดชื่อทีละคน ทีละคน ออกมาอย่างชัดเจน สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ปั้นฉิน รวมถึงจินเกอร์ต่างหันมามอง
“ฆ่าคนแล้วหนี หลักฐานแน่ชัด ตัดหัวตามกฎหมาย แขวนศพไว้นอกประตูศาลาว่าการ เพื่อไม่ให้คนเอาเป็นเยี่ยงอย่าง”
เมื่อประโยคนี้จบลง สาวใช้กับปั้นฉินก็ยกมือขึ้นปิดปากร้องเสียงหลง
ตัดหัว!
……………………