แสงแดดด้านนอกสดใสเจิดจ้า แต่ในห้องขังกลับไม่อาจสัมผัสถึง ความสลัวมืดมนปะปนไปกับกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง ทำเอาคนที่อยู่ข้างในไม่รู้วันรู้คืน
“ยังจะให้กินอันนี้อีกหรือ”
สวีปั้งฉุยตะคอก มองถังข้าวที่ถูกโยนไว้นอกประตูคุก ขมุกขมัวจนมองไม่ออกว่าคืออะไร
ผู้คุมแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินแล้วเดินจากไป
สวีปั้งฉุยฉวยชามขึ้นมาอย่างโมโห
“มีข้าวเช่นนี้ให้กินก็นับว่าบุญแล้ว” มีคนเอ่ยขึ้นมาจากห้องขังข้างๆ “รอจนกินอิ่มหนำสำราญเมื่อใด นั่นก็ถึงคราวตายแล้ว”
สวีปั้งฉุยไม่สนใจ นั่งย่อตัวลงกินข้าวอย่างไม่สบอารมณ์
“ถุย กินไม่ได้เลย” เขาเอ่ย
“แต่ก่อนกินไม่ได้ยิ่งกว่านี้ก็กินมามากแล้ว!” ฟ่านเจียงหลินเอ่ยเสียงแผ่วเบา
“แต่พักนี้ของกินก็ดีอยู่มิใช่หรือ…” สวีปั้งฉุยเอ่ย พลางหันไปเห็นฟ่านเจียงหลินถลึงตามองมา จึงหัวหดลงแล้วชูถ้วยขึ้น “กินอีกสองสามวันก็ชินแล้ว…”
“คงจะไม่ได้กินต่อถึงสองสามวันน่ะสิ” คนที่อยู่ห้องข้างๆ เอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “พวกที่อยู่ที่นี่ล้วนรอไต่สวนกันทั้งนั้น พอไต่สวนพิจารณาตัดสินโทษได้แล้ว อาจจะถูกปล่อยตัวออกมา ให้ได้กินของอร่อยต่อไป หรืออาจจะถูกตัดสินปล่อยตัวแต่เนรเทศให้ไปใช้แรงงาน หากถูกใช้แรงงานแม้แต่ข้าวเช่นนี้ก็ไม่มีสิทธิ์จะได้กินหรอก หรืออาจจะ…ได้กินอาหารดีๆ มื้อสุดท้ายก่อนถูกตัดหัว วันหน้าก็คงจะหมดสิทธิ์ได้กินอาหารดีๆ แล้ว…”
นอกจากสวีปั้งฉุยแล้ว คนอื่นๆ ต่างถือชามตักข้าวขึ้นกิน บางคนนั่งลง บางคนนั่งยองๆ กินข้าวอย่างเงียบเชียบ ไม่มีใครเอ่ยคำใดสักคน
แต่นี่กลับไม่ได้ทำให้นักโทษห้องข้างๆ หยุดพล่ามได้เลย
“นี่… พวกเจ้าเป็นใครมาจากไหนล่ะ ที่มาที่ไปคงไม่ธรรมดากระมัง มาอยู่ที่นี่อย่าว่าแต่ทุบตีกระทืบเลย ขนาดก่นด่ายังไม่มีใครกล้าทำกับพวกเจ้า…”
“พวกเจ้าไม่บอกข้าก็รู้… คนอย่างพวกเจ้าเนี่ยนะอันตรายที่สุด… อาจไม่มีโทษเลย หรืออาจจะโดนโทษหนักเลยก็เป็นได้…”
เพิ่งพูดจบก็มีเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น กลิ่นหอมอบอวลลอยตามมา
“นี่ พวกเจ้า อย่ากินของพวกนั้นเลย” ผู้คุมตะโกนบอก แล้ววางถังไม้ลง
ทุกคนที่ได้กลิ่นก็ต่างหันมามอง เห็นถังนั้นเต็มไปด้วยเนื้อแกะ
สวีปั้งฉุยส่งเสียงร้องดีใจก่อนจะรีบกระโจนเข้าหา ยื่นมือไปคว้าซี่โครงมาท่อนหนึ่ง
“เดี๋ยว เดี๋ยว อย่าเพิ่งรีบร้อน นี่คงไม่ใช่อาหารมื้อสุดท้ายหรอกนะ” นักโทษห้องข้างๆ ตะโกนขึ้น
ได้ยินดังนั้น เหล่าพี่น้องที่ล้อมอยู่พลันตกตะลึง
ผู้คุมกลับไม่เอ่ยคำใดก่อนจะหันหลังเดินจากไป
“ไม่น่าจะใช่ ถ้าใช่ล่ะก็ เขาจะต้องพูดอะไรสักหน่อยแล้ว”
นักโทษห้องข้างๆ เอ่ยขึ้นพลางมองมาทางสวีปั้งฉุย ภายในคุกมืดสลัว ผมเผ้าหนวดเครารกรุงรังบดบังใบหน้าจึงมองไม่เห็นสีหน้าอย่างชัดเจน แต่ก็สามารถนึกภาพสีหน้าที่ตกตะลึงของคนผู้นี้ออกได้
“นี่ พวกเจ้าเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงได้รับการดูแลเช่นนี้”
สวีปั้งฉุยและคนอื่นๆ ไม่สนใจเขา
“ดี ดี ขอบคุณที่ดูแล ขอสุราชั้นดีหน่อยสิ” สวีปั้งฉุยตะโกนบอกกับผู้คุมเสียงพึมพำ
เหล่าพี่น้องคนอื่นๆ ก็หัวเราะไปตามๆ กัน
“ใช่ ใช่ ขอเหล้าชั้นดีสักหน่อย” พวกเขาเอ่ยพลางจับเนื้อแกะแทะอย่างตะกละตะกลาม
ฟ่านเจียงหลินถือเนื้อติดกระดูกสองท่อนเดินไปยังข้างกำแพง ส่งให้สวีเม่าซิว
“เอาไป” เขาเอ่ยพลางนั่งลงกินอีกท่อนคำใหญ่
สวีเม่าซิวรับมา แต่ไม่ได้กิน
“เหตุใดเล่า เคยตายมาแล้วยังจะกลัวอะไรอีก” ฟ่านเจียงหลินยิ้มถาม
“ไม่ได้กลัว” สวีเม่าซิวถอนลมหายใจพลางเอ่ย แกว่งเนื้อติดกระดูกในมือไปมา “เรื่องพวกนี้มีอะไรให้กลัวกัน เพียงแต่นางที่อยู่ข้างนอกต้องทั้งโมโหทั้งร้อนใจเป็นแน่…หากพวกเราตายแล้ว นางที่ทะนงตนเช่นนั้นจะต้องมีบาดแผลในใจแน่นอน พอคิดมาถึงตรงนี้ ใจของข้าก็วางไม่ลง… ทำนางเดือดร้อนเช่นนี้…”
ฟ่านเจียงหลินกินเนื้อแกะแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงถอนใจออกมา
“ล้วนเป็นโชคชะตาทั้งนั้น” เขาเอ่ย
นายใหญ่เฉินเดินวนอยู่ในเรือนหลายต่อหลายรอบ เสื้อผ้าตัวบางด้านหลังเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ
“นายใหญ่ พักก่อนเถิดขอรับ” บ่าวชราเดินตามมาเกลี้ยกล่อม
นายใหญ่เฉินหยุดฝีเท้าลง รับไม้เท้าที่ส่งมาแล้วถอนหายใจ
“นายท่านกลับมาหรือยัง” เขาเอ่ยถาม
บ่าวชรารีบถามบ่าวรับใช้ข้างกาย บ่าวรับใช้ก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็วิ่งกลับมา
“นายท่านกลับมาแล้วขอรับ” เขาเอ่ย
นายใหญ่เฉินยืนขึ้นทุบเอวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ต้องไปเชิญนายท่านหรือไม่ขอรับ” บ่าวชราถาม
นายใหญ่เฉินส่ายหน้า เงียบไม่เอ่ยคำ
“นายใหญ่ นายใหญ่ขอรับ” บ่าวรับใช้วิ่งเข้ามาอีกคน “แม่นางเฉิงมาขอรับ”
นายใหญ่เฉินสีหน้าพลันเปลี่ยน
“ในที่สุดก็มา” เขาพึมพำกับตัวเอง
ยามนี้เฉินเซ่าที่อยู่ในห้องหนังสือก็กำลังพูดประโยคนี้ในใจอยู่พอดี แต่เขาพูดมากกว่าท่านพ่ออยู่ประโยคหนึ่ง
มาได้เร็วนัก!
เช้าวันนี้เขาเพิ่งจะลงมติข้อสรุปได้ นางรู้เรื่องเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ
เฉินเซ่าแน่ใจว่าคนที่รู้เรื่องนี้มีไม่ถึงสิบคน คนที่สามารถเข้ามานั่งหน้าบัลลังก์ได้ล้วนแต่มีตำแหน่งใหญ่โต หญิงผู้นี้รู้เรื่องเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร
ตระกูลฉินอย่างนั้นหรือ
วันนี้เป็นวันหยุดของอาลักษณ์หลวงฉินนี่…
บัณฑิตถงหรือ
ตั้งแต่ฟื้นจากความตายมาก็ไม่หลงใหลในหินและโลหะอีกต่อไป แต่ยิ่งเลื่อมใสในลัทธิเต๋ายิ่งขึ้นกว่าเดิม
เพราะคนที่ช่วยชีวิตเขาในครั้งนี้คือศิษย์เอกของมรรคาจารย์ลัทธิเต๋าตัวจริงในตำนาน
นี่มันหมายความอย่างไร หมายความว่าเขามีบุญสัมพันธ์กับเทพเซียนอย่างนั้นหรือ!
ดังนั้นบัณฑิตถงที่หายจากอาการป่วย ไม่ได้มารายงานตัวว่าจะกลับมาทำงาน เขายังคงอยู่ที่บ้านเหมือนเดิม เพียงแต่ไม่ได้อยู่เพื่อพักรักษาตัว แต่เพื่อบำเพ็ญเป็นเซียนต่างหาก
ส่วนตระกูลโจวยิ่งไม่ต้องพูดถึง ขนาดประตูสำนักราชเลขายังเข้าไม่ได้ อย่าได้พูดถึงตำหนักภายในวังเลย
เว้นแต่ว่าหญิงผู้นี้จะรู้จักคนใหญ่คนโตคนไหนในเมืองนี้อีก
หรือเขาอาจจะคิดมากเกินไป
อันที่จริงหญิงผู้นี้มาเพียงเพื่อขอร้องให้ช่วยเหลือเท่านั้น ไม่กี่วันก่อนนางคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยจึงได้ไปหาตระกูลโจว แต่สุดท้ายวันนี้เรื่องราวก็ยังไม่คลี่คลายจึงได้มาหาตนถึงที่นี่
สาวใช้ที่ถือชาถอยออกไป ทั้งคู่นั่งหันหน้าเข้าหากันภายในห้องหนังสือ
“ที่มาอย่างกะทันหันก็เพียงเพื่อชีวิตของพี่ๆ ของข้า ขอใต้เท้าโปรดช่วยไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนด้วยเถิด” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถามเข้าประเด็น
เขาคิดมากไปจริงๆ…
เฉินเซ่าส่ายหน้ายิ้มหยันให้ตัวเอง
“เจ้าก็ได้ยินมาเหมือนกันหรือ” เขาเอ่ยพลางถอนใจ “เจ้าเชื่อข้า ต่อให้เกิดเรื่องขึ้นเจ้าไม่มาหาข้า แต่ข้าย่อมจัดการให้เจ้า ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวโยงไปถึงกิจการทหารของราชสำนัก สุดท้ายก็ยากที่จะฝ่าฝืนกฎหมายได้”
เฉิงเจียวเหนียงพยักหน้า
“ข้าทราบดี เรื่องหนีทหารนั้นเกี่ยวโยงมากมาย” นางเอ่ย “สั่งประหารชีวิตพวกท่านพี่ของข้า เป็นเพียงการขจัดปัญหาเฉพาะเรื่อง เพื่อไม่ให้ใต้เท้าสอบสวนเรื่องราวของกองทัพ ยามนี้ใต้เท้าเองก็ขุ่นเคืองใจไม่น้อยใช่หรือไม่”
เฉินเซ่าสีหน้าตกตะลึง ก่อนจะยิ้มขมขื่นออกมา
“เพราะเหตุใดกัน เรื่องแก่งแย่งชิงดีในราชสำนัก เจียวเหนียงก็รู้เรื่องกับเขาด้วยหรือ” เขาเอ่ย
“เช่นนั้นใต้เท้าก็จะยอมแพ้แล้วหรือ” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยถาม แต่ไม่ได้ตอบเขาไปตรงๆ
“ยอมแพ้หรือ แน่นอนว่าไม่ ทหารหนีทัพตามกฎหมายแล้วต้องประหาร แต่หากสอบสวนพลาดก็ต้องถูกตรวจสอบอย่างละเอียดด้วยเช่นกัน กิจการทหารเละแทะเป็นสาเหตุของการหนีทหาร หากไม่ตรวจสอบก็จะไม่เพียงพอต่อการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม” เฉินเซ่าเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “พรรคของหวังปู้ถังปิดบังหลอกลวงฮ่องเต้ คำนึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวจนไม่สนใจเรื่องส่วนรวมของบ้านเมือง ในใจมีแต่แผนชั่วร้าย ครั้งนี้ทหารแพ้พ่ายกลายเป็นภัยพิบัติหลายปี มีคนปกป้องและปล่อยให้กระทำความผิดโดยไม่ขัดขวางห้ามปราม ซ้ำยังวางแผนจะลงมือเช่นเดิมอีก ในสมัยโบราณมีฉีจื่อเข้าเฝ้าโจว้อ๋อง ใช้หยกทำนายการล่มสลายของเมืองอิน สมัยนี้มีหวังปู้ถังและคนอื่นๆ หลอกลวงปิดบังฮ่องเต้อย่างกำเริบเสิบสาน ควบคุมกิจการทหารทางตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อประโยชน์ส่วนตน ทุจริตเบี้ยเลี้ยงทหาร ปกปิดความพ่ายแพ้แล้วบอกว่าชนะ ทรยศหลอกลวงราชสำนักมาหลายปีเพียงนี้ กลับปล่อยให้ลอยนวลอยู่ได้ หากไม่ใช่ผู้ปกครองละเลยเพิกเฉย! ข้าแซ่เฉินผู้นี้ก็ไม่อาจเห็นฮ่องเต้ถูกหลอกลวงแล้วไม่พูดอะไรได้ หากไม่ได้กำจัดความชั่วร้ายนี้ ก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!”
น้ำเสียงหนักแน่นและทรงอำนาจ ราวกับย้อนเวลากลับไปยามกำลังรับมืออยู่หน้าตำหนักซื่อไฉ
เจ้ากรมกิจการเกาเป็นพวกที่ไร้ยางอายที่ใช้วิธีอันธพาลมาต่อสู้ สู้ไม่ได้ก็หาเรื่อง หาเรื่องไม่ได้ก็โวยวาย พูดไปทางนู้นทีทางนี้ทีไม่มีแก่นสาร ไม่ยอมรับหวังปู้ถังที่หลอกลวงฮ่องเต้ เดี๋ยวใช้ฐานะของใต้เท้า เดี๋ยวใช้ฐานะของตระกูลของฮองเฮา ยิ่งพูดยิ่งเหลวไหลไร้แก่นสาร
จนปัญญาเสียจริง ลูกน้องของเขามีฝีมือพอที่จะใช้ต่อกรได้ หลายครั้งที่เขาต้องต่อกรเพียงลำพังในราชสำนักที่ใหญ่โตเช่นนี้
เฉินเซ่าสูดหายใจลึก มองแม่นางน้อยตรงใบหน้าสีหน้าของนางไร้อารมณ์ เมื่อรู้สึกตัวว่าเสียกิริยา จึงรีบกระแอมขึ้นมาเพื่อปกปิด
“เรื่องเหล่านี้ หนุ่มสาวอย่างพวกเจ้าไม่ต้องถามให้มากความ” เขาบอก
เฉิงเจียวเหนียงคำนับ
“ใต้เท้าจิตใจสูงส่งนัก” นางเอ่ยแล้วเงยหน้าขึ้น “ในเมื่อต้องตรวจสอบเรื่องผิดธรรมนองคลองธรรมที่ถือปฏิบัติกันมายาวนานอย่างถี่ถ้วนแล้ว ฆ่าพวกเขาจะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เช่นนั้นจะไว้ชีวิตได้หรือไม่ ผ่อนโทษให้เขาทำคุณชดใช้แทนได้หรือไม่”
เฉินเซ่ากระแอมคำหนึ่ง
“โทษของพวกเขาต้องประหาร นี่เป็นกฎของทหาร แม่นาง กฎหมายไม่อาจทำตามอำเภอใจได้” เขาเอ่ย
“แม้จะทำผิด แต่เป็นเหตุสุดวิสัย ไร้ทางเลือก จะช่วยอนุโลมให้หน่อยได้หรือไม่” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย
“แม่นางเฉิง” เฉินเซ่ากระแอมเบาๆ เอ่ย “กฎแห่งสวรรค์ชัดแจ้ง ใจตนเป็นอย่างไรตนนั้นย่อมรู้ดี การทุจริตกิจการทหารทางตะวันตกเฉียงเหนือนั้นใครๆ ต่างก็รู้ เรื่องนี้ข้าไม่อาจยอมละมือเช่นนี้ได้ ทำได้เพียงรอฝ่าบาทอนุญาต แล้วส่งขุนนางไปตรวจสอบอย่างละเอียด ก็จะตัดสินลงโทษผู้ทรยศ ถึงตอนนั้นย่อมให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกใส่ร้าย”
“ไม่อยู่ในตำแหน่งนั้น ก็ไม่ต้องไปคำนึงถึงหน้าที่การงานของตำแหน่งนั้น” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ย “ข้าน้อยเพียงแค่คิดไม่ตก เหตุใดความเป็นธรรมนี้ต้องเป็นความตายที่ไม่สามารถหวนคืนได้ด้วย”
เฉินเซ่าเงียบไปครู่หนึ่ง มองดูเฉิงเจียวเหนียง
“แม่นางเฉิง มีกวีเอ่ยไว้ว่า แผ่นฟ้าและผืนดินเป็นสถานที่ให้ทุกสรรพสิ่งได้อยู่พัก เวลาคือแขกผู้สัญจรจากอดีตไปสู่ปัจจุบัน และล่องลอยเหมือนดังความฝัน*[1]***” เขาสีหน้าอ่อนโยนลงไม่น้อย เอ่ยอย่างเคร่งขรึมแฝงความจนใจว่า “ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หากได้ล่องลอยเหมือนดั่งความว่า ได้ทุกสิ่งตามแต่ใจต้องการได้ ก็นับว่าคุ้มค่าแก่การมาเกิดมาแล้ว”
“ใต้เท้าช่างเข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งนัก” เฉิงเจียวเหนียงเอ่ยพลางมองเขา “เช่นนั้น ความหมายของใต้เท้าก็คือ ครั้งนี้พวกเขาต้องตายสถานเดียวอย่างนั้นหรือ”
ตั้งแต่ต้นจนจบ นางต้องการถามแค่ประโยคนี้เพียงประโยคเดียว ไม่ละไม่เลิก
ความเงียบโปรยตัวทั่วห้อง ราวกับผ่านไปนานแสนนาน แต่ก็เหมือนกับผ่านไปเพียงแต่ลมหายใจเข้าออกเดียว
“ใช่” เฉินเซ่าเอ่ยออกมาทีละคำด้วยสีหน้าแน่วแน่
………………………………
[1] เป็นบทกวีของหลี่ไป๋ในสมัยราชวงศ์ถัง